ผู้จัดการรายวัน360 - บอร์ดบีโอไอ อัดสิทธิประโยชน์เพิ่มประเภทกิจการอุตสาหกรรมเกษตรขั้นสูง เว้นภาษเงินได้นิติบุคคล 5 ปี พร้อมปรับปรุงเงื่อนไขกิจการเดิมใหม่ให้สอดรับกับสถานการณ์ สนับสนุนพัฒนาเศรษฐกิจ BCG หรือเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวีย และเศรษฐกิจสีเขียว หวังบูมเศรษฐกิจฐานราก พร้อมไฟเขียว 5 โครงการขนาดใหญ่ มูลค่าการลงทุนกว่า 4.1 หมื่นล้านบาท
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วานนี้(17มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรภายใต้แนวคิด BCG ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศด้วยการเพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและปรับปรุงเงื่อนไข และสิทธิประโยชน์บางประเภทกิจการเพื่อให้สอดรับกับแนวทางดังกล่าว
โดยการเพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ กิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ซึ่งเป็นระบบการเพาะปลูกที่มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชทั้งทางกายภาพ เช่น การควบคุมความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตุต่าง ๆ และการควบคุมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลงจากน้ำ อากาศ และผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เกษตรที่ได้ต้องมีคุณภาพ ความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและส่งออกได้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5 ปี
ส่วนการปรับปรุงขอบข่าย เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ของบางประเภทกิจการ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และให้มีความยืดหยุ่นในการให้การส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ กิจการคัดคุณภาพ บรรจุ และเก็บรักษาพืช ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร หรือผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่มาจากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร กิจการผลิตอาหารสัตว์/ส่วนผสมอาหารสัตว์ โดยกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกิจการ รวมทั้งมีการรักษาสิ่งแวดล้อม
“ มาตรการดังกล่าวบีโอไอเปิดให้การส่งเสริมฯโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดเพราะถือเป็นมาตรการระยะยาว ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ตามนโยบายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม 4 เดือนปีนี้การลงทุนในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีจำนวนโครงการและเงินลงทุนสูงสุดโดยเฉพาะเดือนพ.ค.เดือนเดียวสูงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมาซึ่งก็ตรงกับนโยบายสนับสนุนสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย”น.ส.ดวงใจกล่าว
ไฟเขียว 5โครงการลงทุน41,834 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุน แก่โครงการขนาดใหญ่จำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่าลงทุน 41,834 ล้านบาท ได้แก่
1.กลุ่มบริษัท สามมิตร เงินลงทุน 5,500 ล้านบาท ในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ปีละประมาณ 30,000 คัน ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นมูลค่าปีละประมาณ 8,500 ล้านบาท โดยจะจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ตั้งโครงการ จ.เพชรบุรี
2.บมจ.ไทยออยล์ จำกัด ลงทุนรวม 24,113 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากกากน้ำมัน (PITCH) 250 เมกะวัตต์ และกรดกำมะถันปีละประมาณ 80,300 ตัน ที่อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี
3.บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด กิจการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด PET (FOOD GRADE) สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหาร และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด HDPE สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์สิ่งประทินร่างกายและสินค้าอุปโภคในครัวเรือน เงินลงทุน 2,476 ล้านบาท ตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จ.ระยอง
4.บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ (แหลมฉบัง) 1 จำกัด เงินลงทุน 6,000 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและไอน้ำ ผลิตไฟ 157 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 75 ตัน/ชั่วโมง เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี
5.บริษัท บางกอก อารีน่า จำกัด เงินลงทุน 3,745 ล้านบาท ในกิจการหอประชุมขนาดใหญ่ เพื่อช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว และเป็นการส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรม MICE ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ตั้งโครงการที่อาคารบางกอก มอลล์ ถนนบางนา-ตราด กรุงเทพมหานคร
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วานนี้(17มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรภายใต้แนวคิด BCG ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศด้วยการเพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและปรับปรุงเงื่อนไข และสิทธิประโยชน์บางประเภทกิจการเพื่อให้สอดรับกับแนวทางดังกล่าว
โดยการเพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ กิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ซึ่งเป็นระบบการเพาะปลูกที่มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชทั้งทางกายภาพ เช่น การควบคุมความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตุต่าง ๆ และการควบคุมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลงจากน้ำ อากาศ และผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เกษตรที่ได้ต้องมีคุณภาพ ความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและส่งออกได้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5 ปี
ส่วนการปรับปรุงขอบข่าย เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ของบางประเภทกิจการ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และให้มีความยืดหยุ่นในการให้การส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ กิจการคัดคุณภาพ บรรจุ และเก็บรักษาพืช ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร หรือผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่มาจากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร กิจการผลิตอาหารสัตว์/ส่วนผสมอาหารสัตว์ โดยกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกิจการ รวมทั้งมีการรักษาสิ่งแวดล้อม
“ มาตรการดังกล่าวบีโอไอเปิดให้การส่งเสริมฯโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดเพราะถือเป็นมาตรการระยะยาว ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ตามนโยบายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม 4 เดือนปีนี้การลงทุนในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีจำนวนโครงการและเงินลงทุนสูงสุดโดยเฉพาะเดือนพ.ค.เดือนเดียวสูงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมาซึ่งก็ตรงกับนโยบายสนับสนุนสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย”น.ส.ดวงใจกล่าว
ไฟเขียว 5โครงการลงทุน41,834 ล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุน แก่โครงการขนาดใหญ่จำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่าลงทุน 41,834 ล้านบาท ได้แก่
1.กลุ่มบริษัท สามมิตร เงินลงทุน 5,500 ล้านบาท ในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ปีละประมาณ 30,000 คัน ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นมูลค่าปีละประมาณ 8,500 ล้านบาท โดยจะจำหน่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ตั้งโครงการ จ.เพชรบุรี
2.บมจ.ไทยออยล์ จำกัด ลงทุนรวม 24,113 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากกากน้ำมัน (PITCH) 250 เมกะวัตต์ และกรดกำมะถันปีละประมาณ 80,300 ตัน ที่อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี
3.บริษัท เอ็นวิคโค จำกัด กิจการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด PET (FOOD GRADE) สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหาร และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด HDPE สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์สิ่งประทินร่างกายและสินค้าอุปโภคในครัวเรือน เงินลงทุน 2,476 ล้านบาท ตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จ.ระยอง
4.บริษัท บี.กริม พาวเวอร์ (แหลมฉบัง) 1 จำกัด เงินลงทุน 6,000 ล้านบาท กิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและไอน้ำ ผลิตไฟ 157 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 75 ตัน/ชั่วโมง เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี
5.บริษัท บางกอก อารีน่า จำกัด เงินลงทุน 3,745 ล้านบาท ในกิจการหอประชุมขนาดใหญ่ เพื่อช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว และเป็นการส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรม MICE ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ตั้งโครงการที่อาคารบางกอก มอลล์ ถนนบางนา-ตราด กรุงเทพมหานคร