ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จัดเป็น “คนดวงดีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” เลยก็ว่าได้ สำหรับผู้ชายที่ชื่อ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อ “คดีพักบ้านหลวง” ที่โหมโรงกันมาค่อนปีว่า “โดนแน่” แล้วน่าจะเป็นการต่อบันไดให้ “อดีตหัวหน้า คสช.” ลงจากอำนาจแบบ “ซอฟต์แลนดิ้ง” ในจังหวะที่ “ม็อบราษฎร” เคลื่อนไหวกดดันมา 4-5 เดือน แบบปีนบันได ไต่เพดาน
ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านก็อาศัยจังหวะเดียวเพรียกหา “สปิริต” ให้ “บิ๊กตู่” ลาออกจากตำแหน่งก่อนจะมีคำวินิจฉัยของศาล หวังลึกๆ อเผื่อมีคน “บ้าจี้” ทำเก้าอี้นายกฯว่างลง เขย่าขั้วกันใหม่เกิดจับผลัดจับพลูได้สลับไปเป็นรัฐบาลบ้าง
ถึงขนาดมีข่าวหลุด-ข่าวปล่อย ออกมาให้แซ่ดว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ มี 2 ใบ ระหว่าง “โดน” กับ “รอด” ในอารมณ์ เป็น-ตายเท่ากัน
ทว่า มติเอกฉันท์ 9-0 ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ต่างจากการตบหน้า “กองแช่ง” ไปฉาดใหญ่
หลับตาก็เห็นภาพ “ผู้มีอำนาจ” ยักไหล่ไม่ยี่หระอะไรกับแรงกดดันของ “ม็อบเป็ด”
เท่ากับดับฝันเล็กๆของ “กองแช่ง” แล้วต่อลมหายใจให้ “บิ๊กตู่” สำคัญกลายเป็นการเสริมใยเหล็กให้ “นายกฯ ลุงตู่” ไร้เทียมทาน อยู่บนหอคอยอำนาจได้อีกนานแสนนาน
แล้วจะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้ “ลุงตู่” นั้นเป็นคนโคตรโชคดี เพราะแม้สถานการณ์บ้านเมืองจะคุกรุ่นจาก “ม็อบคณะราษฎร 2563” ที่จัดชุมนุมขับไล่ แต่สุดท้ายดูเหมือนจะสบายๆ ไม่ได้รับผลอะไรมากนัก ด้วยเป้าหมายของม็อบกลับไต่เพดานทะลุฟ้าไปที่ “สถาบัน” แถมภายในก็เจอปัญหา “การ์ด” ทะเลาะกันเละเทะ ไม่นับรวมเรื่องเงินบริจาคที่หลายแนวร่วมทำหน้าตาปุเลี่ยนๆ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันอยู่ในเวลานี้
ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามก็เต็มไปด้วยปัญหาสารพัดสารพัน อย่าง “เพื่อไทย” ก็แตกแยกกันหนักเมื่อ “หญิงหน่อย-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ยกขบวนลาออก หรือ “พรรคก้าวไกล” ที่ผู้นำตัวจริงอย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ก็มิได้เห็นทางว่าจะทำอะไรในสภาได้ ยิ่งตัว “เสี่ยเอก” ที่หลบอยู่หลังเด็ก ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะลงไปช่วยหาเสียงท้องถิ่นที่ไหนก็มักจะเจอ “คนไล่”
เรียกว่าเวลานี้ “ลุงตู่ช่างสบาย” เสียจริงๆ
“บิ๊กตู่” พยัคฆ์ติดปีก
กล่าวสำหรับ “คดีบ้านพักหลวง” คำวินิจฉัยค่อนข้างชัดเจน-แจ่มแจ้ง มีเหตุผลประมวลย่อๆ คือ “บิ๊กตู่” อยู่อาศัยบ้านพักรับรองของกองทัพบก ที่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ได้ เป็นไปตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก 2548 ไม่ถือว่า เป็นกรณีการถือประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเอง ไม่เป็นการขอ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่
ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานจริยธรรม ข้อ 27 ประกอบข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 10 ข้อ 11 อันเป็นกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(5) ซึ่งเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)
ถือเป็นอันเคลียร์คัทตัดจบ
มติ 9-0 เอกฉันท์ ไร้เสียงข้างน้อย ใครว่า “ค้านสายตา” ก็ว่าไป สำคัญที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ “ผูกพันทุกองค์กร” “ฝ่ายค้าน-ม็อบราษฎร” หมดสิทธิ์ไปร้องแรกแหกกระเฌอไปร้องที่อื่น หรือแค่หวังคำวินิจฉัยเสียงข้างน้อยไปใช้ประโยชน์โจมตีกันต่อ ก็ยังวืด
เต็มที่ก็แดกดัน ระบายอารมณ์กับ “ศาลพระภูมิ” อย่างที่ “ก๊วนราษฎร” ทำกันที่กลางแยกลาดพร้าว ก็เท่านั้น
อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยดังกล่าวย่อมฟังขึ้น เพราะมีการอ้างอิงระเบียบและข้อกฎหมาย ไม่ได้ยกเมฆมาปล่อยผี “บิ๊กตู่” ให้หลุดจากข้อครหา
แน่นอนว่า มติเอกฉันท์ 9-0 ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกกับ “บิ๊กตู่” ก็จริง เพราะ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคมมีมติแบบนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีถวายสัตย์ปฏิญาณ และกรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ห้ามดำรงตำแหน่งนายกฯ หรือไม่
เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างออกไปในแง่ของสถานการณ์ เพราะวันนี้ความขัดแย้งในประเทศบานปลาย-เลยเถิด-ลามปามกันไปถึง “ชั้นฟ้า”
หลายมองว่า วิธีถอดสลักคือ การเอา “บิ๊กตู่” ออกจากตรงนี้ก่อน เพื่อลดเงื่อนไข เพื่อถอดสลัก ให้ประเทศกลับมาพูดคุยกันได้ ด้วยตัว “นายกฯ” ถือเป็น 1 ในข้อเรียกร้องของฝ่ายผู้ชุมนุม และถูกมองเป็น “คู่ขัดแย้ง” ไปแล้วก็ตาม
แต่การที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นพ้องต้องกัน โดยไร้เสียงแตก ถอดรหัสได้เหมือนกันว่า “ฝ่ายอำนาจ” ยังคงไว้วางใจชายชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แม้จะเกิดเรื่องราวมากมายก็ตาม
ม็อบที่คิดว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ คสช.เป็นเจ้าภาพยกร่างขึ้นมา แล้วจึงไม่กล้าลงไม้ลงมือกับ “บิ๊กตู่” แสดงว่า อ่านเกมการเมืองกันแบบ “เด็กอมมือ” เพราะก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวอีกทางเหมือนกันว่า หากรอดจะมีเสียงข้างน้อย อย่างน้อย 2 เสียง ที่ให้ “หลุดตำแหน่ง”
ดังนั้น ตรรกะที่ว่า “บิ๊กตู่” แคล้วคลาดแบบท่วมท้น เป็นเพราะเป็นพวกเดียวกันนั้น ต้องบอกว่าเป็น “ตรรกะวิบัติ”
แล้วต้องบอกว่า การที่ “บิ๊กตู่” พ้นราหูอมจันทร์ครั้งนี้ได้ ไม่ต่างอะไรกับ “เสือติดปีก” ไร้ริ้วรอย แทงฟันไม่เข้า ราวกับเป็น “อมตะ”
ยิ่งหันซ้าย แลขวา ไม่มีชนักปักหลังอะไรให้ต้องกังวลหรือหวาดระแวง ทางสะดวกบวกความมั่นใจเต็มเปี่ยม เดินหน้าลุยลูกเดียว
“เจ๊หน่อย” ถอยดีกว่า
ภาระตกมาที่ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย แกนนำทางซีกฝ่ายค้าน เจ้าของเรื่องประเด็นพักบ้านหลวง ที่ดูทรงแล้วก็คล้าย “ทำใจล่วงหน้า” รู้เต็มอกว่า โอกาสสอย “บิ๊กตู่” ให้ร่วงตึกไทยคู่ฟ้าเองริบหรี่
ประเด็นหมดมือ เหลือดาบยื่นไม่ไว้วางใจ ช่วงหลังปีใหม่ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ก็ต้อง “เก็กซิม” กับประเด็นที่เหือดแห้งยิ่งเสียกว่าน้ำในทุ่งกุลาร้องไห้
จับอาการ “คีย์แมนฝ่ายค้าน” ต่างทำท่ากุมขมับโดยพร้อมเพรียง กับการต้องควานหาประเด็นมาสร้างความตื่นเต้นรอบใหม่
อย่างที่บอก ช่องทางดิสเครดิต หรือตรวจสอบ ตอนนี้น่าจะเหลือ “ศึกซักฟอก” อภิปรายไม่ไว้วางใจช่องทางเดียว ที่พอจะลากไส้ให้แนวร่วมดูฮึกเหิมขึ้นมาบ้าง หากแต่คงต้องกลับไปแก้ปัญหา “ในบ้าน” ตัวเองให้ได้เสียก่อน
แนวรุกย้ำแย่ หลังบ้านยิ่งแย่กว่า เมื่อจู่ๆ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่วังทองหลาง งอนตุ๊บป่อง เขียนจดหมายจ่าหน้าซองถึงหัวหน้าพรรค ขอลาออกจากการเป็นสมาชิก ตัดขาดแบบไม่มีพันธะอะไรต่อกันอีกแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีบรรดาหัวโจกคนอื่นๆ ที่เก็บข้าวเก็บของ เปิดตูดหนีพรรคเพื่อไทยไปหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์-โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา - พงศกร อรรณพพร อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
งานนี้ว่า แตกกันจริง แตกกันละเอียด ชนิดว่า แอนตาซิลไม่รับจ่าย ประกันไม่รับเคลม
มูลเหตุมาจากการสังคายนาพรรคครั้งใหญ่เมื่อช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการที่ “กลุ่มแคร์” นำโดย “สหายอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย - “หมอเลี้ยบ” สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี - “หมอมิ้ง” นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ตลอดจนพวกอดีตไทยรักษาชาติเก่า คัมแบ็กกลับมามีอำนาจในพรรคเพื่อไทย
แล้วยังมีร่างเงาของ “เด็กเจ๊” แต่เป็น “เจ๊ปูดูไบ” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ส่งสตาฟท์มารวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ส่องรายชื่อผู้บริหาร และคณะกรรมการชุดต่างๆของพรรคเพื่อไทยเซ็ตล่าสุด เห็นชัดเจน “เด็กเจ๊หน่อย” โดยเขี่ยตกกระป๋องแบบเหี้ยนเต้ บ้างยังมีชื่อประดับในคณะกรรมการบริหารพรรค แต่ก็ไร้อำนาจ ไร้การตัดสินใจ ไร้การมีส่วนร่วม การขับเคลื่อนถูกผูกขาดไปที่พวกที่เพิ่งกลับมา
นอกจากไม่ได้เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยที่ตัดสินใจไขก๊อกไปล่วงหน้าแล้ว บทบาท “เจ๊หน่อย” และ “เด็กเจ๊” ก็แทบจะหาย แทบจะถูกลืมไปเลย ตำแหน่งแห่งหนอะไรในพรรค ตั้งแต่ระดับ “โปลิตบูโร” เรื่อยมาถึงกระจอกงอกง่อยก็ไม่ได้เข้า อยู่ไปก็เหมือน “เนื้องอก-ส่วนเกิน” ในชีวิต
จริงๆ “เจ๊หน่อย” เองรู้ชะตากรรมมานานแล้วว่า จัดโครงสร้างครั้งใหญ่ที่ผ่านมา บรรดา “โจทก์” ของตัวเองกลับมามีอำนาจ ย่อมหมั่นไส้แบบทีใครที่มัน ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา “เจ้าแม่วังทองหลาง” รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับ หลายๆ แอ็กชันเรื่องของเหล่าผู้มีอำนาจปัจจุบันในพรรค
โดยเฉพาะบรรดา “อดีตสหาย” ที่เที่ยวไปไล่เกาะกระแส “ม็อบฟันน้ำนม” กำหนดทิศทาง การเคลื่อนไหวของพรรคแบบอิงม็อบตลอดเวลา หลายครั้งหลายคราตัดสินใจพลาดไปเดินตามม็อบจนเสียผู้เสียคน โดยไม่ได้คำนึงว่า หากพลาดพลั้งเสียทีขึ้นมา จะตายหมู่กันหมด
โดยเฉพาะเรื่องแหลมๆ ที่ม็อบไปทะเลเพดานแตะชั้นฟ้า ที่ “เจ๊หน่อย” พะว้าพะวง มันเกินกรอบ เดี๋ยวจะอยู่กันไม่ได้
เรื่อง “เจ๊หน่อย” ตัดสินใจจะเซย์กู๊ดบาย รู้กันมาสักระยะ เพียงแต่หาจังหวะเหมาะสมไม่ได้ ก็เลยไปกันดื้อๆแบบไปไม่มา ลาไม่ไหว้ซะเลย
ส่วนจะไปไหน ยังไม่มีป้ายบอกทางชัดเจน วันนี้ขอออกมาตั้งหลักก่อน ขณะที่เด็กๆ ของเจ๊ในพรรค ก็ยังไม่รีบเก็บข้าวของเครื่องใช้ออกมา เพราะหากสแกนจริงๆ “สายเลือดลูกเจ๊” มีไม่แยะ ส่วนใหญ่เข้ามาเกาะแกะหวังอานิสงส์ความยิ่งใหญ่ของ “หญิงหน่อย” ในวันวานเท่านั้น
จะให้นับญาติเป็น “เด็กวังทองหลาง” ก็ส่ายหัวกันหมด
“ฝ่ายค้าน” ติดจั่น
ปัญหาในมุ้งแก้ไม่ตก ปัญหานอกมุ้งยังกองสุมพะเนิน บทบาทในสภาฯวันนี้ของพรรคเบอร์ 1 เหมือน “ไม้หลักปักขี้เลน” จะสู้ก็สู้ไม่สุด จะรักก็รักไม่สุด จะชังก็ชังไม่สุด เก้ๆ กังๆ แทงกั๊ก จนถูกเกรียนคีย์บอร์ดเย้ยหยันสู้แบบนี้ สมควรแล้วที่ไม่เคยชนะ
สถานการณ์การเมืองร้อนแรง จะโดดไปชิงกระแส อย่างมวลชน ก็คร่อมจังหวะไปหมด จนวันนี้ “ม็อบเป็ดน้อย” ปันใจให้ “พรรคเด็กรุ่นลูก” อย่างพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า แบบกินไม่แบ่ง
เรียกว่าตั้งแต่การมาของ “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ก่อนกลายมาเป็น “ก้าวไกล” ในวันนี้ แล้วยังมีหัวขบวน “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แยกไปคู่ขนานนอกสภาในนาม “ก้าวหน้า” อีก ทำเอา “ค่ายทักษิณ” แทบกลายเป็น “อากาศธาตุ” ในสายตากองเชียร์
สมัย “อนาคตใหม่” ยังแค่ปีนเกลียว เปลี่ยนมาเป็น “แก๊งก้าว” โดดขึ้นไปขี่คอ “ค่ายดูไบ” กันเลยทีเดียว
อาจเพราะ “เพื่อไทย” ที่มีรากเหง้าจากไทยรักไทย-พลังประชาชน เป็นรัฐบาลจนเคยตัวงานตรวจสอบในฐานะฝ่ายค้าน ง่อยเปลี้ยอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นฝ่ายตามก้น “แก๊งก้าว” หลายขุม
การอภิปราย การซักฟอก การตรวจสอบ มีแต่ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ปล่อยให้พรรคที่ตั้งเมื่อวานซืน อย่าง “ก้าวไกล” แย่งซีน จนสับสนว่า ทุกวันนี้ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ใครเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” กันแน่
ทุกวันนี้ข้อมูลเด็ดๆ เผ็ดๆ ถูกแฉโดนพรรคฝ่ายค้านอันดับสองอย่าง “ก้าวไกล” เสียส่วนใหญ่ อาทิ เรื่องการทำไอโอของทหาร หรือกรณีกลุ่มนักเรียนเลว ก่อขบถทางการศึกษา รณรงค์ให้ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน พรรคเพื่อไทยก็ได้แค่วิ่งเกาะหลังขบวนตลอด
การทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านวันนี้ อย่าว่าแต่ไปตรวจสอบรัฐบาลเลย สมานฉันท์ เลิกแทงข้างหลัง ชิงดีชิงเด่นกันให้ได้เสียก่อนดีกว่า ทุกวันนี้เวลาเตรียมการจะเล่นงานอะไร ไม่เคยคุยกัน ต่างคนต่างตัดสินใจ
พรรคก้าวไกล เลิกเดินตามพรรคเพื่อไทยมาสักระยะ หลายๆ ครั้ง เลือกจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน เน้นอิงกระแสม็อบเป็นหลัก ขณะที่พรรคเพื่อไทย คุมพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่อยู่ สุดท้ายเมื่อเกิดเรื่องก็ต้องเป็นฝ่ายมาเคลียร์ใจ ทำเป็นพินอบพิเทากัน
ปัจจุบันเหมือนมีสิ่งเดียวที่ใช้ร่วมกันคือ คำว่า “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” นอกนั้นเดินไปคนละทิศละทางตลอด หลายต่อหลายครั้ง เหมือนจะจูบปากจูบคอเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร แต่ด่าไล่หลังกันตลอด
ขณะเดียวกัน “ก้าวไกล” ที่โดดเด่นงานสภา ก็ไร้หม็ดเด็ด-หมัดน็อก ไม่ว่าจะด้วยความที่อ่อนพรรษาเกมการเมือง หรือใจจริงเทใจไปกับ “หวยนอกสภา” หวังเป็นทางลัดโค่นรัฐบาล พ่วงไปกับเห็นดีเห็นงามกับ “ข้อเรียกร้องสุดซอย” ของ “ม็อบละอ่อน” มากกว่าเกมในระบบที่ชักช้าไม่ทันใจ
ดังจะเห็นได้จากหลายๆประเด็นที่ม็อบไปจุดพลุกันกลางถนน แล้ว ส.ส.ก้าวไกล ค่อยสอยมาขยี้ในสภา ราวกับเป็น “ลูกคู่” ของแก๊งราษฎร และเครือข่าย ที่เย้วๆกันนอกสภา
ขนาดแคมเปญหยุมหยิมอย่าง “บอกลาเครื่องแบบ - แต่งไปรเวทไปเรียน” ของกลุ่ม “นักเรียนเลว” ท่านผู้ทรงเกียรติค่ายสีส้ม ก็ยังหยิบเอามาตีปี๊บเสียใหญ่โต
เรียกว่าเทน้ำหนักไปที่ประเด็นกระแส-สีสัน มากกว่าหาเรื่องเป้งๆมาถอนรากถอนโคนรัฐบาล
เมื่อ “ฝ่ายตรวจสอบ” อย่างสภาผู้แทนราษฎร อ่อนแอ-ไร้เอกภาพ วนเวียน “ติดจั่น” อยู่กับการมีปัญหากันเอง เช่นนี้ “นายกฯตู่” ผู้แข็งแกร่ง ก็สบายไปอีกเปลาะ
“ม็อบเป็ด” ก็ติดแร้ว
บอกไปแล้วว่า การที่ “บิ๊กตู่” รอดคดีพักบ้านหลวง ไม่ต่างอะไรกับ “เสือติดปีก” แล้วยังติดลมบน รอบนี้ขึ้นแล้วลงยาก โค่นยากกว่าตอนยังไม่มีคำวินิจฉัยเสียอีก
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังมี “ม็อบราษฎร” หรือ “ม็อบเป็ดน้อย” ที่กวนอกกวนใจอยู่ไม่น้อย
ทว่าอาหารของม็อบก็ดู “ทรงๆ ซึมๆ” มากกว่า กิจกรรมต่างๆ ที่ว่าเป็น “บิ๊กเซอร์ไพร์ส” กลับกลายเป็น “บิ๊กแป้ก” ประหนึ่งตลก 5 บาท 10 บาท
แม้จะมีคำประกาศชัยชนะรายวัน แต่ในเชิงรูปธรรมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
หลายเรื่องราวมวลชนที่มานั่งฟังยังลุกหนี เพราะฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก จน “เฝือ” มากกว่า “เบิ้มๆ” จนวันนี้ “ประชากรม็อบ” ลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด
ต่างจากในช่วงแรกๆของ “ม็อบปลดแอก” ที่ดูเหมือน “ผู้มีอำนาจ” จะอารามตกใจแรงไปนิด งัดประกาศ-กฎหมายฉุกเฉิน ที่เหมือนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เหมือนเป็นการ “เรียกแขก” ให้ม็อบมากกว่า
แต่พอตั้งหลักได้ก็เปิดไฟเขียว ม็อบกันให้เต็มที่ ด่ากันให้เต็มสูบ อาจจะมีแตะเบรกบ้างหากม็อบคิดบ่ายหน้าไป “สถานที่สำคัญ” เจอรัฐบาลลดการ์ดลง ไม่ยอมปะทะด้วย ก็ทำเอา “ชาวม็อบ” ชัดหมดสนุก
ล่าสุดกับการไม่หลุดตำแหน่งของ “บิ๊กตู่” ที่ไม่ต่างจาก “สัญญาณอยู่ยาว” อันตีความได้ว่าเป็นการท้าทาย สุมฟืนใส่กองไฟ แต่ฝ่ายม็อบกลับไม่สามารถใช้ประโยชน์กับประเด็นที่ว่าได้อย่างที่คิด การชุมนุมเย็นวันเดียวกับที่ศาลรับธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย แม้จะยืดเยื้อยาวนานกว่าปกติ เข้าเที่ยงคืนกว่าๆถึงจะยุติเวที
แต่ “อิมแพ็ค” กลับไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด
ซ้ำร้าย การที่ “บิ๊กตู่” ได้อยู่ต่อ ยังถูกตีความไปอีกว่า “ผู้มีอำนาจ” ชักเฉยๆ กับการดำรงอยู่ของ “ม็อบเป็ดก๊าบๆ” เข้าแล้ว ไม่เท่านั้นยังอาจเป็นสัญญาณพร้อมชนทุกระดับที่ม็อบจะประกาศอัพเลเวลต่อๆไปด้วย
ในวงการการเมืองบอกเลยจับตา “รถด่วนแก้รัฐธรรมนูญ” ที่พร้อมจะตกรางได้ทุกเมื่อ หากแรงกดดันจากม็อบนอกสภาไม่มากพอ
ว่ากันตามเนื้อผ้า ณ นาทีนี้ ภายหลังรู้ผลคำวินิจฉัยคดีพักบ้านหลวงแล้ว บรรดาเซียนต่างต้องแทง “บิ๊กตู่” อึดกว่า เพราะเห็นแล้วว่า มีพระดี หนังเหนียว เกือบๆ จะอยู่ยงคงกระพัน ในขณะที่ “ม็อบเป็ดก้าบ” ง่อยเปลี้ยเสียขาลงทุกวันๆ
พูดได้ว่าสถานะม็อบวันนี้ก็เหมือน “ติดแร้ว”
“แร้ว” ในที่นี้แปลความตามพจนานุกรมได้ว่า “เครื่องมือดักสัตว์ประเภทสัตว์ปีก พวกไก่ป่า นก ทำด้วยไม้ไผ่เป็นคันดีดให้บ่วงปลายไม้รัดขาสัตว์ และมีปิ่นเป็นกลไกให้สัตว์ติดบ่วง”
“ม็อบเป็ด” ที่เป็นสัตว์ปีกเหมือน ไก่ป่า นก ก็มีโอกาส “ติดแร้ว” น่าสนใจที่เป็นกับดักกันเองแล้วติดกับกันเองซะด้วย
“แร้ว” แรก ก็มาจาก “ความมั่ว” ของการบริหารจัดการภายในม็อบ ไม่ว่าจะเป็นกรณี “เงินบริจาค” ที่แถกันข้างๆคูๆ หนักเข้าก็กำปั้นทุบดิน “ไม่แจงแม้แต่บาทเดียว กูจะเอาไปทำไรเรื่องของกู” อันเป็นคำประกาศของ “เฮียบุ๊ง” ปกรณ์ พรชีวางกรู พ่อยกแห่งชาติของชาวม็อบ
แล้วยังมีเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นในม็อบที่ชักถี่ขึ้นๆ ทั้ง “ปลอกกระสุน” ที่หน้าสภาเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ปรากฏว่า ตกอยู่ทางฝั่ง “แก็งราษฎร” หรือสมรภูมิหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อ 25 พ.ย.63 ที่มีเพียง “ม็อบราษฎร” เพียงกลุ่มเดียว ก็ยังยิงกันเปรี้ยงๆสิริรวม 5 นัด ยิงกันเอง-เจ็บกันเอง
ถัดมา “เสี่ยโตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ หัวหน้าการ์ดคณะราษฎร หรือ “การ์ด wevo” ก็ประกาศยุติการทำหน้าที่การ์ดให้กับการชุมนุมหลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันระหว่าง “การ์ดอาชีวะ-การ์ด wevo” จนมีคลิปประจานไปทั่ว
ย้อนไปก่อนหน้าก็มีคิวของ “ป๋าบัติ” สมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง ก็โวยวายมาถามดังๆมาทีแล้วว่า ทำไม “การ์ด wevo” มี “น้ำเลี้ยง” แต่ไม่ยักจะตกถึงท้อง “การ์ดเสื้อแดง” บ้าง
ล่าสุด “แม่มาเอง” เมื่อ “เจ๊ทราย” อินทิรา เจริญปุระ ขยับจากตำแหน่ง “แม่ยกแห่งชาติ” มาเป็น “แกนนำ” เต็มตัวแล้ว เมื่อตำหนิ “การ์ดเสื้อแดง” ออกสื่อดังๆ หลังเกิดเหตุ “การ์ดเสื้อแดง” ไปถีบรถยนต์ที่ขับผ่านบริเวณแยกลาดพร้าว พร้อมประกาศปลอกแขนการ์ด ตะเพิดให้ไปเป็นแค่มวลชนก็พอ
งานนี้ “ลูกพี่ใหญ่การ์ดแดง” สมบัติ ทองย้อย ไม่ทนแล้วสวนกลับ “แม่ยกทราย” แบบไม่ไว้หน้าประมาณว่า “อะไรเลวๆโทษเสื้อแดงหมด จะเอาอะไรกับกูอีกวะ”
สะท้อนให้เห็นปัญหาของ “ม็อบเป็ด” ทั้งเรื่องวุฒิภาวะ ที่ไม่สามารถคุมกันเองได้ แล้วยังปัดความรับผิดชอบ อ้างดื้อๆว่า “ม็อบไม่มีแกนนำ” ทั้งๆที่เห็นๆกันอยู่ว่า ใครเป็น “หัวโจก” หรือใครอยู่ “เบื้องหลัง”
กลายเป็น “กับดัก” ความขัดแย้งที่ทำกันเอง ติดกันเองอีกเช่นกัน
อีก “แร้ว” ที่ติดกันไปแล้วเต็มๆ ก็มาจากความเลยเถิด-เกินเลย จากข้อเรียกร้องไปปีนบันได-ไต่เพดาน จากเนื้อหาบนเวทีวนลูปอยู่กับการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงของประเทศ
นำมาซึ่ง “ไม้แข็ง” อย่างการแจ้งข้อหาตาม “มาตรา 112” อันเกี่ยวกับพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่บรรดา “หัวโจก
” รับหมาย-สะสมแต้มกันไป “อ่วมๆ” ถ้วนหน้า ไล่ตั้งแต่ “บิ๊กกวิ้น” พริษฐ ชิวารักษ์ ครองแชมป์ที่ 8 คดีในหลายพื้นที่, “สาวรุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก มี 6 คดี, “บิ๊กไมค์” ภาณุพงค์ จาดนอก กับ อานนท์ นำภา มี 4 คดีเท่ากัน, “สาวมายด์” ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล มี 3 คดี, ชนินทร์ วงษ์ศรี มี 2 คดี
ที่เหลือมีคนละคดี “สาวอั๋ว” จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, “เสี่ยโตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ, “ฟอร์ด ปลดแอก” ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี, “ครูใหญ่ ขอนแก่น” อรรถพล บัวพัฒน์, “นุ๊ก เอวลอย” ชูเกียรติ แสงวงศ์ และ “หัวหน้าการ์ดแดง” สมบัติ ทองย้อย
และเชื่อเหลือเกิน ยิ่งม็อบไปกันเรื่อยๆ คงจะ “ติดแร้ว” กันอีกอื้อ ทั้งหน้าเก่า-หน้าใหม่ ด้วยประเด็นเคลื่อนไหว-ปราศรัย สนุกปากอย่างทุกวันนี้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”
ฟังอย่าง “ใจเป็นกลาง” หรือกองเชียร์ม็อบเอง ก็ยังบอก ชัดเสียยิ่งกว่าชัด เรียกว่าไม่ห่างไกลจากที่ถูกตราหน้าว่า “ม็อบล้มเจ้า”
เหวี่ยงแห แต่มาจากพฤติกรรมตัวเองทั้งนั้น
ชะเง้อไปมองชะตากรรม “ไอดอลม็อบเป็ด” อย่าง “ตี๋น้อย” โจวชัว หว่อง แห่งเกาะฮ่องกง ที่ล่าสุดโดนคุกไปเบาะๆ 13 เดือนครึ่ง ถือว่าศาลปราณี และเจ้าตัวก็สารภาพตลอดข้อกล่าวหา หันกลับมาที่เมืองไทย หัวโจกที่ว่ามา หน้าฉากยังครื้นเครงใน “หมู่เป็ด” เหมือนไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง แต่หลังฉากเชื่อเถอะ ขาสั่นกันพรั่บๆ
ขึ้นก็ไม่สุด ลงก็ไม่ได้ จบตอนนี้ไม่ “ลี้ภัย” ก็ “คุก” ต้องทำเป็นผยองลำพองว่า เข้าใกล้ชัยชนะ ทั้งที่เห็นเต็มตาว่า ปริมาณมวลชนที่มาในระยะหลังๆ หรอมแหรม การ์ดเยอะกว่าผู้ชุมนุม เรียกว่าว่างจัดจนการ์ดหันมาไฝว้กันเอง
ขณะเดียวกัน ยิ่งจัดชุมนุมมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นการสะสมคดี แรกๆ มันดูสนุก แต่การตระเวนขึ้นโรงขึ้นศาลแบบไม่รู้จักจบสิ้น
ตอนจบดีหน่อย ก็คงแค่ไปชดใช้กรรมในห้องกรงตาม “ตี๋หว่อง”
แต่น่ากลัวจะเข้าอิหรอบ “จบดีไม่ได้” นี่สิ.