xs
xsm
sm
md
lg

มหาภัยโรคระบาดโควิด-19 คนจะป่วยแค่ไหน จะตายแค่ไหน จะจบอย่างไร?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์


บุคลากรสาธารณสุขกำลังนำศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19ออกจากรถบรรทุกห้องเย็นหน้า รพ.บรูคลิน มหานครนิวยอร์ก วานนี้ (31 มี.ค.) โดย รพ.ต้องใช้รถบรรทุกห้องเย็นเป็นที่เก็บศพ เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก (ภาพเอเอฟพี)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา


การทำนายว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย และไม่มีทางถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นสิ่้งที่ต้องลองทำ เพราะอย่างน้อยทำให้เราดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท และวางแผนล่วงหน้าเพื่อรองรับในสิ่งที่เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยยังมีความหวังในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นเสมอเช่นกัน (Hope for the best, prepare for the worst)

มหาโรคระบาดโควิด-19 ถือว่าเป็น Pandemic คือมหาโรคระบาดที่ระบาดไปทั่วโลก เชื่อว่าจะมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน มีผู้เสียชีวิตก็อาจจะถึงหลักล้าน ผมเห็นภาพที่ขนตู้แช่คอนเทนเนอร์ใหญ่ยักษ์มาวางเรียงหลังโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในนิวยอร์กซิตี้แล้วอดใจหายไม่ได้ นี่คือที่เก็บศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่เอาไปฝังไปเผาไม่ทัน ต้องห่อพลาสติกแช่เย็นไว้ก่อน รถคอนเทนเนอร์ตู้เย็นที่ว่าวางเรียงเป็นตับ ๆ แสดงว่าเตรียมการไว้รองรับการตายอีกมาก เพราะระบาดหนักและเครื่องช่วยหายใจไม่พอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหากปราศจากความร่วมมือกันไทยเราก็จะมีภาพแบบเดียวกัน

สิ่งที่ยังไม่มีใครรู้คือวิกฤติมหาโรคระบาดโควิด-19 จะจบลงเมื่อใด และจะจบอย่างไร

ทางจบน่าจะมีสามทาง

ทางที่หนึ่ง คิดค้นยาต้านไวรัสโควิด-19 ที่ทำงานได้เต็มที่จนทำให้รักษาโควิด-19 ได้ผลดีมาก เหมือนอย่างที่ยาต้านไวรัส HIV ทำให้แทบไม่มีคนป่วยเป็นโรคเอดส์เสียชีวิตอีกหากเข้าถึงยาได้

อย่างไรก็ตามความหวังที่ว่ามหาโรคระบาดโควิด-19 จะจบลงด้วยทางนี้ค่อนข้างยากมาก ผลการทดลองทางคลินิคอย่างรัดกุมจากจีนในมณฑลหูเป่ยตีพิมพ์ในวารสารนามอุโฆษของโลกทางการแพทย์คือ the New England Journal of Medicine ไม่พบว่ายาต้านไวรัสตัวเก่าคือ Lopinavir และ Ritonavir จะได้ผลในการรักษาโรคโควิด-19 แม้หลายคนจะโต้แย้งว่าเริ่มให้ยานี้เมื่อสายไปหรืออาการหนักมากแล้ว

ทางที่สอง คือคิดวัคซีนโรคไวรัสโควิด-19 ได้สำเร็จ ซึ่งก็ยากมากเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าน่าจะใช้เวลาอย่างต่ำ 16 เดือน และวัคซีนสำหรับโรคไวรัส ไม่ค่อยได้ผล เพราะเกิดการกลายพันธุ์ (Mutation) ไปได้เรื่อยๆ ได้ง่าย ว่าง่ายๆ คือเชื้อไวรัสปรับตัวได้เร็ว เหตุผลนี้จึงทำให้วัคซีนไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไม่ค่อยได้ผลดีนัก ในแต่ละปีก็ต้องเปลี่ยนและพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะมีไวรัสตัวใหม่เกิดขึ้นเสมอ ทางจบทางที่สองนี้น่าจะช้าเกินไป และไม่น่าได้ผล

ทางเลือกที่หนึ่งและสองนี้ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องเอาชนะธรรมชาติและแข่งกับเวลาแห่งความตายได้สำเร็จ

ทางที่สาม คือ Herd Immunization หรือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ herd แปลว่าฝูง เช่น a herd of cattle แปลว่าฝูงวัวควาย การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่คือการปล่อยให้ประชาชนจำนวนมากได้รับเชื้อโควิด-19 แล้วเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้เอง ปกติร้อยละ 80-90 เมื่อได้รับเชื้อโควิด-19 จะไม่แสดงอาการใดๆ แล้วก็เกิดภูมิคุ้มกันได้ด้วยตนเองได้ มีจำนวนไม่มากที่จะป่วยหนักจนถึงต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเข้าห้องไอซียูเพราะเกิดปอดอักเสบอย่างรุนแรงจนเสียชีวิตได้


ทางเลือกที่สามนี้ จะมีคนตายเป็นจำนวนมาก เพราะมีผู้ป่วยมากจน คนไทยจะตายมากแค่ไหนหากเกิดมหาโรคระบาด “โควิด-19” เมื่อพิจารณาจากทรัพยากรทางการแพทย์ของเรา ? (อ่าน >> https://mgronline.com/daily/detail/9630000027840)

เรามาลองพิจารณาผังภาพการกระจาย (Scatter plot) ด้านล่างนี้จาก https://ourworldindata.org/coronavirus แกนนอนคือจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนแกนตั้งคือจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จุดแต่ละจุดแทนประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 กราฟทั้งแกนตั้งแกนนอน อยู่บนสเกล log ฐานสิบ คือระยะห่างจาก 10-100 เท่ากับ 100-1,000 เท่ากับ 1,000 -10,000 เท่ากับ 10,000-100,000 ทั้งแกนตั้งและแกนนอน

เราพบความสัมพันธ์ทางบวกระหว่างจำนวนผู้ติดเชื้อกับจำนวนผู้เสียชีวิตค่อนข้างสูง หมายความว่า log10 (จำนวนผู้ติดเชื้อ) ทำนาย log10 (จำนวนผู้เสียชีวิต) ได้ค่อนข้างดีมาก

ในผังภาพการกระจายยังมีเส้นตรงในแนวทแยง อันเป็นเส้นสมการถดถอย ที่พยายามลากผ่านกลุ่มข้อมูล ค่าเฉลี่ยอัตรามรณะของโลกอยู่เส้นเกือบบนสุด โดยเป็นค่าที่มาทางขวามือบนสุด เพราะรวมจำนวนผู้เสียชีวิตและจำนวนผู้ป่วยทั่วโลก โดยที่อัตรามรณะของโลกอยู่ที่ร้อยละ 5

เส้นบนสุดคือประเทศที่มีอัตราการตายสูงมากเช่น อิตาลี อัตราการตายอยู่ที่ 10% ซึ่งอาจจะมาจากสามสาเหตุคือ หนึ่ง อิตาลี มีจำนวนประชากรสูงวัยมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งยังมีจำนวนผู้ป่วยต่อประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก และสาม อิตาลี มีจำนวนเตียงไอซียู เท่ากับ 12 เตียงต่อประชากรแสนคน ซึ่งมากกว่าไทยนิดหน่อย (เพราะได้ 10.5 เตียงต่อประชากรแสนคน) แต่ยังดีกว่าอังกฤษ (6 เตียงต่อประชากรแสนคน)


สำหรับไทยเราจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังไม่มากนัก พันกว่าราย แต่รอผลตรวจอยู่ 7,000 ราย บ้านเรามีปัญหา ผลตรวจล่าช้า น้ำยาไม่พอ เข้าถึงการตรวจได้ยาก อันเป็นปัญหาของการจัดสรรทรัพยากร และมีปัญหาเรื่องบุคลากรคือนักเทคนิคการแพทย์มีไม่เพียงพอด้วย ในความเป็นจริงสิ่งที่น่าคิดคือ หากผลตรวจที่รอออกมา จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าใด หากตรวจแล้วผลตรวจเป็นบวกราว 20% ก็จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทันที 1,400 คน ทำให้ยอดผู้ป่วยของไทยน่าจะแตะสามพันในทันทีที่ผลตรวจที่รอออกมาทั้งหมด

ไทยในขณะนี้อัตราการตายจากโควิด-19 อยู่ที่ 0.5% ยังต่ำอยู่มาก

แต่ถ้าเราดูจากกราฟนี้ จะพอสังเกตแนวโน้มว่าเมื่อ มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมาก ๆ อัตราการตายจะเลื่อนไป กราฟถัดไปด้วย (ด้านมุมล่างซ้ายของกราฟ จุดของประเทศที่อยู่เกาะเส้นอัตราการตายสูง ๆ มักเป็นประเทศด้อยพัฒนา เช่น Gambia, Angola, Togo, Curacao เป็นต้น อันสะท้อนให้เห็นว่าขาดโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไม่ดีพอ ในขณะที่กราฟมุมขวาด้านบน จะเห็นว่าประเทศไม่ค่อยเกาะกับกราฟอัตราการเสียชีวิตเส้นล่างเลย เหตุผลง่าย ๆ คือจำนวนผู้ป่วยมากจนดูแลไม่ไหว เครื่องช่วยหายใจไม่พอ ต้องปล่อยให้ตาย หรือเลือกรักษาเป็นบางคน

หากไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ มีแนวโน้มที่อัตราการตายของไทยจะขยับสูงขึ้นกว่านี้ เช่น ขยับไปเป็น 1-2-3% เป็นต้น เพราะเริ่มดูแลได้ไม่ดีพอ ไม่ทั่วถึง ทรัพยากรไม่พอ นอกจากนี้ยังมีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากที่ต้องกักตัว ทำงานไม่ได้ เพราะผู้ป่วยที่มาหาหมอ ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง จนต้องปิดโรงพยาบาลทั้งโรงพยาบาลไปแล้วก็มี ไม่เช่นนั้น หมอ พยาบาล จะกลายเป็น super spreader ไปเสียเองด้วย

ที่น่าตกใจคือจำนวนเตียงผู้ป่วย (รวมทั้งปกติและผู้ป่วยหนัก) ของไทยต่อประชากรพันคนอยู่อันดับค่อนข้างท้าย ๆ ของโลก ทำให้น่าหวั่นวิตกว่าหากเกิดการระบาดหนักหรือเกิด herd immunization จริง ๆ ระบบสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จะทำงานกันไหวหรือไม่ จะรองรับได้แค่ไหน


ทางเลือกที่สามนั้น สามารถทำให้ตายน้อยลงได้ ตราบใดที่ยังพยายามลากยาว ดึงโค้งจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง (Flattening the curve) ทำให้โค้งจำนวนผู้ติดเชื้อแบนลงให้ได้มากที่สุด

ทางเลือกในการทำให้โค้งผู้ติดเชื้อแบนลง ทำได้หลายวิธี การไม่ทำอะไรเลยคือปล่อยให้เกิด herd immunization อย่างเต็มที่ โค้งผู้ติดเชื้อจะชันสุดและมีคนตายมากที่สุด เพราะโรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขรองรับไม่ไหว

วิธีเบาสุด คือ แยกตัวผู้ติดเชื้อ (Case isolation) โค้งจะยังสูง แต่ไม่เท่าไม่ทำอะไรเลย

วิธีถัดมาคือ แยกตัวผู้ติดเชื้อและกักตัวครัวเรือนผู้ติดเชื้อทั้งครัวเรือน (Case isolation and household quarantine) วิธีนี้จะทำให้โค้งแบนลงแต่ฐานจะแผ่ออกไป อีกนิด เพราะเมื่อกดโค้งให้แบน ก็ต้องขยายออกไปด้านข้างยาวนานขึ้น

วิธีถัดมา คือ ปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัย โค้งจะแบนลงมาอีก และแผ่ยาวออกไปอีก ไทยเราอยู่ตรงนี้อยู่ครับ

วิธีหนักหน่อย คือ แยกตัวผู้ติดเชื้อ กักตัวทุกคนที่บ้าน ให้ทุกคนทำงานที่บ้านทั้งหมด และให้เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด จะทำให้โค้งแบนสุด แต่ยาวออกไป ส่วนเส้นแนวนอนที่แบนขนานกับแกนนอนในรูปนั้นคือจำนวนเตียงไอซียูต่อประชากรแสนคนของอังกฤษซึ่งมีค่าเท่ากับ 6 เตียง

ผลการจำลอง (Simulation) นี้ทำวิจัยโดยคณาจารย์จาก Imperial college มหาวิทยาลัยลอนดอน สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://www.imperial.ac.uk/media/imperial-college/medicine/sph/ide/gida-fellowships/Imperial-College-COVID19-NPI-modelling-16-03-2020.pdf




ผลจากการจำลองของอังกฤษนั้นน่าสะพรึงมาก หากเกิดการระบาดหนัก แล้วจริง ๆ ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะระบบสาธารณสุขของอังกฤษ NHS นั้นเป็น socialist และประชานิยมอย่างหนักเกินไป สปสช. หรือบัตรทองสามสิบบาทรักษาทุกโรคของไทยก็ไปลอกต้นแบบอันห่วยแสนห่วยนี้มา เคราะห์ดีที่รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยไม่บ้าพอที่จะคุมกำเนิดห้ามมีโรงพยาบาลเอกชนเลยแบบอังกฤษ อังกฤษห้ามมีโรงพยาบาลเอกชน ห้ามเอาโรงพยาบาลเอกชนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไทยเราจึงมีจำนวนเตียงผู้ป่วยไอซียูต่อประชากรแสนคนมากกว่าอังกฤษ

การทำ social distancing นี้ ทำให้โค้งผู้ติดเชื้อแบน แต่ลากยาวออกไป เคสที่ทำแล้วสั้นสุดคือจีนก็ประมาณ 3-4 เดือน แต่เกิด herd immunization ไปก่อนแล้วจึงทำการเว้นระยะห่างทางสังคม

แต่กระนั้นการตายก็พุ่งหลังการระบาดใหญ่ในช่วงตรุษจีนที่มีการเดินทางมากเหลือเกิน และจีนเองก็เริ่มระวังไม่ให้เกิดการกลับมาระบาดซ้ำอีก จีนเองยังไม่ได้เปิดประเทศมากนัก เพราะกลัวเกิด second outbreak ส่วนที่จีนเริ่มคุมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ดีนั้น เป็นเพราะเกิด herd immunization ไปเกือบทั่วประเทศจีนแล้วนั่นเอง

เรื่องลากออกไปยาวแน่ ๆ นี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต ได้โพสต์แสดงความเห็นไว้บน Facebook ดังนี้


หากจะทำให้โค้งแบน (Flattening the curve) เพื่อให้คนตายไม่มากจนเกินไป นี่คือมหาสงครามโลกครั้งที่สาม ที่ทั่วโลกกำลังต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ผมคิดว่าเราจะต้อง lock down กันแบบนี้ทั่วโลกไปยาว ๆ อย่างน้อย 6-8 เดือน หากไม่ social distancing หรือ isolation เมื่อไหร่ ที่พยายาม flattening the curve ก็จะปูดขึ้นมา เกิด second outbreak แล้วกลายเป็น herd immunization อยู่ดี

นี่คือการพิสูจน์ความอดทนของคนไทย ประเทศไทย นี่คือการวิ่งมาราธอนที่ยาวนานหลายเดือน หรืออาจจะถึงหนึ่งปี หรือยาวนานกว่านั้น หาใช่การวิ่งแข่งระยะสั้นไม่ ซึ่งคนไทยต้องร่วมใจกันต้านภัยโควิดและดึงโค้งจำนวนผู้เสียชีวิตลงไม่ให้เกิดการสูญเสียมหาศาล เราต้องตระหนักว่าเรามีทรัพยากรและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขไม่เพียงพอสำหรับมหาโรคระบาดจริงๆ เราทุกคนจึงต้องร่วมใจกันและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนใครทั้งหมด

อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ขอให้ทุกคนแคล้วคลาดปลอดภัย




กำลังโหลดความคิดเห็น