"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ดำรงแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อจากนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบันที่จะครบวาระ 5 ปี ในเดือนกันยายนนี้
เป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ คนที่ 21
แบงก์ชาติ แม้จะเป็นอิสระจากรัฐบาล แต่ตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ ในทางปฏิบัติ รัฐบาลเป็นคนเลือกว่า ต้องการให้ใครเป็น หรืออย่างน้อยที่สุด ต้องเป็นคนที่รัฐบาล โดยรัฐมนตรีคลัง และนายกรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย ผ่านระบบการสรรหา แต่งตั้ง ที่เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นมา ประกาศรับสมัคร คัดเลือกให้เหลือ 2 คนแล้วส่งให้รัฐมนตรีคลัง ตัดสินใจว่า จะเลือกคนไหน ก่อนเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
การสรรหาผู้ว่าแบงก์ชาติเที่ยวนี้ มีนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นที่ปรึกษาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ได้ขยายระยะเวลาการรับสมัคร จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 16 มิถุนายน ออกไปอีกเกือบเดือน เป็นวันที่ 10 กรกฎาคม
นายรังสรรค์อธิบายสาเหตุที่ขยายระยะเวลา เพราะต้องการให้มีบุคคลเข้ามาสมัครเพิ่ม โดยเฉพาะบุคคลภายนอก เพื่อเป็นตัวเลือกแก่คณะกรรมการ และที่ผ่านมา สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจจะกระทบต่อการเดินทางของผู้ที่อาจจะมาสมัครจากต่างประเทศ ดังนั้น การขยายระยะเวลาดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติมากขึ้น
จากเดิมที่มีผู้สมัคร 4 คน เป็นคนในรั้ววังบางขุนพรม 2 คน กับคนนอกรั้วอีก 2 คน พอขยายเวลาออกไป มีผู้สมัครเพิ่มอีก 2 คน คือ นายเศรษฐพุฒิ และนายอนุสรณ์ ธรรมใจ ซึ่งในที่สุด นายเศรษฐพุฒิ ผ่านการคัดเลือกได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่
การขยายเวลารับสมัคร จะบอกว่า เพื่อรอนายเศรษฐพุฒิ ซึ่งไม่สมัครในครั้งแรก ก็คงไม่ผิด และเป็นความต้องการของทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ตอนนั้น ยังเป็นสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เห็นชอบด้วยว่า ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ต้องเป็นคนนี้
รายงานข่าวของสำนักข่าวไทยพับลิก้า ระบุว่า นายเศรษฐพุฒิ ยื่นใบสมัครในวันสุดท้ายของการยืดเวลารับสมัคร ก่อนหมดเวลารับสมัคร 16.30 น.เพียง 10 นาทีเท่านั้น หลังจากเข้าร่วมประชุมทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ที่เขาเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษาด้วย
การตัดสินใจรับหน้าที่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ จึงเป็นการร้องขอจากรัฐบาลให้มาช่วยกันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19
น่าสังเกตว่า ในยุคของเผด็จการเต็มใบ มาจนถึงประชาธิปไตยครึ่งใบ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มีผู้ว่าแบงก์ชาติที่เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นนักเศรษฐศาสตร์แถวหน้าของประเทศ มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ มีความคิดนอกกรอบการบริหารนโยบายการเงินการคลังแบบดั้งเดิม 2 คนติดต่อกัน
คนแรก คือ ผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน ที่กำลังจะพ้นตำแหน่งในอีก 2 เดือนข้างหน้า นายวิรไท ซึ่งได้นำแบงก์ชาติไปสู่บทบาทใหม่ คือ การ “ปลดแอก” ประชาชนจากการถูกเอาเปรียบจากสถาบันการเงิน ตั้งแต่การผลักดันให้ยกเลิกการคิดค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การสั่งให้ปรับปรุงวิธีคิดค่าปรับ ค่าธรรมเนียมการผิดนัดชำระหนี้เสียใหม่ ให้เป็นธรรมกับลูกหนี้ และลดค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากลูกค้า ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของธนาคารมาช้านาน มาจนถึงการสั่งให้ธนาคารลดดอกเบี้ยสินเชื่อทุกประเภทสำหรับลูกค้ารายย่อย เพื่อแบ่งเบาภาระผลกระทบจากโควิด
เป็นการสั่งที่ธนาคารต้องทำตาม ไม่ใช่ขอความร่วมมือที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ เหมือนที่ผ่านๆ มา
นายเศรษฐพุฒิ นอกจากจะเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินของแบงก์ชาติ ที่มีหน้าที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน การลงทุน
เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล เคยทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ชั้นนำของโลกอย่าง แมคคินซีย์ เคยทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกที่วอชิงตัน ดี.ซี.นานนับสิบปี
เมื่อครั้งที่ประเทศไทยประสบวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2540 นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในขณะนั้น ตั้งทีมงานที่ประกอบด้วยเทคโนแครต นักเรียนทุน ข้าราชการรุ่นใหม่ของกระทรวงการคลังมาช่วยเป็นที่ปรึกษา นายเศรษฐพุฒิ ซึ่งตอนนั้นทำงานอยู่ที่เวิลด์แบงก์ และนายวิรไท ซึ่งทำงานอยู่ที่ไอเอ็มเอฟ ถูกทาบทามให้กลับมาช่วยกู้วิกฤต เพราะทั้งสองคนมีประสบการณ์ในการทำงานกับ “เจ้าหนี้” จึงมีบทบาทสำคัญในการเป็นที่ปรึกษาของนายธารินทร์ ในการเจรจากู้เงินกับไอเอ็มเอฟ
ทั้งผู้ว่าแบงก์ชาติที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง และผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ มีประสบการณ์โชกโชนในโลกแห่งความเป็นจริง นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขายอมเข้ามารับใช้ประเทศชาติ ตามคำเชื้อเชิญของรัฐบาล แม้ว่า จะเป็นรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เหมือนที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตอบรับคำเชิญของ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ามาวางรากฐานการคลัง การเงินของประเทศ