ถ้าท่านผู้อ่านย้อนไปดูเหตุการณ์ร้ายแรง ซึ่งเป็นเหตุให้ประชากรโลกเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็จะพบว่ามีอยู่เพียง 2 ประการคือ
1. สงคราม ซึ่งเกิดจากการที่มนุษย์ทำลายล้างกันเอง ด้วยเหตุเพียงเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของตนเอง และแสวงหาการยอมรับจากผู้ครองแคว้นต่างๆ เฉกเช่นกษัตริย์ในยุคโบราณ เพื่อแย่งชิงทรัพยากรของประเทศอื่นมาเป็นของตน เฉกเช่นที่ประเทศซึ่งมีกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่าบุกไปโจมตีประเทศซึ่งด้อยกว่า และเพื่อเป็นแนวร่วมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการแสวงหาพันธมิตรทางการเมือง เฉกเช่นที่ประเทศมหาอำนาจเข้าไปแทรกแซงการปกครองของประเทศที่ด้อยกว่า โดยอ้างสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตย ดังที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศแถบตะวันออกกลาง
2. โรคระบาดเป็นวิกฤตการณ์ทำลายล้างชีวิตมนุษย์ไม่น้อยไปกว่าสงคราม จะต่างกันก็เพียงว่า โรคระบาดมิได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยตรงเหมือนกับสงคราม แต่อาจเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยอ้อม เช่น การทำลายสิ่งแวดล้อม และทำให้โลกมีมลพิษเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นมูลเหตุให้เกิดเชื้อโรคบางชนิดได้
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ได้พบกับการระบาดของโรคมาแล้วหลายครั้งหลายหน และจากโรคหลายชนิด เช่น อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ เป็นต้น และล่าสุดก็คือ โควิด-19 ซึ่งกำลังระบาดอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย
โควิด-19 เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน และเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ จึงยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นผู้ป่วยจากการได้รับเชื้อไวรัสตัวนี้ จะได้รับการรักษาตามอาการ ส่วนการป้องกันการติดเชื้อกระทำได้โดยการสวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน และถ้าจำเป็นต้องเข้าไปจะต้องอยู่ห่างจากกันอย่างน้อย 2 เมตร
ด้วยเหตุที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 จึงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และมีการเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในหลายประเทศ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
สำหรับการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ในระยะแรกในเดือนมกราคม-กลางเดือนมีนาคม คนไทยฟังข่าวแล้วค่อนข้างจะเบาใจ เนื่องจากมีคนติดเชื้อน้อยไม่ถึงครึ่งร้อย และมีผู้เสียชีวิตเพียง 1 คน
แต่จากวันที่ 16 มีนาคมจนถึงวันที่เขียนบทความนี้ มีผู้ติดเชื้อแล้ว 1,388 คน และเสียชีวิต 8 คน ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่าอัตราของผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้อาจทะลุ 5,000 กว่าคนภายใน 3 พฤษภาคมค่อนข้างแน่นอน และที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวดเร็วในระยะนี้ น่าจะเกิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในระยะแรกที่มีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ไม่มีการควบคุมเข้มงวดเท่าที่ควรจะเป็น มีเพียงการขอความร่วมมือ และแนะนำในการป้องกันเช่นให้สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น ประกอบกับหน้ากากอนามัยขาดแคลน ซื้อได้ยาก จึงทำให้มีใช้กันไม่ทั่วถึง ทั้งไม่มีการเข้มงวดในการควบคุมผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ จึงทำให้ผู้ที่ไม่รับผิดชอบต่อตนเอง และสังคมโดยรวม เช่น ผีน้อยบางคนที่กลับจากการไปทำงานต่างประเทศแล้วไปพบปะคนโน้น คนนี้ เป็นต้น รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้ามา และกลายเป็นพาหะแพร่เชื้อต่อไปกับผู้ที่เข้ามาใกล้ชิด เช่น คนขับรถรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น
2. จากความบกพร่องในข้อที่ 1 ทำให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อไม่ถูกควบคุมให้อยู่ในวงจำกัด และทำการรักษาให้หายขาดโดยเร็ว จึงเป็นพาหะแพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิด จะเห็นได้จากกรณีของสนามมวย และสถานบันเทิงซอยทองหล่อ เป็นตัวอย่างของความหละหลวม และหย่อนยานในการควบคุม
แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ประเทศไทยได้ใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วอย่างเต็มรูปแบบ จึงหวังได้ว่าจากนี้ไปคนไทยจะปลอดภัยจากโรคนี้มากขึ้น และอีกไม่นานประเทศไทยจะกลับสู่สภาวะปกติได้แน่นอน
อนึ่ง ถ้ามองในแง่บวกการระบาดของโรคร้ายแรงนี้ ทำให้มองเห็นข้อเด่น ข้อด้อยของการปกครองระบอบเผด็จการ และระบอบประชาธิปไตยได้อย่างชัดเจน จากการเปรียบเทียบการจัดการแก้ปัญหาวิกฤต อันเกิดจากโควิด-19 ของประเทศมหาอำนาจ 2 ประเทศ คือ จีน และอเมริกา โดยที่ประเทศจีนซึ่งปกครองในระบอบเผด็จการ สามารถจัดการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้โดยเด็ดขาดรวดเร็วในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ในขณะที่ประเทศอเมริกาซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 แซงหน้าจีนไปแล้ว และยังไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงได้ ประเทศไทยเองก็อยู่ในสภาพไม่แตกต่างกัน