แม้ว่าเชื้อไวรัส “COVID-19” ท่านจะยังคงเอาเรื่อง เอาราว ยังสนุกสนานกับการโดดกินปอด กินตับ ของบรรดาชาวโลกทั้งหลาย อย่างไม่เป็นที่ยุติ แต่อย่างที่ว่าเอาไว้แล้วว่า...ท่านก็ใช่ว่าจะเหี้ยมโหดอำมหิตไปในทุกเรื่อง ทุกราว สิ่งดีๆ...สิ่งที่อาจถือเป็น “คุณูปการ” ของท่าน ก็พอมีโอกาสได้เห็นๆ กันอยู่มั่ง เช่นช่วยให้บรรดาชาวอินตะระเดียแถวๆ แคว้นปัญจาบ มีโอกาสได้เห็นวิวสวยๆ ได้เห็นภาพเทือกเขาหิมาลัย ปรากฏสู่สายตาเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ด้วยเหตุเพราะท้องฟ้า อากาศในอินเดียช่วงนี้ ออกจะใสสะอาดปราศจากมลพิษไม่เหมือนอย่างเมื่อช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา...
หรือแม่น้ำลำคลองในอิตาลี อย่างเช่นคลองเวนิส เป็นต้น ก็ว่ากันว่า...ใสบริสุทธิ์จนมองเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ไป-มาได้เลยถึงขั้นนั้น เนื่องจากบรรดาชาวเมืองเวนิส ตลอดไปจนนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ต่างหันมา “กักตัวเองอยู่ในบ้าน” ซะเป็นหลัก ไม่ได้คิดแห่ไปสร้างสิ่งสกปรกรกรุงรังเหมือนแต่ก่อน กระทั่งบ้านเราที่ “นากทะเล” โผล่ขึ้นมาอวดโฉมที่ชายหาดภูเก็ต เพราะไม่ต้องกลัว “ฝรั่ง” รายใด ออกมานอนแก้ผ้ารบกวนสายตาและความรู้สึก หาดป่าตอง กะรน ราไวย์ ฯลฯ หวนกลับคืนไปสู่ความเวอร์จิน หรือสวยสดงดงามตามธรรมชาติ ไปจนแม้แต่บรรดาคลื่นสั่นสะเทือนซึ่งเคยรบกวนเปลือกโลก ที่พวกผู้เชี่ยวชาญด้าน “แผ่นดินไหว” เขาต้องคอยเฝ้าสังเกต ว่ากันว่า...ถึงกับลดลงไปถึง 30-50 เปอร์เซ็นต์ อันเนื่องมาจากไม่ได้มีใครคิดจะออกไปไหน-ต่อไหน อีกต่อไปแล้ว...
อีกทั้งนอกเหนือไปจากนั้น...ยังอาจมีส่วนช่วยให้บรรดาความโกรธๆ เกลียดๆ เคียดแค้น อาฆาต ริษยา และชิงชัง อาจพอได้เริ่มลดๆ ลงไปได้มั่ง หรือไม่ อย่างไร? คงต้องคอยติดตามกันดูอีกที เพราะถ้าหากว่ากันตามข่าวคราวที่เลขาธิการสหประชาชาติ “นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส” (Antonio Guterres) ท่านออกมาแสดงความตื่นเต้ลล์ล์ล์ ยินดี ไปเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยคำพูดถึงขั้นว่า... “จากอเมริกาใต้ถึงแอฟริกา และจากตะวันออกกลางถึงเอเชีย เราได้มองเห็นบรรดาคู่ขัดแย้งและปรปักษ์ทั้งหลาย ต่างหันมาริเริ่มก้าวย่างอันอาจนำไปสู่การยุติความรุนแรง เพื่อหันมาสู้กับโรคระบาดกันแทนที่” นี่...ไม่ว่าจริง-ไม่จริง แต่ต้องถือเป็น “ข่าวดี” หรือถือเป็น “ปฏิกิริยาในแง่บวก” อันเนื่องมาจากคุณูปการของเชื้อ “COVID-19” อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
คือว่ากันว่า...เหตุที่ทำให้เลขาธิการสหประชาชาติ ท่านออกอาการเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากท่านได้เริ่มมองเห็นแนวโน้มทำนองนี้ปรากฏขึ้นมาบ้างรางๆ ในอาณาบริเวณพื้นที่อันเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาทกันมานานแสนนาน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ประเทศแคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง โคลอมเบีย ลิเบีย พม่า ฟิลิปปินส์ ซูดานใต้ ซูดาน ซีเรีย ยูเครน และเยเมน ฯลฯ เมื่อต่างฝ่ายต่างหันมาให้ความสนใจในการสู้กับเชื้อโรค อย่างเชื้อ “COVID-19” แทนที่จะหันไปสู้กับ “มนุษย์” ด้วยกันเอง หรือทำให้เกิดการริเริ่มเจรจา เพื่อนำไปสู่การ “พักรบชั่วคราว” หรือ “หยุดยิงชั่วคราว” เช่น กรณีการตกลงหยุดยิงระหว่างพวก “กบฏฮูตี” (Houthi) ในเยเมน กับกองทัพซาอุฯ เมื่อช่วงวันพุธ (8 เม.ย.) ที่ผ่านมานั่นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่เลขาธิการสหประชาชาติ ท่านได้บอกกับใครต่อใคร รวมทั้งบอกกับตัวเอง ไว้ตั้งแต่วันที่ออกมาแสดงความตื่นเต้น ยินดี ในเรื่องนี้ว่า “แต่อย่างไรก็ตาม...เราคงต้องระมัดระวังต่อไปว่า การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ยังคงเป็นเรื่องที่เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง และสามารถพลิกกลับไปเป็นแบบเดิมได้เสมอ ตราบใดที่ความขัดแย้งและความระทมทุกข์ยังคงดำรงอยู่ ความไม่ไว้วางใจยังคงฝังลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราบใดที่ยังมีผู้ยุยงส่งเสริมอยู่อีกเป็นจำนวนมากมาย...” และจะด้วยเหตุเหล่านี้ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะคิด หลังจากบรรลุข้อตกลง “หยุดยิงชั่วคราว” ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง กองทัพซาอุฯ ที่อาจโหดซะยิ่งกว่าเชื้อ “COVID-19” เลยส่งเครื่องบินโจมตีขึ้นไปหย่อนระเบิดใส่หัวพวกกบฏตามเมืองต่างๆ ในประเทศเยเมน ดังที่นำเล่าสู่กันฟังไปแล้วเมื่อวานนี้...
อย่างไรก็ตาม...ก็ใช่ว่า “มนุษย์” ทุกผู้ ทุกนาม จะโหดแบบเดียวกับซาอุฯ ไปด้วยกันซะทั้งหมด ดังนั้น...บรรดาผู้คนในองค์การสหประชาชาติจำนวนไม่น้อย จึงยังคงพยายามตั้งความหวังที่จะอาศัยช่วงจังหวะที่บรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย กำลังต้องต่อสู้กับเชื้อไวรัส “COVID-19” กันเป็นหลัก หันมาออกแรงผลักดันให้เกิด “สันติภาพ” ในหมู่มวลมนุษย์ด้วยกันเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หรือให้เป็นไปได้เท่าที่พอจะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นทูตพิเศษสหประชาชาติ ประจำซีเรีย “นายGeir Pedersen” ทูตพิเศษสหประชาชาติ ประจำเยเมน “นายMartin Griffiths” ทูตพิเศษเพื่อความร่วมมือกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง “นายNickolay Mladenov” ตัวแทนสหประชาชาติในเลบานอน “นายJan Kubis” และทูตพิเศษสหประชาชาติประจำอิรัก “นายHennis-Plasschaert” ต่างถือเป็นจังหวะและโอกาสที่จะร่วมเคลื่อนไหว ผลักดัน เพื่อให้เกิดการพบปะเจรจาของคู่ขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าในซีเรีย เยเมน เลบานอน อิรัก และปาเลสไตน์ ฯลฯ ด้วยการออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า... “การหยุดยั้งเชื้อ COVID-19 ในพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้ ไม่อาจเป็นไปได้เลย ถ้าหากยังไม่สามารถทำให้เสียงปืนและสงครามสงบลงไป...”
แต่ก็อย่างว่า....เสียงเรียกร้องเหล่านี้ จะมีใครที่ “ฟังแล้วได้ยิน” หรือไม่ อย่างไร? ก็ยังยากที่จะสรุปได้ เพราะตราบใดที่ “ความขัดแย้ง” “ความระทมทุกข์” และ “ความไม่ไว้วางใจ” ยังคงฝังลึก อย่างเลขาธิการสหประชาชาติท่านระบุเอาไว้ โอกาสที่มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน จะหันมาเลิกสู้กันเอง หรือหันไปสู้กับเชื้อ “COVID-19” กันแทนที่ มันคงแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย เนื่องจากไม่ว่าเชื้อโคโรนาไวรัสตัวนี้ มันจะร้ายกาจ น่าเกลียด น่ากลัว เพียงใดก็ตาม แต่คงเทียบไม่ได้กับความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท และริษยา ที่อาจถือเป็น “เชื้อไวรัสทางความรู้สึก” อันแพร่เชื้อ ฝังเชื้อ อยู่ในตัวมวลมนุษย์ทั้งหลายมานานแล้ว และทำให้สิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” ต้องกลายเป็นแค่ “มายาภาพ” มาโดยตลอด...
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...การอุบัติขึ้นมาของเชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้ ก็ยังพอช่วยให้เกิดบทเรียน เกิดการตระหนักและสำนึกต่อผู้ที่ยังคงให้ความสำคัญต่อ “ความเป็นมนุษย์” ได้มั่ง เหมือนอย่างที่ช่วยให้เกิดบทเรียน เกิดการตระหนักและสำนึกถึงความสำคัญของ “ธรรมชาติ” นั่นเอง เพียงแต่ว่าบรรดา “บทเรียน” เหล่านี้...ใครจะมองเห็น หรือใครฟังแล้วได้ยิน สำหรับคำตอบในเรื่องนี้...ก็ยังคงล่องลอยอยู่ในสายลม นั่นแหละสหาย...