ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีแนวโน้มว่าจะเอาชนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
แต่ถึงแม้ว่าเอาชนะโรคระบาดไปได้ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ใช่ว่าจะนำพาประเทศไปได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้เนื่องจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ปัจจัยการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองได้ ก็ด้วยการหนุนของพรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว. 250 เสียงภายใต้การจัดการของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ดังนั้น เมื่อ ส.ส.ส่วนหนึ่งและอาจเป็นส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ต้องการให้พล.อ.ประวิตร ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพื่อปูทางขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และถ้ามีการเปรียบในพรรคพลังประชารัฐ ตามแนวดังกล่าวข้างต้น ก็อนุมานได้ว่า สถานภาพทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีสั่นคลอนแน่นอน
2. การเมืองนอกสภาฯ หรือการเมืองภาคประชาชน ซึ่งมีนักการเมืองส่วนหนึ่งจากซีกของฝ่ายค้านเป็นแกนนำจะออกมาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล โดยนำข้อบกพร่องและผิดพลาดจากการบริหารประเทศที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นเศรษฐกิจมาเปิดเผย รวมถึงประเด็นทุจริต คอร์รัปชันด้วย ก็จะทำให้รัฐบาลซึ่งอ่อนแอจากปัจจัยข้อ 1 จะยิ่งอ่อนแอเพิ่มขึ้น
3. จากปัจจัย 2 ประการข้างต้น ทำให้คาดการณ์ทางการเมืองได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มั่นคงแน่นอน
แต่เพื่อให้การคาดการณ์ทางการเมืองมีความแม่นยำเพิ่มขึ้น ก็จะนำแนวทางการพยากรณ์เหตุการณ์ โดยอาศัยดาราศาสตร์หรือที่เรียกว่าโหราศาสตร์มาประกอบด้วย
เริ่มด้วยดาวมฤตยูทับลัคนาดวงเมือง ซึ่งเป็นราศีเดียวกับดวงโลกคือ ราศีเมษ และมีดาวเสาร์กับพฤหัสฯ โคจรร่วมราศีเดียวกัน ทั้งในธนู และมังกรตั้งแต่ปลายปี 62 เป็นต้นมาจนถึง 14 พ.ย. 63 ทำให้เกิดโรคระบาด และส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ และสังคมไปในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย
แต่จาก 3 พ.ค.เป็นต้นไป จะค่อยๆ ลดความรุนแรงลง และหมดไปหลัง 14 พ.ย. 63
ในส่วนของประเทศไทยถึงแม้โควิด-19 จะลดลง แต่ก็จะมีปัญหาการเมืองสอดแทรกเข้ามา ทำให้วุ่นวายและส่งผลกระทบทางสังคมอีกครั้ง เฉกเช่นสองครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 8 ส.ค.-6 ต.ค. 63 ซึ่งจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้มีการปรับ ครม.ครั้งใหญ่ หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนรัฐบาลทั้งคณะ และเปลี่ยนระบบด้วยก็เป็นไปได้