เปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้งสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นที่ต้องเปิดไปที่ “อเมริกา”กันอีกนั่นแหละทั่น!!! แม้ขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้การนับคะแนนจากหีบเลือกตั้งแต่ละใบ ในบางแห่ง บางรัฐ ยังคงไม่แล้วเสร็จ แต่แนวโน้มที่ “โจซึมเซา” หรือ “Sleepy Joe”ตามคำเรียกขาน คำนิยามของผู้สนับสนุน “ทรัมป์บ้า”ทั้งหลาย จะผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 46 ดูจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วก็ว่าได้...
และงานนี้...ย่อมต้องมีทั้งผู้ที่ “หน้าแหก-หน้าไม่แหก”กันในระดับโลก เพราะโดยส่วนใหญ่ อดไม่ได้ที่จะต้องตามลุ้น ตามเชียร์ หรือแม้แต่ตามแช่ง คู่แข่งและคู่ชิงรายหนึ่ง-รายใด อันเนื่องมาจากความมีอำนาจอิทธิพลในระดับโลก แทบจะครอบคลุมไปทั่วทุกซีกโลก การตามลุ้น ตามเชียร์ และตามแช่ง ให้ฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด แพ้หรือชนะ จึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ต่างอะไรไปจากการลุ้น “หงส์แดง-ลิเวอร์พรุน” หรือ “ผีแดง-แมนยู” นั่นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...ผู้ที่หน้าแหก-หน้าแตก ชนิดไม่น่าจะมีหมอรายใดกล้า “รับเย็บ” โดยเด็ดขาด คือแตกและแหกกันในระดับโลก น่าจะหนีไม่พ้นไปจากผู้นำ หรือนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศ “สโลเวเนีย” “นายJanez Jansa”ที่ลุกลี้ลุกลน รีบออกมา “ทวีต”ตั้งแต่ช่วงวันพุธ (4 พ.ย.) หรือตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดหีบ นับหีบ นับคะแนนในรัฐสำคัญๆ อย่างเพนซิลเวเนีย จอร์เจีย แอริโซนา วิสคอนซิน ฯลฯ ให้เบ็ดเสร็จเสร็จสิ้นเอาเลยแม้แต่น้อย คือพอเห็น “ทรัมป์บ้า”ออกมาประกาศชัยชนะเหนือ “โจซึมเซา” ด้วยเหตุเพราะ “กลัวแพ้” หรือกลัวถูกชิงตัดหน้า ประกาศความมั่นอกมั่นใจ ในการที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคราวนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ “นายJanez Jansa”ก็เอาเลย!!! ออกมาแสดงความยินดีต่อชัยชนะของ “ทรัมป์บ้า”แบบฉับพลัน-ทันที...
ทั้งๆ ที่ขนาดผู้ได้ชื่อว่า “ทรัมป์แห่งละตินอเมริกา” หรือผู้ที่พยายามลอกแบบ เลียนแบบ “ทรัมป์บ้า”มาโดยตลอด ชนิดไม่ใช่แค่ “บ้า” เหมือนกัน ยังถึงกับ “ติดเชื้อโควิด” เหมือนกันอีกด้วยต่างหาก อย่าง “นายJair Bolsonaro”ผู้นำประเทศบราซิล ยังต้องหัดเย็บปาก เย็บคำ ไม่กล้าแสดงความคิด ความเห็นใดๆ แม้แต่น้อย แต่สำหรับผู้นำสโลเวเนียที่ไม่รู้ไปเอาข่าวกรอง ข่าวเกรอะกรังมาจากไหน ถึงกับต้องออกมาป่าวประกาศด้วยข้อความที่ว่า... “มันชัดแจ้งแดงแจ๋แล้วว่า ชาวอเมริกันตัดสินใจเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ และไมค์ เพนซ์ สำหรับอนาคตอเมริกาในอีก 4 ปีข้างหน้า”แถมยังแกว่งปากหาเท้าต่อไปอีกว่า... “ถ้าโจ ไบเดนเป็นผู้ชนะ เขาจะเป็นประธานาธิบดีที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ” งานนี้...ป่านนี้ เลยไม่รู้ว่า แหกแล้ว แหกอีก หรือแตกแล้วแตกอีก ไปแล้วถึงขั้นไหน???
แต่สำหรับประเทศอดีตอภิมหาอำนาจ หรืออดีตจักรวรรดินิยมอันดับหนึ่งของโลก อย่างผู้ดีอังกฤษ แม้จะได้ชื่อว่า “ทรัมป์สอง”อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ “นายกฯ หัวกระเซิง” อย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” ก็ออกจะ “เล่นเป็น” อยู่พอสมควร คือแม้ว่าประธานาธิบดีอเมริกันคนปัจจุบัน จะออกมากล่าวหา กล่าวร้ายต่อ “ระบบเลือกตั้ง”ของประเทศตัวเอง ถึงขั้นประกาศว่ามีการ “โกงเลือกตั้ง” หรือ “ขโมยเลือกตั้ง” อะไรประมาณนั้น แต่นายกฯ ผู้ดีอังกฤษ ก็ยังคงแสดงความมั่นอกมั่นใจ โดยไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ต่อ “กระบวนการประชาธิปไตย”และต่อ “ระบบถ่วงดุลและสถาบันต่างๆ” ในอเมริกา ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงของประเทศมหาอำนาจอีกรายในยุโรป อย่าง “นายHeiko Mass”รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ก็ได้ออกมาให้ความคิด ความเห็น ที่ค่อนข้าง “เข้าท่า” มิใช่น้อย ด้วยการสรุปว่า... “การเป็นผู้แพ้ที่ดี มีความสำคัญเอามากๆ สำหรับความเป็นประชาธิปไตย หรืออาจมากซะยิ่งกว่าการเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่”รวมทั้งยังได้เน้นไว้ด้วยว่า...อเมริกานั้น คงไม่น่าจะใช่ประเทศ “วัน แมน โชว์”โดยเด็ดขาด...
คือแม้ว่าความคิด ความเห็นของ “นายHeiko Mass” จะออกไปทางหนีบๆ และเหน็บๆ ผู้นำอเมริกาคนปัจจุบันอยู่พอสมควร โดยเฉพาะหลังจากที่ “ทรัมป์บ้า”ได้ออกมาฟาดงวง ฟาดงา ว่าถูก “โกงเลือกตั้ง” หรือ “ขโมยเลือกตั้ง”อันอาจถือเป็นการกระทำที่รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีได้ระบุไว้ว่า...ใครก็ตามที่ออกมาโหมฟืน โหมไฟ ให้สถานการณ์เลือกตั้งในอเมริกา มีแต่ต้องแย่ลงไปอีก ถือเป็น “ผู้ปราศจากความรับผิดชอบ” อะไรทำนองนั้น แต่โดยสรุปรวมความแล้ว ยังถือเป็น “ทัศนคติ”ที่ให้ค่า ให้ความสำคัญต่อ “ระบบการเมือง” ในอเมริกา หรือ “ประชาธิปไตยอเมริกา” ไม่ต่างอะไรไปจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษเช่นเดียวกัน หรือยังคงเชื่อมั่นต่อ “ระบบ” แม้ว่า “ตัวบุคคล” อาจบ้ามาก บ้าน้อย ไปตามสภาพ...
ต่างไปจากทัศนะและความคิดเห็นของบรรดา “กุมารจีน”บางราย อย่างเช่นบทนำ “Global Times” เมื่อช่วงวันศุกร์ (6 พ.ย.) ที่ผ่านมา ที่ได้สะท้อนมุมมองและแง่คิดถึงการเลือกตั้งอเมริกาคราวนี้ อย่างน่าคิดและน่าสะกิดใจเอามากๆ ในข้อเขียน บทความชื่อว่า “Election push US divide past tipping point” หรือการเลือกตั้งคราวนี้ได้ผลักประเทศอเมริกาไปสู่ความแตกแยก หลังจากได้ผ่านจุดสูงสุดมาเรียบร้อยแล้ว อะไรประมาณนั้น ซึ่งต้องถือเป็นทัศนะที่มีเหตุมีผลมิใช่น้อย ไม่ได้มีน้ำเสียงของการเหยียดหยาม เย้ยหยัน อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย แม้ตัวเองจะมีฐานะเป็น “คู่กัด” โดยตรงกับคุณพ่ออเมริกาก็ตาม หรือแม้ว่าตัวเองจะมีฐานะเป็น “ประชาธิปไตยรวมศูนย์”หรือเป็น “เผด็จการ”ไม่ใช่เป็น “ประชาธิปไตยเสรี” อยู่แล้วแน่ๆ แต่โดยมุมมองของสื่อทางการจีนคราวนี้ อาจต้องถือว่า...เป็นสิ่งที่บรรดาประเทศประชาธิปไตย หรือเพรียกหาประชาธิปไตยทั้งหลาย คงต้องเก็บมานอนคิด นั่งคิด ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร อยู่บ้างเหมือนกัน...
คือนอกจากจะแสดงความตระหนักถึงคุณค่า ราคาของ “ความเป็นประชาธิปไตย” ในอเมริกา ว่าเป็นสิ่งที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมรองรับมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ภายใต้โลกยุคใหม่ สมัยใหม่ ที่ “ผลประโยชน์” จากการเป็นผู้ได้เปรียบผู้อื่นในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วย “โลกาภิวัตน์แห่งทุนนิยม” ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย มันเริ่มหดหาย แห้งเหือดลงไปเรื่อยๆ ภายใต้ภาวะเช่นนี้นี่เอง ที่บทนำ “Global Times”พยายามสะท้อนให้เห็นว่า...การทำให้เกิดความเป็น “เอกภาพ” หรือจะเรียกว่า “ความสมานฉันท์”หรือ “ปรองดอง”ใดๆ ก็แล้วแต่ ภายในสังคมอเมริกันนั้น กลายเป็น “ภาระ” ที่หนักเอามากๆ หรืออ่อนไหวเอามากๆ สำหรับ “ระบอบประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกา...
โดยเฉพาะเมื่อ “ความแตกต่าง” ที่ยังคงฝังลึกอยู่ในสังคมอเมริกัน มีทั้งความแตกต่างทาง “เชื้อชาติ” ทาง “ชนชั้น” ไปจนกระทั่งทาง “ภูมิศาสตร์กายภาพ”อีกด้วยต่างหาก หรืออย่างที่นักเขียนชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ “นายJoel Garreau”เคยบอกเล่าเก้าสิบไว้ในหนังสือเรื่อง “The Nine Nations of North America” อะไรทำนองนั้น บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้นี่เองที่สื่อทางการของจีนเขาเห็นว่า...อเมริกาเองจำเป็นต้องหาทาง “ปฏิรูปการเมือง” ไม่ต่างไปจากบรรดาประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ หรือระบบการเมือง การเลือกตั้งในอเมริกา อาจเป็นอะไรที่ “เชยซ์ซ์ซ์”ไปแล้ว!!! ไม่งั้น...โอกาสที่จะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เพราะ “ความแตกแยก”ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความแตกต่างต่อไปอีกแล้ว มันอาจระเบิดขึ้นมาภายหลังการเลือกตั้งคราวนี้เอาเลยก็ไม่แน่คือมองเป็นเรื่อง “ระบบ”ไม่ใช่แค่ “ตัวบุคคล” อย่างบรรดาผู้นำประชาธิปไตยในยุโรปทั้งหลาย ที่ก็ยังหาความเป็น “เอกภาพ” ภายในประเทศตัวเองไม่ค่อยจะเจอ จนตราบเท่าทุกวันนี้...
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจนำมาใช้เป็นอนุสสติ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ แม้แต่ประเทศ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”ของหมู่เฮาทุกวันนี้ก็ย่อมได้ หรืออย่างน้อย...ก็อาจพอช่วยให้ผู้ที่คิดจะลอกแบบ เลียนแบบ “ประชาธิปไตยอเมริกา”อยากเป็น “สาธารณรัฐ”ด้วยการตัดหัว คั่วแห้ง ใครต่อใครที่ไม่เห็นควรด้วยกับตัวเอง น่าจะหยิบเอามาเถียง เอามาอภิปราย ใน “คณะกรรมการสมานฉันท์” ซะแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ความเป็นประชาธิปไตยทั้งหลาย จะก่อให้เกิดความเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก มากยิ่งไปกว่านี้!!!