**ถ้าพิจารณาในด้านจิตวิทยาสังคมประกอบแล้ว ก็ต้องถือว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หรือที่เรียกว่า “แอมเนสตี้ ประเทศไทย”หน่วยงานองค์กรเอกชนที่เคลื่อนไหวในด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ ก็ต้องถือว่าหน่วยงานนี้ “สอบตก”ในแบบที่ไม่สมควรให้อภัย เพราะไม่รู้จักจังหวะจะโคน ไม่รู้จักเวล่ำเวลา หรือถ้าเรียกแบบบ้านๆ ก็คือ “ไม่รู้เหนือรู้ใต้” นี่ว่ากันแบบสุภาพ เพราะยังมีคำที่แรงกว่านี้อีก เพราะการที่ออกมาแถลงแสดงท่าที เตือนหรือเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ให้จำกัดสิทธิเสรีภาพ ในการเคลื่อนไหว และจำกัดเสรีภาพทางด้านข้อมูลข่าวสาร ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19”
อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะต้องแถลงท่าทีออกมาเหมือนกับว่าต้องการแสดงผลงานให้เห็นหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้มีผลบังคับไปทั่วประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนว่า ร้อยทั้งร้อยก็ย่อมเป็นการลิดรอน ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง โดยเฉพาะในช่วงการ “แพร่ระบาด”ของเชื้อไวรัส ที่มีจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งจะหากไม่มีมาตรการควบคุมที่ดีพอ จะทำให้มียอดผู้ป่วยจากการติดเชื้อดังกล่าวมากขึ้นเป็นทวีคูณ อาจเพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่น หลักแสนได้ภายในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า หรือยอดผู้เสียชีวิต จะเพิ่มขึ้นแตะหลักร้อยหลักพันเหมือนกับหลายประเทศในโลกนี้
**โดยเฉพาะประเทศในแถบ ยุโรป และอเมริกา ในเวลานี้ที่กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรคแหล่งใหม่ มียอดผู้ติดเชื้อแต่ละประเทศนับหมื่น บางประเทศกำลังแตะหลักแสนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้น ไม่อยากจะกล่าวถึงให้สลดหดหู่ เพราะ “ตายกันแบบใบไม้ร่วง”รวมแล้วสองสามหมื่นคนเข้าไปแล้ว ขณะที่สหรัฐอเมริกา เวลานี้มียอดผู้ติดเชื้อกว่าแสนสี่หมื่นคนเข้าไปแล้ว อีกไม่นานก็คาดว่าตัวเลขจะแตะ “สองแสนคน”ในไม่ช้า และผู้เสียชีวิตกำลังแตะยอดสามพันคนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
แน่นอนว่า เรื่อง “สิทธิเสรีภาพ”เชื่อว่าแทบทุกคนย่อมถวิลหา แต่มันก็ต้องพิจารณากันถึงกาลเทศะ มีจังหวะพิจารณาตามสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นมันเหมือนกับ “แอมเนสตี้”อะไรนี่แหละ เพราะเมื่อมีการรายงานท่าทีขององค์กรดังกล่าวต่อรัฐบาลไทย และมีการเผยแพร่ใน mgr online ไม่นานนัก เมื่อเข้าไปสำรวจความเห็น ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย มีแต่ “เสียงก่นด่า”ถึงกว่าร้อยละ 99.99 เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดีสำหรับ “แอมเนสตี้”ดังกล่าวไม่ใช่เป็นหน่วยงานแรกที่โดนถล่มในแบบ“ทัวร์ลง”อย่างที่เห็น เพราะก่อนหน้านี้ก็มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับเพื่อนๆในกลุ่มสองสามคน และถัดมาไม่นาน ก็มีแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ที่เป็นเครือข่ายของเขาที่ออกแถลงการณ์ในแบบเดียวกันนี้ ในแบบที่ “เชิดชูเสรีภาพ” แบบผิดที่ผิดเวลาแบบนี้แหละ ก็ถูกสังคมถล่มจนเละ ต้องเงียบเสียงมาจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าสำหรับเรื่อง สิทธิเสรีภาพ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการ และหวงแหน แต่บางสถานการณ์มันก็ต้องแยกแยะ และพิจารณาตามความเหมาะสม ไม่ใช่ทุกเรื่องต้องมีเสรีภาพอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่มีเสียงเปรียบเปรยแบบเหยียดหยามทำนองว่า “บ้าคลั่งเสรีภาพจนขึ้นสมอง”
**ในทางตรงกันข้าม ในสถานการณ์ที่วิกฤตเช่นนี้ การออกพระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน หลายคนยังตำหนิด้วยซ้ำไปว่า “ช้าไป”เสียอีก หรือ “เข้มงวดน้อยไป”เพราะการแพร่ระบาดเริ่มลุกลามไปทั่วแล้ว หลายคนเคยเรียกร้องถึงขั้นให้ “ปิดเมือง”อย่างสิ้นเชิง เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศจีนมาแล้ว
ขณะเดียวกัน สิ่งที่แทบไม่เคยได้เห็นก็คือเวลานี้ในประเทศแถบยุโปรและอเมริกา กำลังมีคำสั่งที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นการ “จำกัดเสรีภาพ”ของประชาชนในแถบที่เรียกว่า “จ้าวแห่งเสรีภาพ”นั่นแหละ แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อความเข้มงวดใช้ไม่ค่อยได้ผล มันก็ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเป็นรายวัน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศอิตาลี ที่บรรดานายกเทศมนตรีในบางเมืองออก “ด่า” ประชาชนของตัวเองอย่างรุนแรง ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
**นี่คือตัวอย่างของบางคน หรือบางองค์กร ที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าสิ่งไหนควรแสดงออกแบบไหน เหมือนกับที่ “แอมเนสตี้”องค์กรอะไรนั่นกำลังโดนสังคมรุมด่าเละเทะอยู่ในเวลานี้ เพราะการเรียกร้องเสรีภาพ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่หรอก แต่ต้องพิจารณาบรรยากาศประกอบด้วยว่าสังคมกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน !!
อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะต้องแถลงท่าทีออกมาเหมือนกับว่าต้องการแสดงผลงานให้เห็นหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้มีผลบังคับไปทั่วประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนว่า ร้อยทั้งร้อยก็ย่อมเป็นการลิดรอน ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง โดยเฉพาะในช่วงการ “แพร่ระบาด”ของเชื้อไวรัส ที่มีจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งจะหากไม่มีมาตรการควบคุมที่ดีพอ จะทำให้มียอดผู้ป่วยจากการติดเชื้อดังกล่าวมากขึ้นเป็นทวีคูณ อาจเพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่น หลักแสนได้ภายในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า หรือยอดผู้เสียชีวิต จะเพิ่มขึ้นแตะหลักร้อยหลักพันเหมือนกับหลายประเทศในโลกนี้
**โดยเฉพาะประเทศในแถบ ยุโรป และอเมริกา ในเวลานี้ที่กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรคแหล่งใหม่ มียอดผู้ติดเชื้อแต่ละประเทศนับหมื่น บางประเทศกำลังแตะหลักแสนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้น ไม่อยากจะกล่าวถึงให้สลดหดหู่ เพราะ “ตายกันแบบใบไม้ร่วง”รวมแล้วสองสามหมื่นคนเข้าไปแล้ว ขณะที่สหรัฐอเมริกา เวลานี้มียอดผู้ติดเชื้อกว่าแสนสี่หมื่นคนเข้าไปแล้ว อีกไม่นานก็คาดว่าตัวเลขจะแตะ “สองแสนคน”ในไม่ช้า และผู้เสียชีวิตกำลังแตะยอดสามพันคนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
แน่นอนว่า เรื่อง “สิทธิเสรีภาพ”เชื่อว่าแทบทุกคนย่อมถวิลหา แต่มันก็ต้องพิจารณากันถึงกาลเทศะ มีจังหวะพิจารณาตามสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นมันเหมือนกับ “แอมเนสตี้”อะไรนี่แหละ เพราะเมื่อมีการรายงานท่าทีขององค์กรดังกล่าวต่อรัฐบาลไทย และมีการเผยแพร่ใน mgr online ไม่นานนัก เมื่อเข้าไปสำรวจความเห็น ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย มีแต่ “เสียงก่นด่า”ถึงกว่าร้อยละ 99.99 เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดีสำหรับ “แอมเนสตี้”ดังกล่าวไม่ใช่เป็นหน่วยงานแรกที่โดนถล่มในแบบ“ทัวร์ลง”อย่างที่เห็น เพราะก่อนหน้านี้ก็มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับเพื่อนๆในกลุ่มสองสามคน และถัดมาไม่นาน ก็มีแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ที่เป็นเครือข่ายของเขาที่ออกแถลงการณ์ในแบบเดียวกันนี้ ในแบบที่ “เชิดชูเสรีภาพ” แบบผิดที่ผิดเวลาแบบนี้แหละ ก็ถูกสังคมถล่มจนเละ ต้องเงียบเสียงมาจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าสำหรับเรื่อง สิทธิเสรีภาพ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการ และหวงแหน แต่บางสถานการณ์มันก็ต้องแยกแยะ และพิจารณาตามความเหมาะสม ไม่ใช่ทุกเรื่องต้องมีเสรีภาพอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่มีเสียงเปรียบเปรยแบบเหยียดหยามทำนองว่า “บ้าคลั่งเสรีภาพจนขึ้นสมอง”
**ในทางตรงกันข้าม ในสถานการณ์ที่วิกฤตเช่นนี้ การออกพระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน หลายคนยังตำหนิด้วยซ้ำไปว่า “ช้าไป”เสียอีก หรือ “เข้มงวดน้อยไป”เพราะการแพร่ระบาดเริ่มลุกลามไปทั่วแล้ว หลายคนเคยเรียกร้องถึงขั้นให้ “ปิดเมือง”อย่างสิ้นเชิง เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศจีนมาแล้ว
ขณะเดียวกัน สิ่งที่แทบไม่เคยได้เห็นก็คือเวลานี้ในประเทศแถบยุโปรและอเมริกา กำลังมีคำสั่งที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นการ “จำกัดเสรีภาพ”ของประชาชนในแถบที่เรียกว่า “จ้าวแห่งเสรีภาพ”นั่นแหละ แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อความเข้มงวดใช้ไม่ค่อยได้ผล มันก็ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเป็นรายวัน เหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศอิตาลี ที่บรรดานายกเทศมนตรีในบางเมืองออก “ด่า” ประชาชนของตัวเองอย่างรุนแรง ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
**นี่คือตัวอย่างของบางคน หรือบางองค์กร ที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าสิ่งไหนควรแสดงออกแบบไหน เหมือนกับที่ “แอมเนสตี้”องค์กรอะไรนั่นกำลังโดนสังคมรุมด่าเละเทะอยู่ในเวลานี้ เพราะการเรียกร้องเสรีภาพ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอยู่หรอก แต่ต้องพิจารณาบรรยากาศประกอบด้วยว่าสังคมกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน !!