จากการแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประกาศ “เคอร์ฟิว”ห้ามออกนอกนอกเคหสถาน หรือห้ามออกจากบ้าน ตั้งแต่เวลา 22.00 น.ถึง 04.00 น.โดยเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 3 เมษายน เป็นต้นไป ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นการผิดความคาดหมาย เพราะว่ามีการส่งสัญญาณออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่าจะต้องมี “ยาแรงกว่านี้”ตามมาในอีกไม่ช้า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ยังมีการแพร่กระจายออกไป
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากเป้าหมายของการประกาศเคอร์ฟิวในครั้งนี้ ก็เพื่อเป้าหมายไม่ให้คนออกจากบ้านในยามค่ำคืน โดยเฉพาะการลอบไปรวมกลุ่ม เช่น มีการตั้งวงดื่ม มีการลักลอบมั่วสุม หรือเล่นการพนัน ซึ่งยังพบเห็นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และที่สำคัญที่ผ่านมา หลังจากมีการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นมา หากนับจนถึงวันที่ 2 เมษายน ก็ถือว่าครบ 7 วันพอดี จึงต้องมีการประเมินสถานการณ์กันใหม่ และก็นำมาสู่ “ยาแรง”ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่เป็นสัญญาณที่ทำให้พอมองเห็นว่า อีกไม่นานน่าจะมีการยกระดับความเข้มข้นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งให้ “แรงกว่านี้อีก”และแม้ว่าในการประกาศเคอร์ฟิว จะมีเป้าหมายเพื่อเน้นไม่ให้มีการออกนอกบ้านไปรวมกลุ่มกัน ขณะเดียวกันก็ยังมีมาตรการในการ “ชะลอ”การเดินทางเข้าประเทศทั้งต่างชาติ และคนไทย เนื่องจากพบว่าที่ผ่านมาคนเหล่านี้จะเป็นคนนำเชื้อ “นำเข้า”เป็นสัดส่วนที่สูงมากในระยะหลัง เนื่องจากแทบทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศยุโรป และอเมริกา กลายเป็นแหล่งระบาดใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานี้
จากข้อมูลของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงก่อนหน้านี้ว่า เวลานี้กำลังมีผู้ติดเชื้อในรุ่นที่ “2และ 3” มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อจากสองกลุ่มหลักก่อนหน้าคือ “กลุ่มสนามมวย”และ "กลุ่มสถานบันเทิง" และที่สำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ กลุ่มผู้ติดเชื้อกลุ่มใหม่ที่มาจากการ “ติดเชื้อภายในบ้าน”เนื่องจากยังไม่ได้มีการรักษาระยะห่างจากกัน รวมไปถึงยังใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ไม่ได้ใช้ช้อนกลาง เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร ก็ยังไม่ถือว่าร้ายแรงเท่ากับการแพร่ระบาดข้างนอก
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากระยะเวลาในการห้ามออกนอกเคหสถานดังกล่าว นั่นคือ ตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. ก็ถือว่าไม่กี่ชั่วโมง ยังไม่ถึงขั้น"ปิดเมือง" แบบเต็มขั้นเหมือนกับบางประเทศ เช่นในเมืองอู่ฮั่นของจีนก่อนหน้านี้ ที่ห้ามใครเข้าออกจากบ้านในแบบปิดกันทั้งเมืองเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็น “ยาแรง”แบบขั้นสุด และทำให้จีน“เอาอยู่”มาตั้งแต่นั้นมา
สำหรับประเทศไทย หากเปรียบเทียบกันแล้วถือว่า “เบามาก”และที่ผ่านมาก็มีการส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะ โดยเพิ่มความเข้มข้นมาเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวและปรับตัวรับกับมาตรการที่ออกมาจากรัฐบาล หลังจากก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีการขอความร่วมห้ามออกจากบ้านในยามค่ำคืนออกมาก่อน รวมไปถึงการสั่งปิดร้านสะดวกซื้อ และร้านที่เปิดยามค่ำคืน โดยให้ปิดบริการตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตีห้า รวมไปถึงการปิดกั้นเส้นทางเข้าออกในแบบที่มีการ คัดกรองแบบเข้ม
แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณากันถึงแนวโน้มแล้วยังเชื่อว่า มาตรการที่ “เข้มข้นกว่านี้”จะต้องตามมาในอีกไม่ช้า เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะนี้ ยังลุกลามทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะจากนอกประเทศที่ “หนักหนาสาหัส”
สำหรับประเทศไทย หลังจากได้ฟังข้อมูลจากทางคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านทางโฆษกของ ศบค. คือ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ทำให้มองเห็นว่าทางการต้องการให้ “หยุดภาวการณ์แพร่ระบาด”ให้ได้ก่อน ซึ่งแม้ว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่มแต่ละวันในหลักร้อยแบบคงที่ และยังต้องลุ้นในช่วง 5-7 วันนี้ ที่เชื้อโรคจะเริ่มแสดงอาการจากการสัมผัสของผู้ติดเชื้อในรุ่น 2-3 ว่ามีการแพร่กระจายมากน้อยแค่ไหน หากไม่เพิ่มก็ถือว่าใจชื้นไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็จะสามารถเข้าสู่ระยะควบคุมโรคได้
**ดังนั้น นาทีนี้แม้จะมีมาตรการที่เข้มขึ้น โดยการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกจากบ้านในบางเวลา แต่ยังไม่ถึงขั้นล็อกดาวน์ ห้ามเข้าออกเด็ดขาดทั้งวัน ทั้งคืน แต่มันก็เป็นการส่งสัญญาณเตือน “เข้ม”ไปอีกขั้นหนึ่ง โดยหลังจากนี้อาจจะมีการห้ามการสัญจรเดินทาง และที่บอกว่าจะเริ่มจาก “เบาไปหาหนัก”นั้นเชื่อว่านับจากนี้ไปหากสถานการณ์ที่ประเมินกันไว้ล่วงหน้ายังไม่ดีขึ้น ก็คงต้อง “หนักขึ้นเรื่อยๆ”เพื่อให้ “เอาอยู่”ให้ได้ในเร็ววัน !!
ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่าจะต้องมี “ยาแรงกว่านี้”ตามมาในอีกไม่ช้า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ยังมีการแพร่กระจายออกไป
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากเป้าหมายของการประกาศเคอร์ฟิวในครั้งนี้ ก็เพื่อเป้าหมายไม่ให้คนออกจากบ้านในยามค่ำคืน โดยเฉพาะการลอบไปรวมกลุ่ม เช่น มีการตั้งวงดื่ม มีการลักลอบมั่วสุม หรือเล่นการพนัน ซึ่งยังพบเห็นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และที่สำคัญที่ผ่านมา หลังจากมีการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นมา หากนับจนถึงวันที่ 2 เมษายน ก็ถือว่าครบ 7 วันพอดี จึงต้องมีการประเมินสถานการณ์กันใหม่ และก็นำมาสู่ “ยาแรง”ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่เป็นสัญญาณที่ทำให้พอมองเห็นว่า อีกไม่นานน่าจะมีการยกระดับความเข้มข้นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งให้ “แรงกว่านี้อีก”และแม้ว่าในการประกาศเคอร์ฟิว จะมีเป้าหมายเพื่อเน้นไม่ให้มีการออกนอกบ้านไปรวมกลุ่มกัน ขณะเดียวกันก็ยังมีมาตรการในการ “ชะลอ”การเดินทางเข้าประเทศทั้งต่างชาติ และคนไทย เนื่องจากพบว่าที่ผ่านมาคนเหล่านี้จะเป็นคนนำเชื้อ “นำเข้า”เป็นสัดส่วนที่สูงมากในระยะหลัง เนื่องจากแทบทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศยุโรป และอเมริกา กลายเป็นแหล่งระบาดใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานี้
จากข้อมูลของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงก่อนหน้านี้ว่า เวลานี้กำลังมีผู้ติดเชื้อในรุ่นที่ “2และ 3” มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อจากสองกลุ่มหลักก่อนหน้าคือ “กลุ่มสนามมวย”และ "กลุ่มสถานบันเทิง" และที่สำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ กลุ่มผู้ติดเชื้อกลุ่มใหม่ที่มาจากการ “ติดเชื้อภายในบ้าน”เนื่องจากยังไม่ได้มีการรักษาระยะห่างจากกัน รวมไปถึงยังใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ไม่ได้ใช้ช้อนกลาง เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร ก็ยังไม่ถือว่าร้ายแรงเท่ากับการแพร่ระบาดข้างนอก
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากระยะเวลาในการห้ามออกนอกเคหสถานดังกล่าว นั่นคือ ตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. ก็ถือว่าไม่กี่ชั่วโมง ยังไม่ถึงขั้น"ปิดเมือง" แบบเต็มขั้นเหมือนกับบางประเทศ เช่นในเมืองอู่ฮั่นของจีนก่อนหน้านี้ ที่ห้ามใครเข้าออกจากบ้านในแบบปิดกันทั้งเมืองเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็น “ยาแรง”แบบขั้นสุด และทำให้จีน“เอาอยู่”มาตั้งแต่นั้นมา
สำหรับประเทศไทย หากเปรียบเทียบกันแล้วถือว่า “เบามาก”และที่ผ่านมาก็มีการส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะ โดยเพิ่มความเข้มข้นมาเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวและปรับตัวรับกับมาตรการที่ออกมาจากรัฐบาล หลังจากก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีการขอความร่วมห้ามออกจากบ้านในยามค่ำคืนออกมาก่อน รวมไปถึงการสั่งปิดร้านสะดวกซื้อ และร้านที่เปิดยามค่ำคืน โดยให้ปิดบริการตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงตีห้า รวมไปถึงการปิดกั้นเส้นทางเข้าออกในแบบที่มีการ คัดกรองแบบเข้ม
แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณากันถึงแนวโน้มแล้วยังเชื่อว่า มาตรการที่ “เข้มข้นกว่านี้”จะต้องตามมาในอีกไม่ช้า เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะนี้ ยังลุกลามทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะจากนอกประเทศที่ “หนักหนาสาหัส”
สำหรับประเทศไทย หลังจากได้ฟังข้อมูลจากทางคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านทางโฆษกของ ศบค. คือ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ทำให้มองเห็นว่าทางการต้องการให้ “หยุดภาวการณ์แพร่ระบาด”ให้ได้ก่อน ซึ่งแม้ว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่มแต่ละวันในหลักร้อยแบบคงที่ และยังต้องลุ้นในช่วง 5-7 วันนี้ ที่เชื้อโรคจะเริ่มแสดงอาการจากการสัมผัสของผู้ติดเชื้อในรุ่น 2-3 ว่ามีการแพร่กระจายมากน้อยแค่ไหน หากไม่เพิ่มก็ถือว่าใจชื้นไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็จะสามารถเข้าสู่ระยะควบคุมโรคได้
**ดังนั้น นาทีนี้แม้จะมีมาตรการที่เข้มขึ้น โดยการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกจากบ้านในบางเวลา แต่ยังไม่ถึงขั้นล็อกดาวน์ ห้ามเข้าออกเด็ดขาดทั้งวัน ทั้งคืน แต่มันก็เป็นการส่งสัญญาณเตือน “เข้ม”ไปอีกขั้นหนึ่ง โดยหลังจากนี้อาจจะมีการห้ามการสัญจรเดินทาง และที่บอกว่าจะเริ่มจาก “เบาไปหาหนัก”นั้นเชื่อว่านับจากนี้ไปหากสถานการณ์ที่ประเมินกันไว้ล่วงหน้ายังไม่ดีขึ้น ก็คงต้อง “หนักขึ้นเรื่อยๆ”เพื่อให้ “เอาอยู่”ให้ได้ในเร็ววัน !!