xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ธนาธร”พ่ายยับศึก อบจ. มนต์ “พ่อของฟ้า” หมดขลัง พัวพัน “ม็อบ3นิ้ว” พาพัง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เหมือนพลุตะไล ยิงขึ้นฟ้าเปรี้ยงเดียว แล้วเงียบฉี่!

ตามคิวที่ “คณะก้าวหน้า”  ของ  “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พรรณิการ์ วานิช  พ่ายแพ้ย่อยยับในศึกเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ปูพรมส่งนายก อบจ.และสมาชิก อบจ.ลงแข่งทั้งหมด 42 จังหวัดครบทุกภาคทั่วไทย


 ปรากฏว่า “กินไข่” ไม่เข้าป้ายนายก อบจ.ซักเก้าอี้เดียว ได้มาเพียงสมาชิกสภา อบจ. (ส.อบจ.) 57 คนจาก 18 จังหวัด จากที่ส่งผู้สมัคร ส.อบจ.ทั้งสิ้น 1,023 คนทั่วประเทศ 

เรียกได้ว่า  “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง

ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน บรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่ปัจจุบันกลายสภาพเป็น “คณะก้าวหน้า” พกพาความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า จะส่งซิวเก้าอี้นายก อบจ.ได้หลายแห่ง โดยเฉพาะ “เสี่ยเอก” ที่ถึงกับพูดว่า จะได้เห็น “แลนด์สไลด์” อีกรอบ

แต่ที่ไหนได้ “แลนด์สไลด์” ที่ว่า กลับเป็นกวาดทิ้ง “คณะก้าวหน้า” จนแทบไม่มีที่ยืน

ต้องบอกว่า ผลการเลือกตั้งถิ่นหนนี้ ทำให้ “เสี่ยเอก” และ “คณะก้าวหน้า” กลายเป็น “เด็กอมมือ”  ไปเลย ได้เข้าใจการเมืองมากขึ้นว่า การทำพื้นที่ที่แท้จริง ควรลงไปสัมผัสกับประชาชน ไม่ได้ปั่นทวิตเตอร์ ภูมิใจกับแฮชแท็กท็อปๆ ในแต่ละวัน

ไม่พ้นถูกค่อนแคะในโลกโซเชียลฯว่า “ชนะทุกโพลล์ ยืนหนึ่งทุกเพจ กินขาดทุกสังคมออนไลน์ แต่แพ้กระจายในโลกของความเป็นจริง” 

เป็นโลกความจริงที่โหดร้ายกว่า “ทุ่งลาเวนเดอร์” ที่ “ธนาธรแอนด์เดอะแก๊ง” กำลังวิ่งเล่นมาตั้งแต่เลือกตั้งใหญ่ 24 มี.ค.62 ที่หวังใช้ผลการเลือกตั้ง “พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน”

เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง อบจ.ที่ “เสี่ยเอก” ชูธงท้ารบ “บ้านใหญ่”  ในทุกพื้นที่ที่ส่งผู้สมัคร หลงลืมไปว่า การเมืองท้องถิ่นกับ  “ระบบอุปถัมภ์” ฝังรากลึกเป็นของคู่กันมาอย่างยาวนาน

 หลายจังหวัดจังได้เห็น “มหกรรมสมานฉันท์” เพื่อดับซ่า “คณะก้าวหน้า” สั่งสอนให้รู้ว่า เหนือ “พ่อฟ้า” ยังมี “ทีมการเมืองอาชีพ” ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ สุมหัวกันในพื้นที่ ขยี้ “เด็กเมื่อวานซืน” จนไม่ได้สักเก้าอี้เดียว 

ด้วยธรรมชาติของการเมืองท้องถิ่น เห็นได้จากการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมือง แต่เป็นการแข่งขันกันเรื่อง  “ตัวบุคคล” โดยว่าที่นายก อบจ.หลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคอีสาน ได้รับแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ต่างพรรค ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย

เป็นความเก๋าของนักการเมืองอาชีพ ที่เน้น “ผูกมิตร” อาศัยเจรจา “สมประโยชน์” กัน มากกว่า “สร้างศัตรู” ห้ำหั่นให้แตกหักไปข้าง อย่างที่ “ธนาธร” พยายามทำ

ยกตัวอย่าง  “เมืองย่าโม” จ.นครราชสีมา ที่มี ส.ส.เพื่อไทย อยู่ไม่น้อย และยังเป็นพื้นที่แม่ทัพอย่าง “เฮียเสริฐ” ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยคนใหม่ แต่ “ค่ายเพื่อไทย” ก็เลือกที่จะไม่ส่งคนลงสมัครนายก อบจ.

หรืออย่าง “ปากน้ำ” จ.สมุทรปรากา  ที่วัดปอนด์ต่อปอนด์แล้วเครือข่ายท้องถิ่นของพรรคเพื่อไทยมีความพร้อมมากกว่าในการสัประยุทธ์กับ  “บ้านใหญ่อัศวเหม”  แต่แว่วว่า “ธนาธร” โดดขวาง ขอให้ “คณะก้าวหน้า” ลงแข่ง ด้วยความเป็น “บ้านเกิดเมืองนอน” ของตัวเอง และขอไม่ให้พรรคเพื่อไทยส่งคนลงแย่งคะแนนกันเอง ปรากฏย่อยยับยิ่งกว่าจังหวัดอื่นเสียอีก

ความสะใจของ “นักการเมืองอาชีพ” สะท้อนผ่านข้อความของ “เสี่ยหนุ่ม” วัน อยู่บำรุง  ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ที่โพสต์ถึงคณะก้าวหน้าหลังเริ่มนับคะแนนและมีแนวโน้มว่าคณะก้าวหน้าไม่ได้นายก อบจ.แม้ที่นั่งเดียวว่า  ได้กี่ที่นั่งครับ...เชียร์อยู่” 

ถือว่า “เสี่ยหนุ่ม” เสมือนตัวแทนนักการเมืองแทบทั้งประเทศ ที่ไม่พอใจ “ธนาธรและทีมงาน” กับการปราศรัยด่า “บ้านใหญ่” สาดเสียเทเสียอย่างไรบ้าง และหลายแห่งก็กระทบ “พรรคข้างบ้าน” อย่างพรรคเพื่อไทยเสียด้วย


 นอกเหนือจากไม่เข้าใจ “บริบท” การเมืองท้องถิ่นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ข้อหาร้ายแรง” ที่ทำให้ “ธนาธร” พ่ายแพ้หมดรูป เกือบต้องเอาปี๊บคลุมหัว ก็มาจากกระแส “ม็อบ 3 นิ้ว” ที่ช่วงหลังไต่เพดานโจมตี “สถาบันพระมหากษัตริย์” แบบที่ “คนไทย” รับไม่ได้ 

สำคัญที่สายตาคนไทยเห็นภาพ “ม็อบ 3 นิ้ว” ทาบทับกับ “ธนาธร-ปิยุบตร-พรรณิการ์” ด้วย “จุดยืน” ที่ไปในท่วงทำนองเดียวกัน หลายครั้งมีความเชื่อมโยงสนับสนุนกันอีกด้วย

เป็นเหตุให้ ยามที่ “เสี่ยเอก-ธนาธร” หรือ “สาวช่อ-พรรณิการ์” เดินทางไปทั่วประเทศลงช่วยลูกทีมหาเสียงอย่างหนัก มักได้รับการต้อนรับด้วยเปิดเพลง  “หนักแผ่นดิน”  พร้อมคำถามถึงจุดยืนต่อการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ซึ่งก็น่าแปลกที่ “ธนาธร-พรรณิการ์” เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม

ต้องยอมรับว่า สาเหตุสำคัญที่แพ้ย่อยยับ หมอไม่รับเย็บในศึกเลือกตั้ง อบจ.ของ “ธนาธร” และ “คณะก้าวหน้า” คือ การจาบจ้วงล่วงเกินสถาบันเบื้องสูง ซึ่งคนเหล่านี้ถูกมองว่า อยู่เบื้องหลัง “ม็อบคณะราษฎร”

การไปตะโกนไล่ “คณะก้าวหน้า” เป็นพวก “หนักแผ่นดิน” มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนไม่น้อย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ประชาชนยังจงรักภักดีต่อสถาบัน


 ดังนั้นไม่ว่าพฤติกรรมตั้งตัวเป็นศัตรูกับ “บ้านใหญ่-ผู้ทรงอิทธิพล” ที่แย้งกับบริบทท้องถิ่น หรือการถูกมองว่าเป็น “เนื้อเดียวกัน” กับ “ม็อบล้มเจ้า” ก็ทำให้เส้นทางการเมืองของ “แก๊งก้าว” ทั้งคณะก้าวหน้าของ “ธนาธร” หรือ “พรรคก้าวไกล” ภายใต้การนำของ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่อยู่ในสภาฯดูเหมือนจะ “ตีบตัน” ไปเรื่อยๆ 

และตราบใดที่ยังทำ “การเมืองเด็กน้อย” สนุกอยู่บนจอมือถือ ครื้นเครงในโลกโซเชี่ยลฯ ยังหลงทะนงภาพจำ “พ่อฟ้าฟีเวอร์” โกย ส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร ได้ 80 กว่าชีวิต เมื่อการเลือกตั้ง ส.ส. ต้นปี 2562 ไม่ทำพื้นที่เป็นกิจจะลักษณะ อาศัย “การเมืองสร้างภาพ” เรียกยอดไลค์-ยอดแชร์ โอกาสประสบความสำเร็จในโลกแห่งความเป็นจริงก็เป็นไปได้ยาก

หลังความพ่ายแพ้การเลือกตั้ง อบจ. เดาไม่ยากว่า “ธนาธร” จะมีสปีชเท่ๆ ออกมา โดยประธานคณะก้าวหน้า ออกมาบอกว่า 
 “เป็นเพราะการทำงานพวกเราไม่หนักพอ ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย พวกเราผิดหวังและเสียใจ”  

แต่ยี่ห้อ “ธนาธร” ต้องหา “ข้ออ้างหล่อๆ” ให้ตัวเองด้วยว่า แม้แพ้แต่คะแนนความนิยมของพรรคอนาคตใหม่ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกลไม่ได้ลดลง โดยยกเอาสถิติการเลือกตั้งใน 42 จังหวัดที่คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครชิง นายก อบจ. มารวมกันทั้งหมดแล้วได้ 2,670,798 คะแนน

“เมื่อเอาผลการเลือกตั้ง อบจ. มาเทียบกับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่ใน 42 จังหวัด เมื่อปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้ 3,183,163 คะแนน คิดเป็น 16.2 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 19,629,451 คน ขณะที่ในปี 2563 คณะก้าวหน้าได้ 2,670,798 คะแนน คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 15,730,841 คน พวกเราได้คะแนนดิบน้อยลง แต่ถ้าดูเปอร์เซ็นต์จะเห็นว่าปี 2563 เราได้เพิ่มเป็น 17 เปอร์เซ็นต์”

งานนี้ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เรียกว่า พฤติกรรมแบบนี้ว่า การโกหกด้วยสถิติและกราฟ (How to lie with statistics and graph) ซึ่งเป็นการนำสถิติไปโกหกให้คนที่ไม่มีความแตกฉานทางสถิติหรือข้อมูล (Data and statistical literacy) ได้อย่างง่ายดาย

 ถอดความได้ว่า ไม่เพียง “โกหกตัวเอง” แล้วยังพยายามจะปั่นสาวกให้เชื่อตามด้วย 

เหมือนวันนี้ “ธนาธร” ยังติดอยู่ใน “โลกจินตนาการ” ในอารมณ์เด็กที่แพ้ไม่ได้ จึงเลือกคิดแต่สิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ เพราะหากย้อนดูกระแส “พ่อของฟ้า” หลังผ่านการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 สถิติบ่งบอกว่า “กระแสร่วง” มากกว่า “กระแสพุ่ง”

สะท้อนผ่านการเลือกตั้งซ่อม 2 สนาม ที่พรรคอนาคตใหม่ และต่อมาเป็นพรรคก้าวไกล ลงแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นสนามเลือกตั้งซ่อม เขต 5 นครปฐม แทน “เจ๊อุ๊” จุมพิตา รัตนขจร เด็กอนาคตใหม่ที่ประสบอุบัติเหตุ จนปฏิบัติหน้าไม่ได้ แต่เดิมในการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 “จุมพิตา” ได้ถึง 34,164 คะแนน ขณะที่อันดับ 2 สุรชัย อนุดธโต พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 18,970 คะแนน ระวัง เนตรโพธิ์แก้ว พรรคพลังประชารัฐ ได้ 18,741 คะแนน และตัวเต็งอย่าง “เสี่ยเตี้ย” เผดิมชัย สะสมทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ 12,279 คะแนน เข้าป้ายที่ 4

แต่ปรากฏว่า ในการเลือกตั้งซ่อมวันที่ 23 ต.ค.62 “เสี่ยเตี้ย-เผดิมชัย” ล้างตาสำเร็จ ได้ 38,765 คะแนน ส่วน “เฮียป๋วย” ไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร สามีจุมพิตา ได้แค่ 28,882 คะแนน ลดลงอย่างมาก

นี่ยังไม่นับว่า หาก “สุรชัย” จากพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ลงมาหารคะแนนไป 13,061 คะแนน “เสี่ยเตี้ย” จะชนะกระจุยขนาดไหน

หรือการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 จ.สมุทรปราการ หลังจาก “อาแอ๊ด” กรุงศรีวิไล สุทินเผือก ถูกใบเหลือง ต้องลงมาป้องกันแชมป์ ปรากฏว่า พรรคอนาคตใหม่ที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 3 ในเขตนี้เมื่อครั้งก่อน ตัดสินใจส่งผู้สมัคร ทั้งที่โดยมารยาท ต้องเลี่ยงให้พรรคเพื่อไทยในฐานะอันดับ 2 คราวก่อน เพื่อไม่ให้หารคะแนนกันเอง

สาเหตุที่ “เสี่ยเอก” ดื้อ เพราะมั่นใจว่า กระแสตัวเองในพื้นที่สมุทรปราการเปรี้ยง ปร้าง หลังจากได้ ส.ส.มา 1 คน และได้ที่ 2 ในหลายเขต ประกอบกับ  “คุณแม่สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ”  ไปเดินแจกตังค์ในช่วงโควิด-19 แถวๆ โซนนั้น เลยมั่นหน้าว่าจะคว้าชัย

แต่ที่ไหนได้ ผลการเลือกตั้งออกมา “กรุงศรีวิไล” ชนะขาดวิ่น กวาดไป 46,747 คะแนน ส่วนพรรคก้าวไกล ได้แค่ 19,977 คะแนนเท่านั้น

เขตนี้ยังสร้างความร้าวฉานระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลที่เสียมารยาทมาตัดคะแนนกันเอง เพราะอันดับ 2 อย่าง สลิลทิพย์ สุขวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย ได้ 21,540 คะแนน หากพรรคก้าวไกลเล่นตามกติกา ยังจะพอมีลุ้นบ้าง ไม่แพ้อับอายแบบนี้

เป็น 2 แผลที่ “ธนาธร” ไม่ได้พูดถึงเลย ขณะเดียวกัน การอ้างว่า ประสบความสำเร็จ ได้ สมาชิกสภา อบจ. มา 57 คน ใน 18 จังหวัด ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากๆ เมื่อดูจำนวนเต็มผู้สมัครที่ส่งมากกว่า 1 พันคน

ยิ่งไปกว่านั้น ที่อุตส่าห์นับ ส.อบจ.รายหัวประกาศความสำเร็จ บอกเลยรู้จักการเมืองท้องถิ่นน้อยไป เพราะที่สุด ส.อบจ.เสียงข้างน้อยก็ไม่พ้นถูกกลืนไปอยู่กับฝั่งเสียงข้างมาก ด้วยความที่ “สภา อบจ.” มีนิคเนมว่า “สภารับเหมา” ไม่ช้าไม่นาน ส.อบจ. 57 คนที่ได้มา ก็จะไม่ใช่คนของ “ก้าวหน้า” อีกต่อไป

“ธนาธร” คงเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น หรือเพียงเศษเสี้ยวก็ยังว่า โลกโซเชียลฯ ก็แค่ “มายา” ประชาชนในพื้นที่คือ “ของจริง” กระแสในโซเชียลไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนได้ทั้งหมด และควรเลิกใช้โซเชียลมีเดียเป็นตัวตัดสิน และเคลมเอาว่า นั่นคือ เสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ

หากอยู่กับโลกความเป็นจริง “ธนาธร” จะต้องกลับไปคิดว่า เหตุใดกระแส “พ่อของฟ้า” จึงไม่สามารถทำให้ได้ นายก อบจ.เลยสักคนเดียว และต้องเลิกโทษปี่โทษกลอง ว่าคู่แข่งซื้อสิทธิ์ขายเสียง จนทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผิด และเป็นการดูถูกเหยียดหยามสติปัญญาของประชาชน


 เป็นอารมณ์ “เหยียดคน” คล้ายกับที่มีการแชร์ภาพทวิตเตอร์ของ “ธนาธร” ที่มีการระบุข้อความว่า “ผลการเลือกตั้ง อบจ.นี้ แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังไม่ยอมเปิดใจ และยังไม่พร้อม สำหรับอนาคตที่ดีกว่า” 

แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าเป็น “เฟกนิวส์” ก็ตาม แต่หลายคนก็ปักใจเชื่อไปแล้วว่า “เสี่ยใหญ่ไทยซัมมิท” คิดอ่านเช่นนั้นจริงๆ

ขัดกับหลักคิด “คนเท่ากัน” ที่ “ม็อบ 3 นิ้ว” หรือ ส.ส.ก้าวไกลหลายคนเย้วๆ กันอยู่เสียด้วย

เชื่อว่า “ธนาธร แอนด์เดอะแก๊ง” คงต้องมีการ “ถอดบทเรียน” กับการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ด้วยหมุดหมายต่อไปของ “แก๊งก้าว” ไม่ว่าสนามเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในนามคณะก้าวหน้า หรือสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ในนามพรรคก้าวไกล

ล้วนแล้วแต่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป หรือสนาม อบจ.

ต้องคิดว่า ทำไมกระแส “พ่อของฟ้า” แทรกซึมเข้าไปในท้องถิ่นไม่ได้เลย ซึ่งหากวางโทรศัพท์ ตัดสินจากแฮชแท็กทวิตเตอร์จะเข้าใจว่า กระแสพรรคการเมืองไม่ได้ทำให้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่นเสมอไป แต่อยู่ที่ “ตัวบุคคล”

สาเหตุที่นักการเมืองท้องถิ่นหลายคนได้นั่ง นายก อบจ.หลายสมัย เป็นเพราะทำงานคลุกคลีอยู่กับประชาชนในพื้นที่มานาน ชาวบ้านย่อมเลือกคนที่มีผลงานและคุ้นหน้าคุ้นตา ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหนไม่รู้ วันเดือนปีไม่เคยมาช่วยเหลือชาวบ้าน แต่จะอาศัยกระแส “ธนาธร” เพื่อเข้าไปนั่งเสวยสุขอยู่ในตำแหน่ง นายก อบจ.

ที่สำคัญ เลิกโทษ เลิกดูถูกว่าประชาชนว่าเลือกใครเพราะเงิน

 เหนือสิ่งอื่นใดที่ “ธนาธร” ต้องพึงสังวรเอาไว้เสมอว่า คนในประเทศยังจงรักภักดีต่อสถาบัน เมื่อใดที่บังอาจในเรื่องมิบังควร เมื่อนั้นจะลงเอยแบบครั้งนี้.  




กำลังโหลดความคิดเห็น