เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูคุณพ่ออเมริกาเขาอีกสักหน่อย เพราะโดยลักษณะอาการเมื่อถึง ณ ขณะนี้ ต้องเรียกว่าหนักหนาสาหัส ระดับ “หน้ามืด” ทั้ง “สติ” และ “สตังค์” แทบไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว นับจากผงาดขึ้นเป็น “จ้าวโรค” หรือ “ประมุขโรค” อย่างเป็นที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ด้วยจำนวนปริมาณผู้ติดเชื้อ “COVID-19” ที่ทะลุหลักแสน ปาเข้าไปสองแสน สามแสน หรืออาจเลยไปถึงหลักล้านเอาเลยก็ไม่แน่ ส่วนจำนวนผู้ตายที่แม้ยังอยู่ในระดับหลักพันทุกวันนี้ แต่โดยตัวเลขประมาณอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว อาจทะลุไปถึงหลักแสน หรือระดับ 100,000-240,000 รายเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
และไม่ใช่แต่เฉพาะการติดเชื้อ ติดโรคเท่านั้น...อย่างที่อดีตนายกฯ บ้านเรา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ท่านได้ออกมาให้ความเห็นเอาไว้ชนิดเถียงไม่ออกนั่นแหละว่า เรื่องการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ “เชื้อโรค” กับเรื่องการแก้ปัญหาทาง “เศรษฐกิจ” นั้น ย่อมถือเป็นเรื่องเดียวกัน หรือ “คนละเรื่องเดียวกัน” อะไรทำนองนั้น คือถ้ายังแก้ปัญหาเชื้อโรคไม่ได้ โอกาสที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ว่าด้วยการอัดๆ ฉีดๆ อะไรต่อมิอะไรลงไปสักเท่าไหร่ ยังไงๆ...มันคงยากที่จะฟื้น ยากที่จะผงกหัว เงยหน้าอ้าปากได้อย่างที่ปรารถนาและต้องการ ดังนั้น...แม้ว่าผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกจะเป็นผู้ให้ความสนใจกับเรื่องเงินๆ-ทองๆ มากกว่าเรื่องชีวิตมนุษย์มนามาโดยตลอด แต่เมื่อเจอกับตัวเลขคนติดเชื้อ คนตาย เพราะ “COVID-19” ที่มันมาแรงแซงโค้ง ชนิดหัวไม่ตก ระบาดไปแล้วครบทุกรัฐ มีเพียงรัฐเดียวที่ยังไม่มีคนตาย ภายใต้สภาพบรรยากาศเช่นนี้ ไม่ว่าจะกำเงินอัดฉีดเอาไว้สักกี่ “ล้านล้านดอลลาร์” ก็แล้วแต่ ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันคง “ไม่ง่าย” หรือไม่อาจปอกกล้วยเข้าปากได้อยู่แล้วแน่ๆ...
การปักหัวดิ่งของ “ตลาดหุ้น” ไปพร้อมๆ กับ “ราคาน้ำมัน” ที่ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมัน “เชลล์ ออยล์” ของสหรัฐฯ แทบล้มละลายไปกว่าครึ่งกว่าค่อนประเทศ ได้ส่งผลในระดับที่ต้องเรียกว่า “หนักหนา-สาหัส” เอามากๆ สำหรับเศรษฐกิจอเมริกาแทบทั้งระบบ ตัวเลขคนว่างงานที่พุ่งทะลุขึ้นไปถึงเกือบ 10 ล้านราย หรือสูงสุดที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา อันเนื่องมาจากการชัตดาวน์ ล็อกดาวน์ หรือโซเชียล ดิสแทนซิ่ง อะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย แม้จะพิมพ์เงิน ควักเงินอัดฉีด ใส่เข้าไปให้กับบรรดาธุรกิจรายย่อยถึง 350,000 ล้านดอลลาร์ แต่ดันมี “ปัญหาทางเทคนิค” สำหรับระบบธนาคารซะอีกต่างหาก ที่แบงก์ขนาดเล็กกับแบงก์ขนาดใหญ่กัดกันไป-กัดกันมา เพื่อแย่งเนื้อ แย่งเม็ดเงิน ที่จะเอาไปปล่อยกู้ให้บรรดาธุรกิจรายย่อยทั้งหลาย จะแบบเดียวกับแบงก์บ้านเรา ที่แย่งกันลดต้น-ลดดอก ลดต้น-ไม่ลดดอก ไม่ลดต้น-ไม่ลดดอก ฯลฯ อะไรทำนองนั้น หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ แต่ถึงกับกลายเป็นข่าวคราว ว่าไปๆ-มาๆ...บรรดาธุรกิจรายย่อยในอเมริกา อาจ “เจ๊ง” ลงไปซะก่อน หรือก่อนนโยบายอัดฉีดจะได้เริ่มต้น เอาเลยก็ไม่แน่!!!
ไม่ต่างจากบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย...ที่ได้รับการอัดฉีด หรือได้รับการโปรยปรายเม็ดเงินจาก “เฮลิคอปเตอร์มันนี” รายละเป็นพันๆ ดอลลาร์ แต่เท่าที่นั่งดูข่าว “CNN” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นว่ากว่าจะได้เช็ค ได้รับเงินก้อนนี้ อาจต้องชักสะพานแหงนถ่อรอคอยไปอีกประมาณ 20 สัปดาห์เอาเลยถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุเพราะ “ปัญหาทางเทคนิค” ในระบบธนาคารนั่นเอง ท่ามกลางสภาพบรรยากาศเช่นนี้ มันเลยไม่ได้เอื้ออำนวยใดๆ ให้กับ “ตลาด” เอาเลยแม้แต่น้อย และนั่นเองที่ทำให้ความปั่นป่วน ระส่ำระสายภายใน “ตลาดหุ้น” อเมริกา ส่งผลให้แม้แต่ตัวประธานาธิบดีเอง ยังหนีไม่พ้นต้อง “เจ๊ง” ไปด้วย หรือต้องสูญเสียรายได้จากธุรกิจส่วนตัวไปแล้วไม่น้อยไปกว่านับเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ นี่...ถ้าว่ากันตามรายงานของนิตยสาร “Forbes” ที่ได้นำเสนอไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ชนิดไล่เรียงให้เห็นกันไปเป็นเม็ดๆ ตั้งแต่ธุรกิจที่พักและอสังหาริมทรัพย์ในเครือ “ทรัมป์บ้า” ที่มอบหมายให้ลูกชาย 2 คนดูแล จากที่เคยมีมูลค่า 235 ล้านดอลลาร์ หล่นลงไปเหลือ 140 ล้านดอลลาร์ ธุรกิจสนามกอล์ฟจาก 271 ล้านดอลลาร์ เหลือแค่ 217 ล้านดอลลาร์ ธุรกิจโรงพยาบาลจาก 107 ล้านดอลลาร์ เหลือมูลค่าแค่ 38 ล้านดอลลาร์แม้แต่ธุรกิจรีสอร์ตอันแสนหะรูหะรา ที่ถูกใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้าน-แขกเมืองแบบ “ผลประโยชน์ซ้อนทับ” กันมาโดยตลอด อย่าง “Mar-a-Lago” และอาคาร “Trump Tower” จากมูลค่าที่เคยอยู่ที่ประมาณ 348 ล้านดอลลาร์ แต่หลังจากวันที่ 18 มีนาคม หรือหลังความปั่นป่วนในตลาดหุ้นเป็นต้นมา เหลือมูลค่าอยู่เพียง 295 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง ฯลฯ หรือสรุปรวมความแล้ว ด้วยเหตุเพราะไม่อาจแก้ปัญหา “เชื้อโรค” ได้อย่างเป็นจริงเป็นจังนั่นเอง แม้แต่ปัญหา “เศรษฐกิจ” ของตัวเอง ยังทำให้ธุรกิจส่วนตัวของ “ทรัมป์บ้า” เจ๊งไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย!!!
นี่...เมื่อเจอเข้าแบบนี้ อาการ “หน้ามืด” อันเนื่องมาจากทั้ง “สติ” และ “สตังค์” ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันเลยส่งผลให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา เลยต้องออกอาการ “บ้า...ก็...บ้าวะ” หรือ “บ้าไปแล้ว” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือต้องจำแลงแปลงกายเป็น “โจร” แถมเป็นโจรประเภท “ใส่เสื้อแดง-แขวนกระดิ่ง-ปล้นกลางวันแสกๆ” ซะอีกด้วยต่างหาก หรือเกิดปรากฏการณ์ที่กลายเป็นข่าวคราวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลก ว่าด้วยเหตุเพราะความต้องการที่จะแก้ปัญหา “เชื้อโรค” ให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์เวชภัณฑ์ เครื่องมือทางการแพทย์ ไปจนหน้ากากอนามัย ฯลฯ ประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา เลยต้องหันไปสวมบทบาท อย่างที่ผู้สื่อข่าว “MintPress News” “นายAlan Macleod” ได้แจกแจง ไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดชื่อว่า “US Lead Global Wave of Nation Stealing Seizing and Diverting Coronavirus Equipment” หรืออเมริกาได้กลายเป็นผู้นำในการสร้างแบบอย่าง ตัวอย่าง ให้กับโลก ในการปล้น ยึด แก้ไขปรับเปลี่ยนข้อตกลง เพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องมือและอุปกรณ์ป้องกันไวรัสนั่นเอง...
ซึ่งในข้อเขียน บทความดังกล่าว...ก็ไม่ได้กล่าวหากันลอยๆ แต่มีเหตุผลและคำอ้างอิงที่มีน้ำหนักมิใช่ไม่น้อย ไม่ว่าคำพูด คำให้สัมภาษณ์ของประธานแคว้น “Provence-Alps-Cote d’Azur” หรือ “PACA” ดินแดนในฝรั่งเศสที่ติดต่อกับอิตาลี “นายRenaud Muselier” ที่ออกมาโหยหวนครวญคราง ว่าหน้ากากอนามัยประมาณ 60 ล้านชิ้น และอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่ “PACA” สั่งซื้อจากเมืองจีน ขนส่งเครื่องบินมาเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะ “เอเยนต์อเมริกัน” บางราย ไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ให้เปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากที่ต้องขนส่งไปที่ฝรั่งเศส ให้ส่งไปยังอเมริกากันซะแทนที่ อ้างคำพูดของนายกรัฐมนตรีแคนาดา “นายจัสติน ทรูโด” ที่ระบุว่า แคนาดาเองก็กำลังเจอกับสิ่งเหล่านี้อยู่เหมือนกัน หรือแม้แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขบราซิล ประเทศที่พยายามสูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจ หรือ “ดมก้นอเมริกา” กันอย่างเป็นระบบ “นายLuiz Herique Mandetta” ยังอดไม่ได้ที่ต้องออกมาบ่น มาระบาย ว่าหน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่บราซิลพยายามสั่งซื้อจากเมืองจีน ดันถูกอเมริกาชิงตัดหน้าส่งเครื่องบินลำเลียง 23 ลำ ไปกว้านเอามาหมด ไปจนข่าวล่าสุด...ที่วุฒิสมาชิกเยอรมนีแห่งกรุงเบอร์ลิน “นายAndreas Geisel” ซึ่งเจอกับเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ อดไม่ได้ที่จะต้องออกมาให้ชื่อฉายารัฐบาลอเมริกันว่า เป็น “โจรสลัดยุคใหม่” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
การแก้ปัญหา “เชื้อโรค” และปัญหา “เศรษฐกิจ” ที่ได้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปแล้วเช่นนี้ เลยทำให้แต่ละประเทศต้องลอกแบบ เลียนแบบกันไปต่างๆ นานา ถ้าเลียนแบบในสิ่งที่ดี...ก็ดีไป ไม่ว่าจะปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดประเทศ จะใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง จนกลับมาตั้งหลัก แก้ปัญหาตัวเองได้สำเร็จแล้วหันไปช่วยเพื่อนร่วมโลกแก้ปัญหาได้ด้วย แต่ถ้าดันไปลอกเลียนตัวอย่างเลวๆ หันไปปล้น ไปยึด ไปเอาตัวรอดแต่เพียงลำพัง ไป “America First” ลูกเดียวเท่านั้น อย่างมาก...คงได้แค่ “ประมุขโรค” หาใช่ “ประมุขโลก” ดังที่ตัวเองปรารถนาและต้องการได้ไม่…