นายกฯเผยความสำเร็จลงนามจองวัคซีนป้องกันโควิด-19 คาดไทยได้ใช้กลางปี64 เตรียมกระจายทุกพื้นที่ทันทีเมื่อได้รับยา วอนคนไทยการ์ดอย่าตก เข้มมาตรป้องกันช่วงเทศกาล หวั่นระบาดอีกระลอกแรงกว่า ซ้ำเติมเศรษฐกิจเสียหายเพิ่ม
วานนี้ (26 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 และความคืบหน้าเกี่ยวกับการจองซื้อวัคซีนป้องกันโรคดควิด-19 จากประเทศอังกฤษ ที่จะมีการลงนามจองซื้อในวันนี้ (27 พ.ย.) ซึ่งจะมีการเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ตอนหนึ่งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนว่า มีโอกาสที่โควิด-19 จะเกิดการระบาดอีกเป็นระลอกที่ 3 ในช่วงปีหน้า ถ้าแต่ละประเทศไม่รักษาวินัย และไม่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด สถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข และผลกระทบที่ส่งมาถึงเรื่องเศรษฐกิจ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้เรากำลังเตรียมตัวสำหรับเฟสถัดไปในการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้สร้างปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและสร้างความยากลำบากในความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้ วิธีจัดการในระยะยาวคือการมีวัคซีนป้องกัน และจะต้องกระจายไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึง ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่ง 3-4 กลุ่ม อยู่ในขั้นตอนที่ก้าวหน้าไปมากแล้ว ซึ่งเรารู้ว่าประเทศใหญ่ๆ ในโลกต่างพยายามล็อกคิวเพื่อที่จะได้ใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ แต่ตนเห็นว่าประเทศไทยก็สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้นด้วย คือการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเพียงพอ เพราะการได้วัคซีนมาใช้ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นด้วย เมื่อ 2-3 เดือนก่อนประเทศไทยจึงเดินหน้าหาพันธมิตร เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ไปเข้าคิวรอซื้อจากการผลิตในประเทศอื่นเพียงอย่างเดียว เมื่อเดือนที่แล้ว ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ ซึ่งนอกจากเราได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทย หากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือประเทศไทยยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนนี้ด้วย
“ในวันพรุ่งนี้ (27 พ.ย.) จะมีการลงนามเพิ่มเติมในอีกหนึ่งข้อตกลงเพื่อสั่งซื้อวัคซีนนี้ โดยเมื่อ 2-3 วันก่อน เราได้รับทราบข่าวดีว่า ทีมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 70-90% อยู่ในระดับที่ดีมาก คาดว่า วัคซีนโควิด-19 ดังกล่าวน่าจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ และผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้า (2564) ซึ่งถ้าเราเร่งขั้นตอนต่างๆ ได้ ยิ่งเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเปิดรับคนจำนวนมากเข้าประเทศได้ และสามารถเริ่มสร้างฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ผมกำลังพิจารณาวางแผนกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับการกระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศให้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เราได้วัคซีน” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวขอความร่วมมือประชาชนด้วยว่า ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ ขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ผู้ที่ได้ร่วมมือ ร่วมใจ เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวในการยับยั้ง และป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ได้ช่วยกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน และบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจนหนักหนาสาหัสในประเทศไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ขอให้พวกเราทุกคนยังคงรักษาวินัย ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างทางสังคม ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เพื่อไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับประเทศ รุนแรงกว่าที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันที่ 27 พ.ย.นี้ นายกฯจะเป็นประธานพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยเป็นการจองล่วงหน้าและสัญญาการจัดซื้อวัคซีน กับบริษัทแอสตร้าเซเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 63 เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้าและการจัดซื้อวัคซีน จำนวน 26 ล้านโดส ในวงเงิน 6,049 ล้านบาทเศษ ซึ่งสามารถครอบคลุมการรักษาคนไทย 13 ล้านคน หรือราว 20% ของจำนวนประชากร
วานนี้ (26 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 และความคืบหน้าเกี่ยวกับการจองซื้อวัคซีนป้องกันโรคดควิด-19 จากประเทศอังกฤษ ที่จะมีการลงนามจองซื้อในวันนี้ (27 พ.ย.) ซึ่งจะมีการเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ตอนหนึ่งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนว่า มีโอกาสที่โควิด-19 จะเกิดการระบาดอีกเป็นระลอกที่ 3 ในช่วงปีหน้า ถ้าแต่ละประเทศไม่รักษาวินัย และไม่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด สถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข และผลกระทบที่ส่งมาถึงเรื่องเศรษฐกิจ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้เรากำลังเตรียมตัวสำหรับเฟสถัดไปในการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้สร้างปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและสร้างความยากลำบากในความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้ วิธีจัดการในระยะยาวคือการมีวัคซีนป้องกัน และจะต้องกระจายไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึง ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่ง 3-4 กลุ่ม อยู่ในขั้นตอนที่ก้าวหน้าไปมากแล้ว ซึ่งเรารู้ว่าประเทศใหญ่ๆ ในโลกต่างพยายามล็อกคิวเพื่อที่จะได้ใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ แต่ตนเห็นว่าประเทศไทยก็สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้นด้วย คือการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเพียงพอ เพราะการได้วัคซีนมาใช้ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นด้วย เมื่อ 2-3 เดือนก่อนประเทศไทยจึงเดินหน้าหาพันธมิตร เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ไปเข้าคิวรอซื้อจากการผลิตในประเทศอื่นเพียงอย่างเดียว เมื่อเดือนที่แล้ว ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ ซึ่งนอกจากเราได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทย หากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือประเทศไทยยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนนี้ด้วย
“ในวันพรุ่งนี้ (27 พ.ย.) จะมีการลงนามเพิ่มเติมในอีกหนึ่งข้อตกลงเพื่อสั่งซื้อวัคซีนนี้ โดยเมื่อ 2-3 วันก่อน เราได้รับทราบข่าวดีว่า ทีมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 70-90% อยู่ในระดับที่ดีมาก คาดว่า วัคซีนโควิด-19 ดังกล่าวน่าจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ และผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้า (2564) ซึ่งถ้าเราเร่งขั้นตอนต่างๆ ได้ ยิ่งเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเปิดรับคนจำนวนมากเข้าประเทศได้ และสามารถเริ่มสร้างฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ผมกำลังพิจารณาวางแผนกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับการกระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศให้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เราได้วัคซีน” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวขอความร่วมมือประชาชนด้วยว่า ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ ขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ผู้ที่ได้ร่วมมือ ร่วมใจ เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวในการยับยั้ง และป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ได้ช่วยกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน และบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจนหนักหนาสาหัสในประเทศไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ขอให้พวกเราทุกคนยังคงรักษาวินัย ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างทางสังคม ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เพื่อไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับประเทศ รุนแรงกว่าที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันที่ 27 พ.ย.นี้ นายกฯจะเป็นประธานพิธีลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยเป็นการจองล่วงหน้าและสัญญาการจัดซื้อวัคซีน กับบริษัทแอสตร้าเซเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน หลังจากที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 63 เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้าและการจัดซื้อวัคซีน จำนวน 26 ล้านโดส ในวงเงิน 6,049 ล้านบาทเศษ ซึ่งสามารถครอบคลุมการรักษาคนไทย 13 ล้านคน หรือราว 20% ของจำนวนประชากร