ก่อนที่จะเกิดศาสนาประเภทเทวนิยม (Theism) อันได้แก่ ศาสนาที่เชื่อว่าโลกและทุกสิ่ง ซึ่งมีอยู่ในจักรวาลมีผู้สร้าง (Creator) และสรรพสิ่งทั้งหลายที่ถูกสร้าง (Created) ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสร้าง ดังนั้น สิ่งที่ถูกสร้างโดยเฉพาะมนุษย์ จึงต้องสวดอ้อนวอนเพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์ และประสบแต่ความสุข
มนุษย์ก่อนหน้านี้ได้ถูกครอบงำโดยลัทธิวิญญาณนิยม (Animism) คือลัทธิที่สอนให้เชื่อว่า มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติทุกหนทุกแห่ง เช่น ป่าไม้ และภูเขา เป็นต้น และวิญญาณเหล่านี้สามารถดลบันดาลให้มนุษย์เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ เช่น พืชผลที่ปลูกไว้ได้รับผลดี และไม่มีการเจ็บป่วย เป็นต้น และในทิศทางที่ไม่ต้องการ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง ทำให้พืชผลเสียหาย และโรคระบาดทำให้ผู้คนล้มตาย เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงเกิดความเกรงกลัวต่ออำนาจแห่งวิญญาณเหล่านั้น และได้พากันบูชาเซ่นไหว้เพื่ออ้อนวอนให้ตนเองอยู่รอดจากความเชื่อ ในทำนองนี้เปิดช่องให้มีคนสมองใสคิดไกลกว่าชาวบ้าน สถาปนาตนเองเป็นผู้วิเศษสามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้ โดยการจัดให้มีพิธีเซ่นไหว้วิญญาณ และคนที่ว่านี้ก็คือ พ่อมดหมอผี นั่นเอง
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ลัทธิทรงเจ้าเข้าผีจึงเกิดขึ้น และดำรงอยู่ในสังคมมนุษย์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และจะยังคงดำเนินไปในอนาคตตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีความกลัวต่อสิ่งลี้ลับ และยังมีความเชื่อในเรื่องการเซ่นไหว้ อ้อนวอน เพื่อเป็นเอาใจสิ่งเหล่านั้นอยู่
ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม ปฏิเสธการมีผู้สร้าง (Creator) และสิ่งถูกสร้าง (Created) แต่สอนให้เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง และสอนให้เชื่อในกฎแห่งกรรม (กัมมวาที) ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น โดยถือว่าผลของการทำของแต่ละคน เป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของแต่ละคน
ในส่วนที่เกี่ยวกับวิญญาณ ก็มีปรากฏในคำสอนของศาสนาพุทธ
แต่คำว่า วิญญาณในคำสอนของพุทธหมายถึง จิต อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของคน ซึ่งมีส่วนประกอบ 2 ประการคือ กายกับจิต โดยที่กายเป็นที่อยู่อาศัยของจิต และทำหน้าที่รับใช้จิตหรือวิญญาณ ดังที่ท่านผู้อ่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
ถึงแม้ว่าจิตกับวิญญาณจะเป็นวัยเดียวกันในฐานะเป็นส่วนประกอบของคน แต่ที่เรียกชื่อต่างกันก็โดยยึดการทำหน้าที่ กล่าวคือ เมื่อทำหน้าที่คิดก็เรียกว่า จิต เมื่อทำหน้าที่รับรู้ ก็เรียกว่า วิญญาณ
เมื่อคนตายเนื่องจากร่างกายแตกดับ วิญญาณก็จะออกจากร่าง และไปเกิดในร่างใหม่ โดยมีภพใหม่และชาติใหม่ โดยอาศัยพลังแห่งบุญและบาปที่ทำไว้ในชาติปัจจุบัน
ในทันทีที่ร่างกายแตกดับ ไม่สามารถรับใช้วิญญาณได้ วิญญาณก็จะจากร่างอาการที่จากร่างเรียกว่า จุติ คือ ไปเกิดใหม่ ดังนั้น วิญญาณที่ทำหน้าที่ในขณะนั้นเรียก จุติวิญญาณ และไปเกิดในร่างใหม่เรียก ปฏิสนธิวิญญาณ
ดังนั้น ถ้ายึดตามแนวทางแห่งคำสอนของพุทธแล้ว จะไม่มีวิญญาณเร่ร่อนมาปรากฏให้คนเห็น และติดต่อสื่อสารได้
แต่ที่ปรากฏกายให้คนเห็นนั้น คือ วิญญาณในร่างใหม่ จะเป็นเทวดา เปรต และอสุรกาย ซึ่งมีรายละเอียดที่คนธรรมดามองไม่เห็น เรียกว่า อทิสสมานกาย และผู้ที่จะมองเห็นกายเช่นนี้ได้ ก็จะต้องบรรลุธรรม คือ อภิญญา 6 ข้อตาทิพย์ และจะได้คิดได้ ก็จะต้องบรรลุธรรมข้อหูทิพย์
ด้วยเหตุนี้ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า พิธีกรรายการช่องส่องผี ท่านหนึ่งสามารถมองเห็นร่างของวิญญาณ และสามารถจะสื่อสารโดยการพูดกับวิญญาณได้ หลังจากที่ได้รับอุบัติเหตุ และเข้ารักษาในโรงพยาบาล และตาย และถูกส่งเข้าห้องดับจิตแล้วฟื้นขึ้นมา จึงเกิดข้อกังขาว่า เห็นได้อย่างไร และได้ยินเสียงได้อย่างไร ซึ่งพิสูจน์ยากและเอาผิดทางกฎหมายได้ยาก แต่ในประเด็นตายแล้วฟื้น คงหนีไม่พ้นการตกเป็นผู้ต้องหานำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และเชื่อว่าหาหลักฐานได้ไม่ยาก เพราะเพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปที่โรงพยาบาล ซึ่งผู้อ้างว่าได้เข้ารับการรักษา ก็คงจะได้หลักฐานมากพอที่จะดำเนินคดีได้
อีกประการหนึ่ง ถ้ามีอุบัติเหตุและแขนหัก คอหัก ก็จะมีแผลเย็บปรากฏให้เห็น แผลเป็นอยู่ที่คอและแขน ประกอบกล้องที่อ้างว่าสามารถถ่ายวิญญาณได้ ก็พิสูจน์ได้โดยสอบถามไปยังฝ่ายผลิต และสอบถามเกี่ยวกับความสามารถของกล้องว่า สามารถถ่ายภาพอะไรได้บ้าง และที่ปรากฏว่า มีผู้นำมาถ่ายวิญญาณได้ เป็นไปได้หรือไม่
เพียงแค่หลักฐานจากการสอบสวนดังกล่าวข้างต้น ก็เชื่อได้ว่ามากพอที่จะฟ้องร้องลงโทษผู้กระทำผิด