เมืองไทย 360 องศา
หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในช่วงวันสองวันนี้ ได้เห็นสัญญาณบางอย่างที่พอจับทางได้ว่า ในอีกไม่กี่วันหรืออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า อาจจะมีการ “ยกระดับ” คำสั่งบางอย่างเพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ “โควิด-19” ที่ยังระบาดอยู่ในประเทศไทยในเวลานี้
แม้ว่าหากเทียบกันในระดับตัวเลขผู้ป่วย หรือผู้ติดเชื้อกับอีกหลายประเทศ ประเทศไทยเราอยู่ในลำดับที่ 35 ของโลก และตัวเลขที่มีการแถลงล่าสุดเมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา โดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ว่า มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 1,771 ราย มีรายใหม่เพิ่มขึ้น 120 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 12 ราย
แม้ว่าตัวเลขทั้งผู้ป่วย และตัวเลขผู้เสียชีวิตในประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังระบาดอย่างหนักในเวลานี้ในแถบยุโรป คือ อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ และอีกหลายประเทศในแถบเดียวกัน รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่เวลานี้กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในโลกถึง 187,340 ราย วันเดียวเพิ่มขึ้นถึง 23,861 ราย ขณะที่ทั้งโลกมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 856,910 ราย ใกล้แตะหนึ่งล้านคนเข้าไปทุกทีแล้ว ส่วนที่สหรัฐอเมริกา เชื่อว่า ภายในวันพรุ่งนี้ หากตัวเลขยังเป็นอย่างที่เห็นก็จะพุ่งทะลุ 2 แสนคนอย่างแน่นอน
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขดังกล่าว ถือว่าน่าสยดสยองและสลดหดหู่มาก เมื่อได้เห็นจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกในแบบที่เรียกว่า “ตายแบบใบไม้ร่วง” บางประเทศ เช่น อิตาลี สเปน ล่าสุด เป็นฝรั่งเศส ที่มีผู้เสียชีวิตวันเดียวในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง ร่วมหนึ่งพันศพ และยังมีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งบวกและลบ นั่นคือ ทางบวกคือตัวเลขของผู้ติดเชื้อเริ่มทรงตัวแบบที่ว่าเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง เช่นที่ อิตาลี และ สเปน แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสองประเทศที่ว่านั้นกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย รวมไปถึง ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ไม่เว้นแม้แต่อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา ที่ทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตกำลังเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
เมื่อวกกลับมาพิจารณาสถานการณ์ในประเทศไทย ทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม และแนวโน้มการแพร่ระบาด หลังจากประกาศใช่พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งจะครบกำหนด 7 วัน ในวันพฤหัสบดีนี้ และจากการแถลงล่าสุดเมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยใหม่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ที่น่าสนใจก็คือ เวลานี้มีผู้ป่วย “รุ่นที่ 2” และ รุ่นที่ 3” จากกลุ่ม “สนามมวย” และ “สถานบันเทิง” ความหมายก็คือ ผู้ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อจากสองกลุ่มดังกล่าว กำลังจะไปแพร่เชื่อให้กับรายใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ติดเชื้อจากการร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย ผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง
อีกทั้งเวลานี้สิ่งที่ต้องจับตา ก็คือ ต้องรอลุ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อว่าจะเพิ่มขึ้นมากเพียงใด หลังจากที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม และกำลังจะครบ 7 วันในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากระยะฟักตัวของเชื้อที่จะเริ่มเห็นอาการในระยะ 5-7 วัน แต่เมื่อพิจารณาจากตัวเลขของผู้ติดเชื้อใน “รุ่น 2-3” ดังกล่าวถือว่า “น่าเป็นห่วง” แม้ว่าจากตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มในแต่ละวันยังเป็นหลักร้อยคนต่อเนื่องมาสองสามวันแล้วก็ตาม ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ไม่อาจวางใจได้เลย
เพราะจากการแถลงของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ระบุว่า สาเหตุของผู้ติดเชื้อเพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นการ “ติดเชื้อมาจากภายในบ้าน” นั่นคือ ยังไม่ได้มีการเว้นระยะห่างที่ดีพอนั่นเอง
ขณะเดียวกัน เมื่อจับสัญญาณจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า จะต้องมีการประเมินสถานการณ์หลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปได้ระยะหนึ่งก่อน ว่าจะต้องใช้ “ยาแรง” เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ โดยเขาแย้มออกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า หากยังไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องให้มีความ “เข้มข้น” ขึ้นไปอีก
พร้อมกันนี้ ก็ได้เห็นในหลายจังหวัดที่เริ่มขอความร่วมมือห้ามออกจากบ้านในเวลาที่กำหนด สั่งปิดร้านสะดวกซื้อในบางเวลา แม้ไม่ใช่การประกาศ “เคอร์ฟิว” ที่ห้ามเด็ดขาด แต่มันก็เหมือนกับการส่งสัญญาณเตือนให้ได้ปรับตัวก่อนล่วงหน้า เหมือนกับที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ได้สั่งปิดร้านสะดวกซื้อในบางเวลา นั่นคือ ให้ปิดตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีห้า ในความหมายก็คือ “เข้มข้น” ขึ้นไปอีก รวมไปถึงการตั้งด่านคัดกรองคนเดินทางข้ามถิ่น
เมื่อพิจารณาจากสัญญาณดังกล่าวข้างต้นมาประกอบกันทั้งหมด ก็ทำให้พอมองเห็นบางอย่างที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าอีกไม่นานนักเราก็น่าจะเห็นมาตรการ “ควบคุม” ที่เข้มข้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอาจได้เห็นการ “ล็อกดาวน์” ในแบบปิดเมืองแบบของจริงก็เป็นได้ เพราะเป้าหมาย “ควบคุมการแพร่ระบาด” ให้ได้ก่อน ในแบบ “เจ็บทีเดียวจบ” เพราะในเวลานี้มันก็เจ็บอยู่แล้ว “แต่ยืดเยื้อไม่จบ” สักที
ก็ต้องจับตาในวันครบรอบ 7 วัน หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่าจะเข้มขนาดไหน !!