ธปท.ให้สถาบันการเงินสามารถจ่ายเงินปันผลได้ปี 63 ได้ไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ หวั่นกระทบถึงเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน ยันสภาพคล่องแบงค์ยังอยู่ในระดับสูง ลั่นติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตลอดเวลา
วานนี้ (12 พ.ย.) นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้กำหนดแนวทางการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 โดยพิจารณาจากแผนบริหารจัดการเงินกองทุนและผลประเมิน stress test ของสถาบันการเงิน ในช่วงปี 2563-2565 พบว่า สถาบันการเงินยังคงมีเงินกองทุนและเงินสำรองเพียงพอรองรับสถานการณ์เลวร้ายจากการระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับสถาบันการเงินได้เพิ่มความระมัดระวังด้วยการทยอยตั้งสำรองและสะสมเงินกองทุนเพิ่มเติมมาโดยตลอด ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีอัตราการกันเงินสำรองถึง 1.5 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 19.8 % ณ ไตรมาส 3 ปี 2563
นายรณดล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ธปท. จึงเห็นควรมีมาตรการเชิงป้องกัน โดยให้สถาบันการเงินสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานของปี 2563 ได้ไม่เกินอัตราการจ่ายในปี 2562 และต้องไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิของปี 2563 โดยเฉลี่ยการจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบอยู่ที่ 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และลูกหนี้ของสถาบันการเงินในระยะยาว
รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวยืนยันว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ มีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับที่สูง โดยมีอัตราเงินส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) 19.8% ธนาคารพาณิชย์จัดสรรกำไรเข้าเงินกองทุนและออกตราสารการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ทำให้ฐานะมีความแข็งแกร่ง, อัตราส่วนเงินสำรองที่มีอยู่ต่อ NPL (NPL coverage ratio) 149.7% ธนาคารได้สำรองเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับคุณภาพสินเชื่อที่อาจจะเกิดขึ้นจากผลกระทบโควิด โดยมีสำรองเพิ่มขึ้นจากปีก่อน, อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสด ที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต(LCR) 184.9 % โดยมีสัดส่วนที่สูงกว่าปกติที่ต้องมี LCR 100% และอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D ratio) 93% อยู่ในระดับที่ทรงตัว
“จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน มีความเข้มแข็ง เพียงพอต่อการรองรับผลกระทบได้ในระดับสูงสุด อย่างไรก็ตาม ธปท.จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดคงามมั่นคงต่อระบบ รวมทั้งจะทบทวนมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นโยบายดังกล่าวจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง รักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง มีกันชนรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง” นายรณดล ระบุ
วานนี้ (12 พ.ย.) นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้กำหนดแนวทางการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 โดยพิจารณาจากแผนบริหารจัดการเงินกองทุนและผลประเมิน stress test ของสถาบันการเงิน ในช่วงปี 2563-2565 พบว่า สถาบันการเงินยังคงมีเงินกองทุนและเงินสำรองเพียงพอรองรับสถานการณ์เลวร้ายจากการระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับสถาบันการเงินได้เพิ่มความระมัดระวังด้วยการทยอยตั้งสำรองและสะสมเงินกองทุนเพิ่มเติมมาโดยตลอด ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีอัตราการกันเงินสำรองถึง 1.5 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 19.8 % ณ ไตรมาส 3 ปี 2563
นายรณดล กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า สถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ธปท. จึงเห็นควรมีมาตรการเชิงป้องกัน โดยให้สถาบันการเงินสามารถจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานของปี 2563 ได้ไม่เกินอัตราการจ่ายในปี 2562 และต้องไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิของปี 2563 โดยเฉลี่ยการจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบอยู่ที่ 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินต่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และลูกหนี้ของสถาบันการเงินในระยะยาว
รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวยืนยันว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ มีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับที่สูง โดยมีอัตราเงินส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) 19.8% ธนาคารพาณิชย์จัดสรรกำไรเข้าเงินกองทุนและออกตราสารการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ทำให้ฐานะมีความแข็งแกร่ง, อัตราส่วนเงินสำรองที่มีอยู่ต่อ NPL (NPL coverage ratio) 149.7% ธนาคารได้สำรองเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับคุณภาพสินเชื่อที่อาจจะเกิดขึ้นจากผลกระทบโควิด โดยมีสำรองเพิ่มขึ้นจากปีก่อน, อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสด ที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต(LCR) 184.9 % โดยมีสัดส่วนที่สูงกว่าปกติที่ต้องมี LCR 100% และอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D ratio) 93% อยู่ในระดับที่ทรงตัว
“จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน มีความเข้มแข็ง เพียงพอต่อการรองรับผลกระทบได้ในระดับสูงสุด อย่างไรก็ตาม ธปท.จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดคงามมั่นคงต่อระบบ รวมทั้งจะทบทวนมาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นโยบายดังกล่าวจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง รักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง มีกันชนรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง” นายรณดล ระบุ