พบโควิดรายใหม่ 1 รายกลับจากอียิปต์ ยังคงไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ รักษาหายเพิ่ม 12 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต “ประยุทธ์” กำชับหาทางรับมือผ่อนปรนเฟส 5 หลังสถานบริการบางแห่งการ์ดตก ซัดพวกละเมิดกฎหมายอย่าโทษ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
วานนี้ (25 มิ.ย.) พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวประจำวันว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 1 ราย เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้าพักในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) เท่ากับว่า วันนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศ สะสม 3,158 ราย วันนี้มีอีกข่าวดีคือมีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 12 ราย สะสม 3,038 ราย เสียชีวิตไม่มีเพิ่ม สะสม 58 ราย และกำลังรักษา 62 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่เดินทางกลับจากประเทศอียิปต์ เป็นนักศึกษาเพศชาย อายุ 24 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 9 มิ.ย.63 เข้าพักที่ State Quarantine ใน จ.ชลบุรี มีผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 2 ราย ไม่มีอาการ ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 13 มิ.ย.63 ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 วันที่ 23 มิ.ย.63 ผลพบเชื้อไม่มีอาการ
เตือนสถานบริการการ์ดตก
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลัง เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 5/2563 ถึงการรับมือการผ่อนปรนกิจกรรมและกิจการบางประเภท ระยะที่ 5 ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ว่า ในการผ่อนปรนระยะที่ 5 ต้องมีการรับมือตั้งแต่ต้น ซึ่งคิดไว้ก่อนว่า จะเกิดปัญหาอะไรขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และการทำมาหากินของประชาชน และมาตรการของรัฐ จะต้องมีอย่างไรในระดับที่เข้มข้น มีการติดตามตรวจสอบเปิดแล้วปิดได้ หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ซึ่งรัฐบาลต้องคิดให้รอบด้าน ต้องดูว่ามีปัญหาที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง จะปลดล็อกตรงไหนอย่างไร มีมาตรการไหนรองรับและลดความเสี่ยงได้บ้าง
“ความร่วมมือของคนไทยทุกคนในชาติ ที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ นี่คือคำว่า รวมไทยสร้างชาติ จะเห็นว่า ทุกคนใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง และปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ และต่อต้านน้อยมาก แต่มีหลายแห่งที่เห็นตามสื่อ โดยเฉพาะสถานบริการต่างๆ เริ่มไม่ระวัง ดังนั้นต้องสร้างความเข้าใจให้มีความรับผิดชอบสังคม ไม่เช่นนั้นหากมีการแพร่ระบาดรอบใหม่ทุกอย่างจะเสียหายหมด จึงฝากสื่อช่วยเตือนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จวกพวกอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนข้อวิจารณ์การบังคับใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) นั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า การดำเนินคดี ว่าก็เหมือนกันทุกคดี และทุกคนก็รู้ตัวบทกฎหมายดีอยู่แล้วว่าทำผิดหรือถูก ตนจึงไม่ต้องไปสั่งอะไรเป็นพิเศษ ให้ตำรวจทำตามหน้าที่ ทำตามกฎหมายที่มีอยู่ ประชาชนต้องเคารพกฎหมาย เมื่อมีการกระทำความผิด ก็ต้องดำเนินคดี ทั้งกฎหมายปกติ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำผิดตรงไหน ก็ว่าตรงนั้น ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ชมเชย “จักรทิพย์” ผลงานดี
พล.อ ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการประชุม ก.ตร.เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีหลายรายด้วยกัน มีทั้งไล่ออก ปลดออก และเรื่องของการให้ความเป็นธรรม ที่มีการเปิดให้อุทธรณ์บางส่วนตามที่มีหลักฐานที่รับได้ ซึ่งทางลงโทษทางวินัย ก็มีในเรื่องของการให้ความเมตตา มีการลดโทษอะไรต่างๆ อย่างที่เคยพูดไว้ถ้าทำไม่ดีก็ต้องถูกลงโทษ คนดีก็ต้องสนับสนุนทำงานต่อไป
“ผมต้องให้คำชมเชยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ สตช. และที่ปรึกษาคณะผู้ช่วยต่างๆที่ได้รายงานความคืบหน้า ผมจึงให้นโยบายไปว่า ต้องสร้างการรับรู้เป็นระยะๆ การลงโทษทางวินัยอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามองย้อนกลับไปจะเห็นว่าเราลงโทษไปไม่ใช่น้อย บางทีเราก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่อง นี้แล้วปัญหาใหม่ๆ ก็เข้ามา ความผิดใหม่ๆ ก็เข้ามา โดยที่หลายคนไม่เข้าใจว่าเราดูแลกันอย่างไร ในฐานะที่ตนกำกับดูแล สตช. จึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้ การเป็นผู้บังคับบัญชาคนมี 2 อย่าง คือ ให้คุณกับการให้โทษให้เหมาะสม ต้องลงโทษตามโทษานุโทษไปให้ได้”
ชงต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน
อีกด้าน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ได้ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพื่อประเมินความเหมาะสมในการขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควบคู่กับการพิจารณาเรื่องการผ่อนคลายกิจกรรม กิจการ ในระยะที่ 5 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ก.ค. ซึ่งเรียกได้ว่ามีการผ่อนคลายทั้งหมด เช่น การเปิดเรียน การไม่จำกัดเวลาในการเปิดห้างสรรพสินค้า สถานบริการผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบ อบ นวด ร้านเกม ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ ต้องเสนอให้ ศบค.ชุดใหญ่พิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ในวันที่ 29 มิ.ย. ส่วนการแข่งขันกีฬาจะให้มีผู้เข้าชมได้เมื่อไรนั้น ต้องรอดูการผ่อนคลาย ระยะที่ 5 ก่อน ถ้าสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น รวมถึงสถานการณ์โลกดีขึ้น ค่อยพิจารณา เพราะ ศบค.ชุดเล็ก ก็ประเมินกันเป็นรายวัน
“คณะกรรมการได้พิจารณาเกี่ยวกับการขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเราดูในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง ข่าวกรอง กฎหมายและสาธารณสุข ซึ่งเห็นควรให้ขยายเวลาออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค. เพราะกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายในระยะที่ 5 มีความล่อแหลมต่อการระบาดของโควิดมากที่สุด จึงต้องคงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพนี้ต่อไป แต่ยังเป็นเพียงการพิจารณาของชุดเฉพาะกิจ ยังต้องเข้าที่ประชุม ศบค.และ ครม.ต่อไป” พล.อ.สมศักดิ์ ระบุ
วางแนวยืดหยุ่นนักธุรกิจ ตปท.
ส่วนกรณีที่ฝ่ายการเมืองโจมตีว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีนัยแฝงทางการเมือง มากกว่าการป้องกันโควิด-19 นั้น พล.อ.สมศักดิ์ ชี้แจงว่า ไม่มีนัยทางการเมืองตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และอนาคต เห็นได้จากเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่มีการทำกิจกรรมทางการเมือง ก็ไม่มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปดำเนินการ เพราะมี พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะอยู่ เราใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยเหตุผลทางสาธารณสุขเป็นหลัก แม้ประเทศเราดีแล้ว แต่ก็กังวลเรื่องการระบาดรอบ 2 หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่เราทุ่มเทมาจะสูญเปล่า เราจึงต้องมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจป้องกันการแพร่ระบาด นั่นคือ การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พล.อ.สมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการพิจารณา Travel bubbleว่า มีการพูดคุย แล้ว แต่ยังไม่มีข้อยุติในเร็ววันนี้ ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน และปัจจุบัน ก็ยังไม่มีประเทศใดประสานเข้ามา แต่ที่มีข้อยุติในเร็ววันคือการเดินทางของนักธุรกิจที่ปัจจุบันมีบางส่วนเดินทางเข้ามาแล้วต้องถูกกักตัว 14 วัน แต่เราจะพิจารณาในส่วนของนักธุรกิจที่เข้ามาเพียงไม่กี่วัน จะให้เขาสามารถเดินทางไปทำธุรกิจต่อได้เลย ไม่ต้องกักตัว แต่ต้องมีมาตรการที่เข้มข้น คือ ต้องมีการตรวจโควิด อย่างน้อย 3 ครั้ง คือ ก่อนเดินทาง เมื่อมาถึงไทย และก่อนออกจากประเทศไทย รวมถึงระหว่างอยู่ประเทศไทย ก็ต้องสามารถติดตามตัวได้ตลอด ซึ่งคาดว่าจะให้เขายื่นเรื่องเข้ามาให้เราพิจารณาได้ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป โดยประเทศที่เราจะพิจารณาในเบื้องต้นคือ ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน บางเมือง ซึ่งเราจะพิจารณาถึงประเทศต้นทางว่า มีขีดความสามารถทางสาธารณสุขใกล้เคียงกับเรา และที่สำคัญการจะให้เข้ามานั้นต้องประเมินแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
วานนี้ (25 มิ.ย.) พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวประจำวันว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 1 ราย เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้าพักในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) เท่ากับว่า วันนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศ สะสม 3,158 ราย วันนี้มีอีกข่าวดีคือมีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 12 ราย สะสม 3,038 ราย เสียชีวิตไม่มีเพิ่ม สะสม 58 ราย และกำลังรักษา 62 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่เดินทางกลับจากประเทศอียิปต์ เป็นนักศึกษาเพศชาย อายุ 24 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 9 มิ.ย.63 เข้าพักที่ State Quarantine ใน จ.ชลบุรี มีผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 2 ราย ไม่มีอาการ ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 13 มิ.ย.63 ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 วันที่ 23 มิ.ย.63 ผลพบเชื้อไม่มีอาการ
เตือนสถานบริการการ์ดตก
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลัง เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 5/2563 ถึงการรับมือการผ่อนปรนกิจกรรมและกิจการบางประเภท ระยะที่ 5 ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ว่า ในการผ่อนปรนระยะที่ 5 ต้องมีการรับมือตั้งแต่ต้น ซึ่งคิดไว้ก่อนว่า จะเกิดปัญหาอะไรขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และการทำมาหากินของประชาชน และมาตรการของรัฐ จะต้องมีอย่างไรในระดับที่เข้มข้น มีการติดตามตรวจสอบเปิดแล้วปิดได้ หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ซึ่งรัฐบาลต้องคิดให้รอบด้าน ต้องดูว่ามีปัญหาที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง จะปลดล็อกตรงไหนอย่างไร มีมาตรการไหนรองรับและลดความเสี่ยงได้บ้าง
“ความร่วมมือของคนไทยทุกคนในชาติ ที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ นี่คือคำว่า รวมไทยสร้างชาติ จะเห็นว่า ทุกคนใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง และปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ และต่อต้านน้อยมาก แต่มีหลายแห่งที่เห็นตามสื่อ โดยเฉพาะสถานบริการต่างๆ เริ่มไม่ระวัง ดังนั้นต้องสร้างความเข้าใจให้มีความรับผิดชอบสังคม ไม่เช่นนั้นหากมีการแพร่ระบาดรอบใหม่ทุกอย่างจะเสียหายหมด จึงฝากสื่อช่วยเตือนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จวกพวกอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนข้อวิจารณ์การบังคับใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) นั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า การดำเนินคดี ว่าก็เหมือนกันทุกคดี และทุกคนก็รู้ตัวบทกฎหมายดีอยู่แล้วว่าทำผิดหรือถูก ตนจึงไม่ต้องไปสั่งอะไรเป็นพิเศษ ให้ตำรวจทำตามหน้าที่ ทำตามกฎหมายที่มีอยู่ ประชาชนต้องเคารพกฎหมาย เมื่อมีการกระทำความผิด ก็ต้องดำเนินคดี ทั้งกฎหมายปกติ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำผิดตรงไหน ก็ว่าตรงนั้น ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ชมเชย “จักรทิพย์” ผลงานดี
พล.อ ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการประชุม ก.ตร.เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีหลายรายด้วยกัน มีทั้งไล่ออก ปลดออก และเรื่องของการให้ความเป็นธรรม ที่มีการเปิดให้อุทธรณ์บางส่วนตามที่มีหลักฐานที่รับได้ ซึ่งทางลงโทษทางวินัย ก็มีในเรื่องของการให้ความเมตตา มีการลดโทษอะไรต่างๆ อย่างที่เคยพูดไว้ถ้าทำไม่ดีก็ต้องถูกลงโทษ คนดีก็ต้องสนับสนุนทำงานต่อไป
“ผมต้องให้คำชมเชยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของ สตช. และที่ปรึกษาคณะผู้ช่วยต่างๆที่ได้รายงานความคืบหน้า ผมจึงให้นโยบายไปว่า ต้องสร้างการรับรู้เป็นระยะๆ การลงโทษทางวินัยอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามองย้อนกลับไปจะเห็นว่าเราลงโทษไปไม่ใช่น้อย บางทีเราก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญในเรื่อง นี้แล้วปัญหาใหม่ๆ ก็เข้ามา ความผิดใหม่ๆ ก็เข้ามา โดยที่หลายคนไม่เข้าใจว่าเราดูแลกันอย่างไร ในฐานะที่ตนกำกับดูแล สตช. จึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้ การเป็นผู้บังคับบัญชาคนมี 2 อย่าง คือ ให้คุณกับการให้โทษให้เหมาะสม ต้องลงโทษตามโทษานุโทษไปให้ได้”
ชงต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน
อีกด้าน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ได้ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพื่อประเมินความเหมาะสมในการขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควบคู่กับการพิจารณาเรื่องการผ่อนคลายกิจกรรม กิจการ ในระยะที่ 5 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ก.ค. ซึ่งเรียกได้ว่ามีการผ่อนคลายทั้งหมด เช่น การเปิดเรียน การไม่จำกัดเวลาในการเปิดห้างสรรพสินค้า สถานบริการผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบ อบ นวด ร้านเกม ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ ต้องเสนอให้ ศบค.ชุดใหญ่พิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ในวันที่ 29 มิ.ย. ส่วนการแข่งขันกีฬาจะให้มีผู้เข้าชมได้เมื่อไรนั้น ต้องรอดูการผ่อนคลาย ระยะที่ 5 ก่อน ถ้าสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น รวมถึงสถานการณ์โลกดีขึ้น ค่อยพิจารณา เพราะ ศบค.ชุดเล็ก ก็ประเมินกันเป็นรายวัน
“คณะกรรมการได้พิจารณาเกี่ยวกับการขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเราดูในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง ข่าวกรอง กฎหมายและสาธารณสุข ซึ่งเห็นควรให้ขยายเวลาออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค. เพราะกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายในระยะที่ 5 มีความล่อแหลมต่อการระบาดของโควิดมากที่สุด จึงต้องคงเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพนี้ต่อไป แต่ยังเป็นเพียงการพิจารณาของชุดเฉพาะกิจ ยังต้องเข้าที่ประชุม ศบค.และ ครม.ต่อไป” พล.อ.สมศักดิ์ ระบุ
วางแนวยืดหยุ่นนักธุรกิจ ตปท.
ส่วนกรณีที่ฝ่ายการเมืองโจมตีว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีนัยแฝงทางการเมือง มากกว่าการป้องกันโควิด-19 นั้น พล.อ.สมศักดิ์ ชี้แจงว่า ไม่มีนัยทางการเมืองตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และอนาคต เห็นได้จากเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่มีการทำกิจกรรมทางการเมือง ก็ไม่มีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปดำเนินการ เพราะมี พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะอยู่ เราใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยเหตุผลทางสาธารณสุขเป็นหลัก แม้ประเทศเราดีแล้ว แต่ก็กังวลเรื่องการระบาดรอบ 2 หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่เราทุ่มเทมาจะสูญเปล่า เราจึงต้องมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจป้องกันการแพร่ระบาด นั่นคือ การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พล.อ.สมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการพิจารณา Travel bubbleว่า มีการพูดคุย แล้ว แต่ยังไม่มีข้อยุติในเร็ววันนี้ ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน และปัจจุบัน ก็ยังไม่มีประเทศใดประสานเข้ามา แต่ที่มีข้อยุติในเร็ววันคือการเดินทางของนักธุรกิจที่ปัจจุบันมีบางส่วนเดินทางเข้ามาแล้วต้องถูกกักตัว 14 วัน แต่เราจะพิจารณาในส่วนของนักธุรกิจที่เข้ามาเพียงไม่กี่วัน จะให้เขาสามารถเดินทางไปทำธุรกิจต่อได้เลย ไม่ต้องกักตัว แต่ต้องมีมาตรการที่เข้มข้น คือ ต้องมีการตรวจโควิด อย่างน้อย 3 ครั้ง คือ ก่อนเดินทาง เมื่อมาถึงไทย และก่อนออกจากประเทศไทย รวมถึงระหว่างอยู่ประเทศไทย ก็ต้องสามารถติดตามตัวได้ตลอด ซึ่งคาดว่าจะให้เขายื่นเรื่องเข้ามาให้เราพิจารณาได้ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป โดยประเทศที่เราจะพิจารณาในเบื้องต้นคือ ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน บางเมือง ซึ่งเราจะพิจารณาถึงประเทศต้นทางว่า มีขีดความสามารถทางสาธารณสุขใกล้เคียงกับเรา และที่สำคัญการจะให้เข้ามานั้นต้องประเมินแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ