"บิ๊กตู่" ไฟเขียว "อนุทิน" ตั้งทีมสอบคู่ขนาน “หมอชาญชัย” ผอ.รพ.ขอนแก่น เบรค “ปลัดสุขุม” ห้ามย้ายขาด 2 ผอ.จนกว่าจะสอบเสร็จ “ผอ.โรงพยาบาลทั่วประเทศ” โต้ข่าวรับ 5% จี้ปลัด สธ.สืบข้อเท็จจริงผู้ให้ข้อมูล ชี้ทำลายภาพลักษณ์
จากกรณี นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งให้ย้าย นายชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผอ.โรงพยาบาลขอนแก่น จากกรณีเรื่องการรับบริจาคเงินจากบริษัทยา และตั้งข้อกล่าวหาว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง นั้น
วานนี้ (11 มิ.ย.) รายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แจ้งว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ได้ส่งข้อความทางไลน์ ในกลุ่มไลน์ ผู้บริหาร สธ.ว่าขอสั่งการเป็นนโยบาย ห้ามออกคำสั่งย้ายขาด นายชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผอ.โรงพยาบาลขอนแก่น ออกจากตำแหน่ง และห้ามย้าย นายเกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ออกจากตำแหน่ง ผอ.โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี จนกว่าการสอบสวนวินัยร้ายแรงจะแล้วเสร็จ
นายอนุทิน ระบุด้วยว่าได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว และจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น อีกชุดหนึ่ง ทั้งการกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์ ทั้งการออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย ผอ. 2 โรงพยาบาล และการดำเนินการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้มีความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
"รมว.สธ. ได้รายงานนายกฯแล้ว ได้รับบัญชามาว่าหากมีความจำเป็น รมว. สธ. จะตั้งคณะกรรมการที่มีความอิสระอีกชุดหนึ่ง เพื่อสรุปสาระสำคัญของเรื่อง และหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย และ รมว.สธ. ได้สั่งการเป็นนโยบายต่อปลัด สธ.ไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ว่า ในช่วงที่ยังสืบสวนสอบสวนโดยคณะกรรมการทุกชุดยังไม่แล้วเสร็จ ขอมิให้มีการโยกย้ายสลับตำแหน่ง ผอ.รพ.ทั้งสองแห่ง"
นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การตั้ง นพ.เกรียงศักดิ์ ให้มารักษาการ กระทำได้เพราะเป็นอำนาจและเป็นความรับผิดชอบของปลัดฯสธ. หากปลัดฯสธ. มีเหตุผลตามข้อกล่าวหาว่า นพ.ชาญชัย ผอ.รพ.ขอนแก่น มีพฤติกรรมข่มขู่พยานตามคำสั่งที่ได้ลงนามเพื่อเรียก นพ.ชาญชัย เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ใน สธ. ขณะนี้กระบวนการสอบสวนและสืบสวนได้เริ่มแล้ว ซึ่ง รมว.สธ. อาจจะทำการแต่งตั้งคณะกรรมการเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นประชาชนจึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีความไม่เป็นธรรม ในช่วงเวลานี้จนถึงมีการสรุปและเห็นชอบจาก รมว.สธ. จะไม่มีการย้ายขาด ผอ.รพ. ทั้งขอนแก่นและจันทบุรี จนกว่าการสอบสวนจะมีข้อสรุปแล้วเสร็จ
ด้าน นายชุติเดช ตาบ-องครักษ์ ประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และนางสมพิศ จำปาเงิน ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสาระสำคัญว่า หลังสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ กล่าวถึงการสำรวจสอบถามผู้แทนยา เกี่ยวกับการรับเงินสวัสดิการ ร้อยละ 5 จากบริษัทยา พบว่าเดือน พ.ย.62 มีจำนวนโรงพยาบาลรับเงินดังกล่าวรวม186 แห่ง เป็น รพศ./ รพท. 22 แห่งและรพช. 164 แห่ง ส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรี และชื่อเสียง ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างมาก
ทั้งๆที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรฐาน แนวทางปฏิบัติ เน้นย้ำ มิให้มีการรับเงิน ร้อยละ 5 จากบริษัทคู่สัญญาของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ในการเป็นองค์กรคุณธรรม โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล จากข้อมูลนี้ ชมรมทั้งสอง มีความเห็นตรงกัน จำเป็นต้องสืบหาข้อเท็จจริงจากผู้ให้ หรือเจ้าของข้อมูล ที่ให้ต่อสื่อมวลชนว่า ความจริงรายละเอียดนั้นเป็นเช่นไร ตั้งแต่แหล่งข้อมูลที่ผู้เป็นเจ้าของได้ให้แก่สื่อมวลชนมาจากที่ใด เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน และข้อมูลการรับเงินร้อยละ 5 จากบริษัทยา เป็นการให้แก่โรงพยาบาล หรือกลุ่มบุคคลได้แอบอ้างอย่างไร เพื่อเป็นการช่วยเหลือกระทรวงสาธารณสุขอีกทางหนึ่ง ในการสืบหาข้อเท็จจริง ว่ามีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน และเป็นแนวทางการติดตามป้องกันปัญหาดังกล่าวให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้ให้เป็นตัวอย่างขององค์กรคุณธรรม
จากกรณี นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งให้ย้าย นายชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผอ.โรงพยาบาลขอนแก่น จากกรณีเรื่องการรับบริจาคเงินจากบริษัทยา และตั้งข้อกล่าวหาว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง นั้น
วานนี้ (11 มิ.ย.) รายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แจ้งว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ได้ส่งข้อความทางไลน์ ในกลุ่มไลน์ ผู้บริหาร สธ.ว่าขอสั่งการเป็นนโยบาย ห้ามออกคำสั่งย้ายขาด นายชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผอ.โรงพยาบาลขอนแก่น ออกจากตำแหน่ง และห้ามย้าย นายเกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ออกจากตำแหน่ง ผอ.โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี จนกว่าการสอบสวนวินัยร้ายแรงจะแล้วเสร็จ
นายอนุทิน ระบุด้วยว่าได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายกรัฐมนตรีทราบแล้ว และจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้น อีกชุดหนึ่ง ทั้งการกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์ ทั้งการออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย ผอ. 2 โรงพยาบาล และการดำเนินการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้มีความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
"รมว.สธ. ได้รายงานนายกฯแล้ว ได้รับบัญชามาว่าหากมีความจำเป็น รมว. สธ. จะตั้งคณะกรรมการที่มีความอิสระอีกชุดหนึ่ง เพื่อสรุปสาระสำคัญของเรื่อง และหาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย และ รมว.สธ. ได้สั่งการเป็นนโยบายต่อปลัด สธ.ไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ว่า ในช่วงที่ยังสืบสวนสอบสวนโดยคณะกรรมการทุกชุดยังไม่แล้วเสร็จ ขอมิให้มีการโยกย้ายสลับตำแหน่ง ผอ.รพ.ทั้งสองแห่ง"
นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การตั้ง นพ.เกรียงศักดิ์ ให้มารักษาการ กระทำได้เพราะเป็นอำนาจและเป็นความรับผิดชอบของปลัดฯสธ. หากปลัดฯสธ. มีเหตุผลตามข้อกล่าวหาว่า นพ.ชาญชัย ผอ.รพ.ขอนแก่น มีพฤติกรรมข่มขู่พยานตามคำสั่งที่ได้ลงนามเพื่อเรียก นพ.ชาญชัย เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ใน สธ. ขณะนี้กระบวนการสอบสวนและสืบสวนได้เริ่มแล้ว ซึ่ง รมว.สธ. อาจจะทำการแต่งตั้งคณะกรรมการเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นประชาชนจึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีความไม่เป็นธรรม ในช่วงเวลานี้จนถึงมีการสรุปและเห็นชอบจาก รมว.สธ. จะไม่มีการย้ายขาด ผอ.รพ. ทั้งขอนแก่นและจันทบุรี จนกว่าการสอบสวนจะมีข้อสรุปแล้วเสร็จ
ด้าน นายชุติเดช ตาบ-องครักษ์ ประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และนางสมพิศ จำปาเงิน ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสาระสำคัญว่า หลังสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ กล่าวถึงการสำรวจสอบถามผู้แทนยา เกี่ยวกับการรับเงินสวัสดิการ ร้อยละ 5 จากบริษัทยา พบว่าเดือน พ.ย.62 มีจำนวนโรงพยาบาลรับเงินดังกล่าวรวม186 แห่ง เป็น รพศ./ รพท. 22 แห่งและรพช. 164 แห่ง ส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรี และชื่อเสียง ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นอย่างมาก
ทั้งๆที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรฐาน แนวทางปฏิบัติ เน้นย้ำ มิให้มีการรับเงิน ร้อยละ 5 จากบริษัทคู่สัญญาของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ในการเป็นองค์กรคุณธรรม โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล จากข้อมูลนี้ ชมรมทั้งสอง มีความเห็นตรงกัน จำเป็นต้องสืบหาข้อเท็จจริงจากผู้ให้ หรือเจ้าของข้อมูล ที่ให้ต่อสื่อมวลชนว่า ความจริงรายละเอียดนั้นเป็นเช่นไร ตั้งแต่แหล่งข้อมูลที่ผู้เป็นเจ้าของได้ให้แก่สื่อมวลชนมาจากที่ใด เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน และข้อมูลการรับเงินร้อยละ 5 จากบริษัทยา เป็นการให้แก่โรงพยาบาล หรือกลุ่มบุคคลได้แอบอ้างอย่างไร เพื่อเป็นการช่วยเหลือกระทรวงสาธารณสุขอีกทางหนึ่ง ในการสืบหาข้อเท็จจริง ว่ามีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน และเป็นแนวทางการติดตามป้องกันปัญหาดังกล่าวให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดไว้ให้เป็นตัวอย่างขององค์กรคุณธรรม