xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง ‘วิกฤตจะซ้ำเติมวิกฤต’

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์



การระบาดไวรัสโควิด-19 ในบ้านเรามีตัวเลขเพิ่มทั้งผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ยังไม่มีวี่แววว่าจะทำให้หยุดได้ รัฐบาลได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่มาตรการเสริมไม่เข้มข้นเหมือนในประเทศอื่นๆ เป็นเพราะสาเหตุอะไร เกรงใจใครนั้น ยากที่จะคาดเดาได้

ถ้าจะให้สุ่มแบบไร้หลักฐาน แต่สังเกตแนวพฤติกรรมที่เป็นมา ทำให้คนติดตามสถานการณ์การเมืองพอจะรู้เป็นนัยๆ ว่ามีใครทรงอิทธิพลด้านความคิดต่อกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐมาผลประโยชน์แฝงเร้น ชนิดที่ว่าตบตาอย่างไรก็ไม่สนิท

ยิ่งระยะหลังๆ ทำอะไรโดยไม่ต้องอาย หรือซ่อนเร้น ใครซักฟอกเค้นเอาความจริงอย่างไรก็ใช้ความด้านทนรับสภาพ ทำให้คนหมดอยาก คนรู้ทันก็สิ้นหวังที่จะให้อะไรมาช่วยพลิกสถานการณ์ให้บ้านเมืองพ้นจากความวิกฤตถึงขั้นเสี่ยงหายนะได้

เมื่อมาตรการจัดการไวรัสโควิด-19 เป็นแบบลักปิดลักเปิด เงื้อง่าราคาต่ำ ไม่เปิดเผยปัญหาแท้จริง ทำให้ตัวเลขเริ่มขยับไม่หยุด คนเริ่มซัก เพราะเห็นความผิดปกติที่ไม่มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อให้แพทย์ให้มีเวชภัณฑ์และอุปกรณ์เพียงพอ

มีเสียงถามจากหลายฝ่ายว่ามีอะไรติดขัดหรืออย่างไร เพราะแพทย์จากหลายโรงพยาบาลยังต้องตากหน้าขอบริจาคจากประชาชน รัฐบาลก็มีงบกลางมากกว่า 5 แสนล้าน กั๊กไว้ทำไม หรือมีอะไรผูกมัดงบไว้ ไม่เอามาจ่าย เพราะเป็นวิกฤตสาหัส

สาหัสอย่างไร มาฟังนายแพทย์ซึ่งสรุปให้ย่อๆ ตามการโปรยหัวข่าวดังนี้

“หมอมนูญ” เผยแม้ยังไม่มีหลักฐานเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ แต่สถิติผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในอิตาลีที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นความแรงของเชื้อ เปรียบเหมือนมวยแชมป์โลก ส่วนเชื้อในจีน-เอเชียเหมือนมวยสมัครเล่น ขณะที่ยอดผู้ป่วยในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเซียนมวยติดเชื้อกลับมาจากอิตาลี เชื้ออนาคตอันใกล้ตัวเลขทั้งคนป่วยและเสียชีวิตในไทยจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว...

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ว่า ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อิตาลีมีความดุร้ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่ระบาดในจีนและเอเชีย” – เว็บผู้จัดการ

รู้กันก่อนหน้านี้แล้วว่าเชื้ออิตาลีอันตราย แพร่กระจายจากสนามมวยที่ถูกมองว่าเป็นขุมอเวจี แต่มาตรการและการจัดซื้อจัดหาเวชภัณฑ์ไม่มา ก็เพิ่งรู้ว่า “ท่านฉุกเฉิน” ยอมรับสารภาพต่อหน้าผู้สื่อข่าวว่างบกลางนั้นเหลือไม่มากแล้ว

คนได้ยินก็ตบอกผาง! อะไรกัน งบประมาณปี 2563 เพิ่งผ่านเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง และเพิ่งเดือนกว่า งบกลาง 5.7 แสนล้านบาท เอาไปทำอะไรจนแทบเกลี้ยง

เมื่อเอาตัวเลขมาโชว์ พุธโธ ธัมโม งบนั้นดันมีงบซึ่งควรเป็นงบรายจ่ายประจำ เช่นบำเหน็จบำนาญ และอะไรต่ออะไรสำหรับข้าราชการ และคนภาครัฐ เป็นก้อนใหญ่กว่า 2.5 แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว รวมอื่นๆ อีกเหลืองบฉุกเฉิน 9.3 หมื่นล้าน

แต่ก็นั่นแหละ งบฉุกเฉินเกือบ 1 แสนล้านบาท เอาไปทำอะไรหรือ ทำไมถึงมีคำอธิบายว่าเอาไปให้กระทรวงสาธารณสุข 5 พันล้านบาท และจ่ายไปให้หมดหรือยัง และเงินแค่นั้น กับความจำเป็นต้องใช้น่าจะเข้าขั้นหลายหมื่นล้าน จะทำอย่างไร

คงเป็นเพราะเหตุนี้ ถึงไม่มีงบเพียงพอ แพทย์ก็ร้องโอดครวญ เพราะปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ชุดกาวน์ เครื่องช่วยหายใจ น้ำยาฆ่าเชื้อและตรวจเชื้อต่างๆ ก็เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งยุโรปและสหรัฐฯ จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่

ยิ่งมีเสียงซุบซิบดังสนั่นเมืองว่ามีประเด็น “เกาเหลาชามใหญ่” ระหว่าง “เสี่ยหนู” กับผู้ฉุกเฉินด้วยแล้ว ทำให้อะไรต่างๆ ไม่ราบรื่น แพทย์ที่สู้รบกับเชื้อโรคได้เห็นแล้วได้แต่ปลง เห็นลางหายนะรออยู่ข้างหน้าขณะที่การระบาดไปเกือบทั่วประเทศ

เวชภัณฑ์ทั้งหลายที่ว่านั้น แม้มีเงินก็หาซื้อได้ไม่ง่าย แต่ละประเทศไม่มีกำลังผลิตเพียงพอ บางประเทศไม่ยอมให้ส่งออกจนกว่าจะมีเพียงพอ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะทั้งโลกไม่ได้เตรียมพร้อม และไม่คาดคิดว่าการระบาดเช่นนี้จะเกิดขึ้น

นั่นยกเว้นจีน ประเทศซึ่งเคยประสบการระบาดของไข้หวัดนก ซาร์ส และเมอร์ส รวมทั้งไข้หวัดใหญ่ การมีประชากรมากถึง 1.3 ล้านคนทำให้ต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับภาวะเช่นนี้ และก็ได้เกิดขึ้นจริง สหรัฐฯ และยุโรปจึงต้องเผชิญกับวิกฤตขาดแคลน

ในบ้านเรา การขาดงบประมาณหลังจากผ่านงบจึงเป็นประเด็นที่คนทำใจยาก ในความเป็นจริง รัฐบาลใช้งบไปก่อนรอการอนุมัติจากสภาฯ และใช้รูปแบบของงบในปีที่ผ่านมา แต่คำถามยังคาใจอยู่ว่างบฉุกเฉินนั้นได้ถูกผันไว้เพื่องานอื่นๆ หรือไม่

และยังต้องตอบคำถามว่า เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีงบ 2563 ทำไมไม่ตัดงบจากกระทรวงอื่นๆ รายจ่ายสำหรับการดูงาน สัมมนา รับรอง เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละกระทรวงก็พอสำหรับซื้อสิ่งของจำเป็นในการสู้ศึกครั้งนี้

รัฐบาลยังมีงบแจกเงิน 2 พันบาทให้ผู้ได้รับผลกระทบ แต่กลับหาเงินไม่พอสำหรับเวชภัณฑ์ ถ้าเอาไม่อยู่ การระบาดไปทั่วประเทศ มีคนตายเป็นเบือ จะใช้งบแค่ไหนมาฟื้นฟูประเทศก็ไม่มีทางเป็นไปได้ และจะมีวิกฤตเชื่อมั่นศรัทธาในรัฐบาลด้วย

วิกฤตความเชื่อมั่นได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อคนแห่ไปถอนเงินจาก 4 กองทุนของธนาคารทหารไทย มียอดรวมประมาณ 3 แสนล้าน เมื่อไม่สามารถดำรงสภาพคล่องได้ก็ต้องปิด และจะต้องรอดูว่าโรควิกฤตศรัทธาจะลามไปยังกิจการอื่นๆ หรือไม่

ความล้มเหลวในการจัดการวิกฤตไวรัสโควิด-19 ถ้าไม่แก้ไขด้วยสติปัญญา ความเข้มแข็ง กล้าหาญทันการ จะนำไปสู่ความเสี่ยงของวิกฤตร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่
กำลังโหลดความคิดเห็น