ฮื่ออ์อ์อ์...ไม่รู้ว่าจะควานหาเรื่องเบาๆ สบายๆ อ่านแล้ว ฟังแล้ว พอได้รีแลกซ์ขึ้นมามั่ง จากที่ไหน และแบบไหน แทนที่จะต้องปวดหัวเวียนเฮด กับเรื่องของพวกเด็กๆ บ้านเรา ที่ออกจะเป็นอะไรที่ “มุ้งมิ้งๆ” ซะเหลือเกิน เพราะความเป็นไปของโลกนับจากนี้ มันออกจะหนักขึ้น แรงขึ้น ขมึงตึงเครียดหนักยิ่งเข้าไปทุกที แม้ว่า “ประมุขโลก” รายใหม่ อย่าง “โจ ไบเดน” หรือ “ผู้เฒ่าโจ” ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ซึ่งแม้จะ “แก่เกินแกง” หกคะล้มแค่นิดเดียวระหว่างเล่นกับหมา กับแมว แวบเดียวก็แทบจะหมดสภาพ อาจพอดูมีสติ สตังค์ อยู่บ้างตามสมควร แต่ก็นั่นแหละ...โดยแนวๆ โดยความเป็น “จักรวรรดินิยม” ของประเทศอย่างอเมริกา ที่ถูกออกแบบ ถูกดีไซน์มานานแล้ว โอกาสที่จะช่วยให้โลกเกิดความเบาๆ สบายๆ ขึ้นมาได้มั่ง น่าจะยากเต็มที...
เพราะโดยแนวโน้มทั่วๆ ไปแล้ว...มีแต่จะยิ่งเคร่ง ยิ่งเครียด หนักขึ้นไปอีก ดังที่ได้พยายามไล่เรียงให้เห็นมาตั้งแต่เปิดฉากสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น “แนวรบยุโรปตะวันออก” กับรัสเซีย “แนวรบตะวันออกกลาง” กับอิหร่าน ไปจนถึง “แนวรบในเอเชีย” หรือในทะเลจีนใต้กับจีน นอกจากแทบมองไม่เห็น “ความเปลี่ยนแปลง” ใดๆ ในทางบวก หรือในเชิงสร้างสรรค์ใดๆ แม้แต่น้อย ยังออกอาการเคร่งเครียด ตึงเครียด ในแบบสุดแสนจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน และเพื่อนทรยศหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์อันไม่พึงปรารถนา สำหรับบรรดามวลมนุษยชาติทั้งหลาย ในวันใด-วันหนึ่ง หรืออีกไม่นาน-ไม่ช้า เอาเลยก็ไม่แน่!!!
ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ ลองหาทาง “ทะลุอวกาศ” ไปว่ากันถึงเรื่องประเภท “มนุษย์ต่างดาว” เอาเลยก็แล้วกัน เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา เห็นข่าวแวบๆ...ว่าด้วยเรื่อง ใครก็ไม่รู้??? ดันเอา “เสาเหล็ก” รูปร่างประหลาดๆ อะไรสักอย่าง ไปปัก หรือไปโผล่อยู่แถวๆ ทะเลทรายอันสุดแสนจะเวิ้งว้าง ในรัฐยูทาห์ของอเมริกา จนทำให้เกิดเสียงร่ำลือถึงเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” ขึ้นมาจนได้ หรือก่อให้เกิดการสืบหา ค้นหา ข้อมูล ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะภายใน “โลกอินเทอร์เน็ต” หลังจากเสาที่ว่าดันหายวับไปกับตาด้วยเหตุผลกลใด หรือด้วยเพราะใครพยายามคิด “มุก” สร้างมุกประหลาดๆ ไว้ให้เป็นข่าวคราวหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ เพราะนอกจากเสาที่ปักแล้วหายไป ในรัฐยูทาห์ ยังปรากฏว่ามีเสาอีกเสา จู่ๆ ก็ดันโผล่ขึ้นมาแถบภูเขาบางลูก แถวๆ ประเทศโรมาเนียโน่นเลย เพียงแต่เสาที่โผล่ขึ้นมาในประเทศกำลังพัฒนาอย่างโรมาเนีย อาจไม่ถึงกับหวือๆ หวาๆเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา คือเป็นเสาที่ต้องนำเอา “เศษโลหะเก่าๆ” มาตกแต่ง ปรุงแต่ง เพื่อช่วยให้เกิดความฮือฮา ไม่ได้มีความมันวาว มีรูปร่างหน้าตา ประหลาดๆ พอที่จะช่วยให้เกิดการ “จินตนาการ” ถึง “แท่งโลหะสีดำ” ที่นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังผู้วายชนม์ไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว อย่าง “นายอาเธอร์ ซี. คลาร์ก” (Arthur C. Clarke) เคยวาดจินตนาการไว้ในนิยายคลาสสิกชื่อดัง เรื่อง “2001: A Space Odyssey” ซึ่งฮอลลีวูดถึงกับต้องนำไปสร้างเป็นหนัง เป็นภาพยนตร์ จนเป็นที่ฮือฮามานานแล้ว...
อย่างไรก็ตาม...เท่าที่ฟังๆ จากการสืบสวน สืบค้นของบรรดา “นักสืบอินเทอร์เน็ต” ทั้งหลาย การปรากฏตัวแล้วหายไปของ “เสา” ที่ว่า มันคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ “มนุษย์ต่างดาว” หรือมนุษย์ที่มาจากนอกโลก นอกอวกาศ อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย แต่อาจมาจาก “ศิลปิน” ยุคใหม่ๆ บางราย ประเภทที่เรียกๆ กันว่าพวก “Minimal Art” หรือ “Minimalism” อะไรประมาณนั้น ที่ชอบเอา “วัสดุสำเร็จรูป” จากกระบวนการอุตสาหกรรมมาดัดแปลง ตกแต่ง แปลงรูป ให้กลายเป็นผลงานทางศิลปะ แล้วนำไปติดตั้งไว้ ณ ที่หนึ่ง ที่ใด ที่อาจทำให้ผู้ดู ผู้ชม ดูแล้วเกิดความมึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ จนนำไปสู่ความซาบซึ้ง ดื่มด่ำ หรือนำไปสู่จินตนาการแบบประหลาดๆ พาลคิดไปถึง “แท่งโลหะสีดำ” ของ “อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก” หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ “รสนิยม” ของใครก็ของมัน...
แต่ก็นั่นแหละ...เรื่องของ “มนุษย์ต่างดาว” ออกจะเป็นเรื่องที่บรรดาพวกฝรั่ง หรือบรรดาชาวตะวันตกทั้งหลาย เขาค่อนข้างให้ความสนอกสนใจอยู่พอสมควรทีเดียว ขนาดเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ระหว่างไปออกรายการโทรทัศน์ของ “นายStephen Colbert” คนระดับอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “นายบารัค โอบามา” ยังอดไม่ได้ที่ต้องสารภาพว่า ระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอเมริกานั้น ตัวเองก็เคยพยายามสืบหา สืบค้น “ความจริง” เกี่ยวกับเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” หรือเรื่อง “UFO” อย่างเอาการ เอางาน หรือเอาจริง เอาจัง พอสมควร เพียงแต่ไม่ได้บอกว่า...เมื่อสืบแล้ว ค้นแล้ว ได้พบกับ “ความจริง” หรือข้อเท็จจริงอะไรมั่ง หรือพบแต่ความมึนซ์ซ์ซ์ไป-มึนซ์ซ์ซ์มา แบบพวกศิลปิน “Minimal Art” อะไรประมาณนั้น...
อย่างไรก็ตาม...จินตนาการถึง “เสาสีดำ” หรือ “แท่งโลหะสีดำ” ของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์อย่าง “นายอาเธอร์ ซี. คลาร์ก” นั้น ว่าไปแล้ว...คงไม่ใช่เรื่องที่ก่อให้เกิดความตื่นตะลึงพรึงเพริดต่อบรรดานักอ่าน หรือนักดูหนังฮอลลีวูดโดยทั่วๆ ไป แต่เพียงเท่านั้น แต่อาจถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความผิดแผกแตกต่างระหว่าง “กระบวนการทางความคิด” หรือ “วิธีคิด” ของพวกฝรั่ง หรือชาวตะวันตกกับบรรดาชาวตะวันออก หรือพวก “หัวดำ” ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี คือในนิยายวิทยาศาสตร์ของนักเขียนชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นถึงระดับ “ท่านเซอร์” ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับบรรดานักวิทยาศาสตร์ดังๆ ในการช่วยนับช่วงระยะเวลาแห่งวิกฤตการณ์ต่างๆ ในโลก หรือหนึ่งในคณะกรรมการ “Doomsday Clock” รายนี้ “เสาสีดำ” หรือ “แท่งโลหะสีดำ” ที่จู่ๆ ก็โผล่มาปักอยู่ท่ามกลาง “ฝูงวานร” ในช่วง “อรุณรุ่งแห่งมวลมนุษยชาติ” ตามเนื้อเรื่อง โครงเรื่องของนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “2001: A Space Odyssey” จนทำให้บรรดาฝูงวานร หรือกึ่งมนุษย์-กึ่งลิงทั้งหลาย เริ่มรู้จักคิด หรือเริ่ม “กระบวนการทางความคิด” และทำให้กระดูกสัตว์ภายในมือ กลายมาเป็น “อาวุธ” ไปจนถึงค่อยๆ พัฒนากลายเป็น “ยานอวกาศ” แล่นตรงไปยังดวงจันทร์ของดาวพฤหัสฯ เพื่อสืบหา ค้นหา “ความจริง” ของวัตถุโบราณชิ้นหนึ่ง ซึ่งโผล่ขึ้นมาในดวงจันทร์แห่งนี้ นั่นก็คือ “เสาสีดำ” หรือ “แท่งโลหะสีดำ” นั่นเอง...
ความพยายามที่จะให้คำตอบ คำอธิบาย ถึง “ปริศนา” ของวัตถุดังกล่าว...ตามความรู้สึกนึกคิดของ “นายอาเธอร์ ซี. คลาร์ก” นั้น อาจด้วยเหตุเพราะการใช้ชีวิตช่วงหลังๆ หรือช่วงบั้นปลาย ปักหลักอยู่แถวๆ ประเทศตะวันออกอย่าง “ศรีลังกา” หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่น่าจะส่งผลให้เกิดการซึมซับเอา “วิธีคิด” หรือ “กระบวนการทางความคิด” แบบชาวตะวันออก เข้าไปผสมกลมกลืนกับความคิด ความอ่านของตัวเองมิใช่น้อย “แท่งโลหะสีดำ” ที่หล่นมาปักอยู่ท่ามกลางฝูงวานร บรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติตั้งแต่แรก ไปจนถึงที่โผล่ขึ้นมาในดวงจันทร์ของดาวพฤหัสฯ จึงไม่ใช่อะไรอื่น นอกซะจาก “วัฏจักร-วงจร” แห่งความเป็นไปของกาลเวลาและของมวลมนุษยชาติทั้งหลายนั่นเอง ที่ต่างก็ต้อง “เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ขณะที่บรรดาชาวตะวันออก อันเป็นผู้ก่อตั้งบรรดา “ศาสนา” ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดูเชน ไปจนถึงโซโรอัสเตอร์ ฯลฯ โน่นเลย ต่างมองความเป็นไปของกาลเวลาและของมวลมนุษยชาติ ในลักษณะไม่ต่างไปจาก “วัฏจักร-วงจร” ที่หมุนไป-หมุนมาเป็นรอบๆ เหมือนความมืด-ความสว่าง ความขาว-ความดำ ความดี-ความชั่ว ฯลฯ หรือเหมือน “ล้อเกวียน” ที่กำลังเคลื่อนที่ไป-มา อะไรทำนองนั้น ขณะที่พวกฝรั่ง หรือชาวตะวันตกทั้งหลาย มักมองสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างไปจาก “เส้นตรง” ที่ถูกลากต่อไปเรื่อยๆ ตามแต่มนุษย์จะ “พัฒนา” ไปในแนวไหน แบบไหน จากยุคหิน ยุคสัมฤทธิ์ ยุคเหล็ก ยุคเกษตร อุตสาหกรรม ไปจนยุคเทคโนโลยี ฯลฯ ที่ทำให้คำตอบ คำอธิบายในแต่ละเรื่อง มักต้องหันไปโยงถึง “มนุษย์ต่างดาว” กันจนได้ ชนิดแทบทำให้ “พระผู้เป็นเจ้า” คือผู้เสด็จลงมาจากยาน “UFO” ไปเลยก็มี และด้วยการที่ไม่คิดจะมองแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง ให้เป็นไปในแบบ “วัฏจักร-วงจร” มองเห็นถึงการ “เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย” อันเป็นแก่นสาระของทุกสรรพชีวิต และของทุกสรรพสิ่งของ “เพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมวัฏสงสาร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้...ยิ่งโลก “ก้าวหน้า” หรือยิ่ง “พัฒนา” ยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยิ่งมีแต่จะ “ปวดหัวฉิบหาย” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...นั่นแล...