“สุพัฒนพงษ์” มั่นใจ ศก.ไทยจะค่อยๆดีขึ้นกลับมาสู่ปกติใน 2 ปี และฟื้นตัวได้ในปี 66 เป็นอย่างช้า เตือนต้องไม่ประมาท “โควิด-19” กลับมาระบาดอีก เล็งอัดฉีดเงินรัฐ 5 หมื่นล้านบาท ร่วม ปชช.-เอกชนรวม 1 แสนล้านบาทกระตุ้นการใช้จ่ายรับไตรมาส 4
วานนี้ (24 ก.ย.) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน กล่าวในงานสัมมนา "BATTLE STRATEGY แผนฝ่าวิกฤต พิชิตสงคราม EPISODE II : DON'T WASTE A GOOD CRISIS พลิกชีวิตด้วยวิกฤตการณ์" ในหัวข้อ "นโยบายรัฐ...ชี้ชะตาชีวิตหลังโควิด" ว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับไปสู่ภาวะปกติภายใน 2 ปี และกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2566 เป็นอย่างช้า อย่างไรก็ตาม อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการควบคุมและป้องกันไม่ให้โควิด-19 กลับมาระบาดรอบ 2 จนต้องปิดประเทศอีกครั้ง
“ดังนั้น ระยะสั้น 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.) รัฐบาลจะอัดฉีดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลลงสู่เศรษฐกิจโดยรวมอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการระยะสั้น จะมีทั้ง 1.การจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะเร่งด่วนวันที่ 26-28 ก.ย. จะมีการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ที่ไบเทค บางนา ซึ่งจะร่วมกับการจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2. กระตุ้นการใช้จ่ายวงเงินราว 1 แสนล้านบาท ช่วงต.ค.-ธ.ค. โดยเป็นเงินจากรัฐ 5 หมื่นล้านบาท อีกครึ่งหนึ่งประชาชนต้องควักเอง อาทิ การเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นลักษณะคนละครึ่ง และกำลังพิจารณาดูแลคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นระดับบนขึ้น โดยเป็นลักษณะคนละเสี้ยว ที่อาจจะเป็นมาตรการด้านภาษี เป็นต้น
"ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ รัฐบาลได้อัดฉีดเงินยิงตรงสู่ประชาชนไปแล้วราว 9 แสนล้านบาท อาทิ การเยียวยาวผู้ได้รับผลกระทบ มาตรการลดค่าใช้จ่าย การช่วยเหลือสภาพคล่องฯลฯ และขณะนี้ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายสามารถกลับมาใช้ชีวิตเกือบจะปกติ เหลือแค่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รัฐก็จะประคองเศรษฐกิจต่อในช่วงนี้ เพื่อรอการฟื้นตัวที่ผมมองว่าโควิดมีจุดสิ้นสุดเพราะทุกประเทศต่างก็กำลังคิดค้นวัคซีน 2 ปีน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้" รองนายกฯกล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้วงเงิน 5 หมื่นล้านบาทดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับมาตรการต่างๆ ที่เตรียมไว้ก็จะเหลือวงเงินราว 2.3 แสนล้านบาท ที่จะค่อยๆทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยปี 64-65 เชื่อว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆดีขึ้น และสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ การดึงดูดนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะนำร่องในเดือน ต.ค.ก่อนโดยเป็นลักษณะ Special Visa ซึ่งจะมีการออกแบบใหม่เน้นคุณภาพของการจับจ่ายในประเทศแทนปริมาณคนเมื่อดีขึ้นก็จะนำไปสู่การเปิดประเทศ ขณะเดียวกันเราจะไม่ทิ้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพราะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วพอสมควร และพบว่าหลังโควิด-19 ไทยกลายเป็นประเทศเป้าหมายในการย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง
"ปี 64-65 เราต้องเดินสายชวนมาให้ได้ ทั้งการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะจีดีพีที่เราหายไปเกือบ 2 ล้านล้านบาท เราก็ต้องเร่งทำกลับมาสิ่งที่รัฐทำก็น่าจะประคองอยู่ได้ แต่สมมติฐานเดิมคือ ต้องควบคุมโควิด ต้องดีไม่ให้ระบาดรอบ 2 จนต้องปิดเมืองอีก ส่วนการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ที่ใกล้จะครบในเดือน ต.ค. เป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
วานนี้ (24 ก.ย.) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน กล่าวในงานสัมมนา "BATTLE STRATEGY แผนฝ่าวิกฤต พิชิตสงคราม EPISODE II : DON'T WASTE A GOOD CRISIS พลิกชีวิตด้วยวิกฤตการณ์" ในหัวข้อ "นโยบายรัฐ...ชี้ชะตาชีวิตหลังโควิด" ว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับไปสู่ภาวะปกติภายใน 2 ปี และกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2566 เป็นอย่างช้า อย่างไรก็ตาม อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการควบคุมและป้องกันไม่ให้โควิด-19 กลับมาระบาดรอบ 2 จนต้องปิดประเทศอีกครั้ง
“ดังนั้น ระยะสั้น 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.) รัฐบาลจะอัดฉีดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินไหลลงสู่เศรษฐกิจโดยรวมอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการระยะสั้น จะมีทั้ง 1.การจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะเร่งด่วนวันที่ 26-28 ก.ย. จะมีการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ที่ไบเทค บางนา ซึ่งจะร่วมกับการจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2. กระตุ้นการใช้จ่ายวงเงินราว 1 แสนล้านบาท ช่วงต.ค.-ธ.ค. โดยเป็นเงินจากรัฐ 5 หมื่นล้านบาท อีกครึ่งหนึ่งประชาชนต้องควักเอง อาทิ การเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เป็นลักษณะคนละครึ่ง และกำลังพิจารณาดูแลคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นระดับบนขึ้น โดยเป็นลักษณะคนละเสี้ยว ที่อาจจะเป็นมาตรการด้านภาษี เป็นต้น
"ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ รัฐบาลได้อัดฉีดเงินยิงตรงสู่ประชาชนไปแล้วราว 9 แสนล้านบาท อาทิ การเยียวยาวผู้ได้รับผลกระทบ มาตรการลดค่าใช้จ่าย การช่วยเหลือสภาพคล่องฯลฯ และขณะนี้ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายสามารถกลับมาใช้ชีวิตเกือบจะปกติ เหลือแค่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รัฐก็จะประคองเศรษฐกิจต่อในช่วงนี้ เพื่อรอการฟื้นตัวที่ผมมองว่าโควิดมีจุดสิ้นสุดเพราะทุกประเทศต่างก็กำลังคิดค้นวัคซีน 2 ปีน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้" รองนายกฯกล่าว
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้วงเงิน 5 หมื่นล้านบาทดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 4 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับมาตรการต่างๆ ที่เตรียมไว้ก็จะเหลือวงเงินราว 2.3 แสนล้านบาท ที่จะค่อยๆทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยปี 64-65 เชื่อว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆดีขึ้น และสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ การดึงดูดนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะนำร่องในเดือน ต.ค.ก่อนโดยเป็นลักษณะ Special Visa ซึ่งจะมีการออกแบบใหม่เน้นคุณภาพของการจับจ่ายในประเทศแทนปริมาณคนเมื่อดีขึ้นก็จะนำไปสู่การเปิดประเทศ ขณะเดียวกันเราจะไม่ทิ้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพราะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วพอสมควร และพบว่าหลังโควิด-19 ไทยกลายเป็นประเทศเป้าหมายในการย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง
"ปี 64-65 เราต้องเดินสายชวนมาให้ได้ ทั้งการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะจีดีพีที่เราหายไปเกือบ 2 ล้านล้านบาท เราก็ต้องเร่งทำกลับมาสิ่งที่รัฐทำก็น่าจะประคองอยู่ได้ แต่สมมติฐานเดิมคือ ต้องควบคุมโควิด ต้องดีไม่ให้ระบาดรอบ 2 จนต้องปิดเมืองอีก ส่วนการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ที่ใกล้จะครบในเดือน ต.ค. เป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)" นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว