คงต้องสารภาพว่า...การติดตามความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของโลกในช่วงนี้ เล่นเอาถึงกับ “มึนซ์ซ์ซ์” หรือเล่นเอาปวดเศียรเวียนเกล้ากันไปมิใช่น้อย ด้วยเหตุเพราะโดยลักษณะอาการมันหนักไปทาง “อลวน-สับสน-และโกลาหล” ยิ่งเข้าไปทุกที คล้ายๆ ตกอยู่ในสภาพ “Chaos Theory” หรือเป็นไปตาม “ทฤษฎีโกลาหล” “ทฤษฎีความอลวน” ก็แล้วแต่จะเรียก อย่างถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
อันเนื่องมาจาก “เหตุปัจจัย” สำคัญ...นั่นก็คือการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาด ของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” นั่นแหละ ทั่นที่ยังหามุมจบ หาจุดลงตัว ยังไม่เจอแม้กระทั่งทุกวันนี้ หรือกระทั่งส่งผลให้จำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ทั่วทั้งโลก ปาเข้าไปถึงระดับ 18,236,624 คนไปแล้ว ตามตัวเลข สถิติ เมื่อช่วงวันจันทร์ (3 ก.ค.) ที่ผ่านมา ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 692,819 คน แล้วแถมทำท่า ว่าอาจมีการระบาดระลอกสอง ระลอกสาม ตามมาอีกหรือไม่? อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปและคาดคะเนได้ ท่ามกลาง “ความลึกลับ” ของการ “กลายพันธุ์” หรือการปรากฏตัวในรูปใหม่ แบบใหม่...
ชนิดที่ทำให้ประเทศที่เคยตั้งการ์ด ยกการ์ด เคยใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดแบบจริงๆ จังๆ ถึงขั้นย่อมปิดบ้าน ปิดเมือง ไปเป็นส่วนๆ แถบๆ จนสามารถผ่านจุดสูงสุดของการติดเชื้อมาแล้ว แต่เพียงแค่ “การ์ดตก” เข้านิดเดียว ก็ทำท่าว่าอาจต้องเจอกับการระบาดระลอกใหม่ ระลอกสอง ระลอกสาม เอาเลยก็ไม่แน่!!! ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย ที่ทุกวันนี้...บางรัฐอย่างเช่นรัฐวิคตอเรียถึงกับต้องกลับไปประกาศภาวะภัยพิบัติทั่วทั้งรัฐ ห้ามประชาชนออกนอกบ้านในยามวิกาล เช่นเดียวกับนิวเซาท์เวลส์ที่ต้องหันมาเร่งเร้าให้ผู้คน “สวมหน้ากาก” หลังจากที่เจอกับ “เคสลึกลับ” ของการแพร่ระบาด โผล่ขึ้นมาดื้อๆ ส่วนฮ่องกงก็ต้องหันไปเรียกหาบริการ จากผู้เชี่ยวชาญในจีนแผ่นดินใหญ่ ให้เร่งเข้ามาตรวจสอบการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ที่โผล่ขึ้นมาทั้งๆ ที่เคยซาๆ ไปมั่งแล้ว...
ส่วนฟิลิปปินส์...ทั้งๆ ที่เคยตัดสินใจปิดบ้าน ปิดเมืองมาแล้วเป็นแถบๆ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่ทำสถิติพรวดๆ พราดๆ ไปถึงวันละ 5,000 ราย ก็เลยทำให้รัฐบาลยังไม่รู้จะหันกลับไปปิดบ้าน ปิดเมือง กันอีกครั้งหรือเปล่า??? เช่นเดียวกับอเมริกา อังกฤษ สเปน ฯลฯ ที่ทำท่าว่าอาจต้องหวนกลับมาใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์” กันอีกในบางระดับ ขณะที่อิสราเอลนั้น...การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวเร็วเกินไป ส่งผลให้บรรดาลูกหลานชาวยิวจำนวนนับพันๆ ต้องออกมาประท้วง “รัฐบาลแห่งชาติ” ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “เนทันยาฮู”เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งเอาเลยถึงขั้นนั้น ชนิดที่เผลอๆ...อาจต้องกลับไป “เลือกตั้ง” กันใหม่ หลังจากที่เคยเลือกมาแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ครั้นเมื่อพยายามดิ้นรนหาจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาจนได้ แต่ก็เพราะฤทธิ์เดชของเชื้อ “COVID-19” นี่แหละ อาจหนีไม่พ้นต้องกลับไปเลือกตั้งรอบที่ 4 อีกไม่นานนับจากนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้...
และก็ด้วยเหตุเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” นี่เอง...ที่ทำให้ประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ซึ่งกำลังมีคะแนนนิยมตามหลังคู่แข่ง คู่ชิง แบบทิ้งห่างเข้าไปทุกที พยายามหยิบมาใช้เป็นเหตุผล ข้ออ้าง เสนอแนะให้ “เลื่อนการเลือกตั้งอเมริกา” แทนที่จะหันไปลงคะแนนทางไปรษณีย์ จนก่อให้เกิดวิวาทะในสังคมประชาธิปไตย ตามแบบฉบับอเมริกันกันไปมิใช่น้อย แม้ว่าอาจยากส์ส์ส์เอามากๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อเสนอแนะของประธานาธิบดี แต่โอกาสที่การเลือกตั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง อาจก่อให้เกิดบรรยากาศ “ความไม่สุจริต ยุติธรรม” หรือเกิด “การโกงเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา” ตามที่ “ทรัมป์บ้า” ได้ออกมาตั้งข้อสมมติฐานไว้ก่อนล่วงหน้า ย่อมสามารถส่งผลให้ “ประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกา “เละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก”หรืออาจหามุมจบกันไม่เจอ อีกเป็นปีๆ เอาเลยก็ไม่แน่...
ส่วนประชาธิปไตยในประเทศ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา...อย่างโบลิเวีย เป็นต้น อันนี้...ก็เละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก ตั้งแต่รัฐบาลอเมริกัน หันไปให้การยอมรับ “รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ของลูกสมุนอเมริกา อย่าง “นางJeanine Anez” มาแล้วแต่ต้น หรือรัฐบาลที่เกิดจากการไล่ถีบ ไล่กระทืบ ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง อย่าง “นายEvo Morales” จนต้องเผ่นหนีออกไปนอกประเทศ หาทางกลับประเทศไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ครั้นจะจัดให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ ก็ด้วยการอาศัยเหตุผล ข้ออ้าง ในแบบเดียวกับผู้นำอเมริกานั่นแหละ คืออาศัยเหตุปัจจัยอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” สั่งให้ “เลื่อนการเลือกตั้ง” ออกไปมาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 หน จากครั้งล่าสุดที่กะเอาไว้ในเดือนกันยายน เลื่อนไปเป็นเดือนตุลาคมกันแทนที่ เพราะถ้าหากเลือกกันในช่วงนี้ โอกาสที่อดีตรัฐมนตรีคลังของรัฐบาล “Morales” อย่าง “นายLuis Arce” จะผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีโบลิเวียรายต่อไป ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
ขณะที่ประเทศ “คู่กัด” ของอเมริกาอย่างเวนาซุเอลานั้น...การเลือกตั้งรอบใหม่ที่รัฐสภาเวเนซุเอลา ตัดสินใจว่าจะให้มีขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ แต่ด้วยเหตุที่ “ประธานาธิบดีหุ่น” หรือประธานาธิบดีที่มาจากการแต่งตั้งตัวเอง และได้รับการรับรองโดยอเมริกาอย่าง “นายฮวน กุยโด” นับวันจะมีคะแนนนิยมตกต่ำลงไปทุกที การประกาศไม่ยอมรับ ไม่ยอมมีส่วนในการเลือกตั้งตามวัน-เวลา ที่รัฐสภากำหนดเอาไว้ หรือต้องการให้ “เลื่อนการเลือกตั้ง” ออกไป จึงกลายเป็น “ประชาธิปไตยฉบับเวเนซุเอลา” ไปด้วยประการละฉะนี้...
ส่วนบรรดา “ปวงชน” ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยในแต่ละประเทศ...ก็พลอยสับสน-อลหม่าน หนักขึ้นเรื่อยๆ พูดง่ายๆ ว่าเพียงแค่รัฐบาลคิดจะออกมาตรการสั่งให้ “สวมหน้ากาก”เวลาออกนอกบ้านเท่านั้น เล่นเอาถึงขั้นเกิดการเดินขบวน การประท้วง ในประเทศต่างๆ ชนิดเป็นเรื่อง เป็นราวและเอาเรื่อง เอาราวมิใช่น้อย ช่วงวันเสาร์ (1 ส.ค.)ที่ผ่านมา ชาวเมืองผู้ดีอังกฤษนับพันๆ คนที่ออกมาชูป้ายประเภท “เสรีภาพย่อมอยู่เหนือความกลัว” หรือ “หน้ากากคือตะกร้อครอบปากสุนัข” ฯลฯ เคลื่อนขบวนปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน้าสำนักงานสำนักข่าว “BBC” ขณะที่ชาวเมืองไส้กรอกเยอรมัน ที่ไม่อยากสวมตะกร้อครอบปากเช่นเดียวกัน ถึงกับไล่ทุบ ไล่กระทืบตำรวจ บาดเจ็บไปนับสิบๆ ราย นั่นยังไม่รวมถึงการทะเลาะเบาะแว้ง การแยกกลุ่ม แยกฝ่าย ระหว่างปวงชน “ฝ่ายสวมหน้ากาก” กับ “ฝ่ายไม่สวมหน้ากาก” ที่ออกมาไล่ทุบ ไล่กระทืบ ด่าว่า ด่าทอ ซึ่งกันและกัน ที่ปรากฏเป็นข่าวคราวชนิดไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าในอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ฮอลแลนด์ สเปน ฝรั่งเศส ฯลฯ บางครั้ง บางคราถึงขั้นผู้โดยสารฝ่ายสวมหน้ากาก ต้องร่วมกับเจ้าหน้าที่สายการบิน ไล่กระทืบผู้โดยสารที่ไม่คิดสวมหน้ากาก ไม่ให้อยู่ในเครื่องบินเดียวกันกับตัวเอง ฯลฯ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
สรุปง่ายๆ ว่า...ด้วยการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาดของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” เที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดภาวะในด้าน “สุขภาพ” เท่านั้น แต่ก็ยังลุกลามไปถึงภาวะทาง “สังคม” “เศรษฐกิจ” และ “การเมือง” จนนำมาซึ่งความอลวน โกลาหล ระดับที่อาจส่งผลให้โลกทั้งโลกต้องตกอยู่ภายใต้ “ทฤษฎีอลหม่าน” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าใครจะค้นพบ “จุดคานงัด” กันในตรงไหน ตอนไหน เมื่อไหร่และอย่างไรเท่านั้น การงัดโลกทั้งโลกให้เป็นไปตามที่ต้องการ จึงอาจเป็นไปตามแนวทางทฤษฎี “Chaos Theory” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้???