ข่าวปนคน คนปนข่าว
**โควิดอีเดียท ชั่วโมงนี้น่ารังเกียจกว่าไวรัส ยอดคนติดเชื้อทะลุพัน งานเข้าตจว. สถานการณ์อ่อนไหว "ลุงตู่-หมอหนู" สติต้องไม่หลุด
เมื่อ พ.ร.ก.ฉุนเฉินบังคับใช้ การจัดระเบียบสังคมเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดูจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
กระแสตื่นตัว "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" หรือ ทำงานจากบ้าน work from home ก็ดี ของคนกทม. แม้ว่าหากจะดูตัวเลขการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อจะยังสูง ล่าสุดรวมๆ แล้วมะลุ 1,000 รายแล้ว แต่ในความเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด ทั้งสนามมวย และ สถานบันเทิง ก็ดูจะลดลง
ในผู้ป่วยเพิ่ม 111 ราย แจกแจงออกมา พบเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ทั่ง กลุ่มสนามมวย กลุ่มสถานบันเทิง กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว และ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ /ชาวต่างชาติ กลุ่มผู้ทำงานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ และ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
สรุป มาถึงวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 88 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 953 ราย เสียชีวิต 4 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 1,045 ราย
มาตรการต่างๆ ที่กำลังดำเนินการภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่น การตั้งด่านสกัด การคัดกรองเข้มข้น ถือว่ามาถูกทาง น่าปวดตับ ปวดเศียรเวียนเกล้ากันหน่อยก็ตรง พวกดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รับผิดชอบสังคม หรือพวก "โควิดอีเอียด"
คนพวกนี้ มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าเชื้อไวรัสเสียอีก... ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นทุกวัน ห้ามแล้วก็ยังทำ มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังฉุดไม่อยู่ ยังฝืนสังสรรค์ ยังไม่แยกตัว เอาเชื้อไปติดญาติพี่น้องตามต่างจังหวัด สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ตืดเชื้อแล้วรักษา ก็ยัง "หลบหนีออกมาจากโรงพยาบาล" จะเดินทางกลับบ้าน
สถานการณ์ตึงเครียดอ่อนไหวแบบนี้ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ต้องคุมเกมให้อยู่ ใน กทม.อาจจะคุมง่ายขึ้นแล้ว ต่างจังหวัดน่าเป็นห่วงมากกว่าแล้วในตอนนี้ จะต้อง "ลงดาบ" กำราบพวก"โควิดอีเอียด" ให้ไม่ไปก่อความเดือดร้อน แพร่เชื้อให้ผู่อื่นก็ต้องจัดการเด็ดขาด
การบูรณาการกันระหว่างหน่วยงานราชการ ฝ่ายความมั่นคง ประชาชนต้องร่วมด้วยช่วยกันจึงจะรบชนะ หาก" ลุงตู่" คุมเกม คุมสติให้ได้สถานการณ์ความสงบก็จะจบที่ลุงตูอีกครั้ง
ขอย้ำว่า จะหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสได้ต้องหยุดพวกโควิทอีเดียดให้อยู่ !!
แว่วว่า "โควิดอีเดียท" ไม่ได้มีแต่พวกเจ้าใหญ่นายโต เซเลป ที่ถืออภิสิทธิ์ วัยรุ่นไม่มีจิตสำนึก แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ มีตำแหน่งหน้าที่การงานในระดับ "ผอ."โรงพยาบาล ที่มีชือเสียงของกระทรวงสาธารณสุข ก็ยังไม่รู้รับผิดชอบตัวเอง ไปงานเลี้ยงสังสรรค์จนติดเชื้อมาแพร่ให้เจ้าหน้าที่ร่วมโรงพยาบาล จนกลายเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นไปได้กับบุคคลระดับนี้...
นี่อาจเป็นเหตุผลลึกๆ ที่“หมอหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า "การติดเชิ้อของแพทย์จากการปฏิบัติหน้าที่ให้การรักษาโควิด ยังไม่มี" แต่มีบางคนที่ติดเชื้อด้วยความประมาท จนต้องกักตัวผู้ร่วมงาน เจ้าหน้าที่ไปหลายคน ขาดกำลังที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย
พอได้รับรายงานแล้วถูกซักถึง มาตรการจะป้องกัน ลดความเสี่ยงให้บุคคลากรทางการแพทย์อย่างไรที่ถึงวันนี พบว่าติดเชื้อติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มกว่า 9 รายแล้ว "หมอหนู" จึงสื่อสารแบบรู้อยู่คนเดียว ออกอาการสติหลุด จนตีความได้ไปอีกแบบ เป็นประเด็นทางสังคมโซเชียลฯ รุมถล่มจนต้องมาขอภัย ขอโอกาสปรับปรุงตัวในการสื่อสารที่มีปัญหา
ความกดดันจากการทำงาน ผสมความเครียด ของผู้ที่ต้องรับผิดชอบ วิกฤตแบบนี้เป็นที่เข้าใจได้ นึกๆ ก็น่าเห็นใจจะพูดเปิดเผย หมดเปลือกตามรายงานที่ได้รับก็ยาก เลยออกมาเป็นคำพูดสื่อสารแบบกำกวม "มัวแต่ไประวังของนอกบ้าน ของในบ้านบางทีก็ยังหละหลวมอยู่"
เมื่อ"หมอหนู" ออกมารับผิด สื่อสารไม่ดีแบบแมนๆ ก็ต้องให้กำลังใจกัน
ยามนี้ นักรบเสื้อกาวน์ หมอพยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ คือ คนทำงานหนักมาก และเสี่ยงชีวิต ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ตระหนักร่วมด้วยช่วยกัน
วันนี้ให้กำลังใจให้กันและกัน เป็นภูมิคุ้มกันที่จะช่วยให้รอดพ้นวิกฤตนี้ออกไปได่ด้วยกัน
** ตั้งกรรมการสอบ "สนามมวยลุมพินี" ฝ่าฝืนคำสั่งนายกฯ ปล่อยให้จัดรายการมวยศึกใหญ่ จนกลายเป็นต้นเหตุการแพร่เชื้อโควิด-19 ทำชาติวิกฤต ...เรื่องนี้"บิ๊กแดง" ต้องไปให้สุด เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าอำนาจผบ.ทบ. ยัง "เอาอยู่หรือไม่" กับอำนาจ อิทธิพล ผลประโยชน์ ในกองทัพบก
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "โควิด-19" ที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดพราดอย่างน่าตกใจ จนถึงวันนี้ได้ทะลุหลักพันคนไปแล้วนั้น สังคมต่างมองไปที่ "สนามมวยลุมพินี" ที่ต้องตกเป็นจำเลย เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงในแต่ละวันที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณนั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสนามมวยแห่งนี้ ... เริ่มตั้งแต่ "พล.ต.ราชิต อรุณรังษี" เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ที่เป็นนายสนามมวยลุมพินี พิธีกร นักมวย เทรนเนอร์ ผู้ติดตามคณะนักมวย รวมไปถึงเซียนมวยที่มาจากทุกสารทิศ ที่รับบทเป็น "Super Spreader"นำพาเชื้อไปแพร่อย่างรวดเร็ว ทั้งในกรุง และต่างจังหวัด จนทำให้ประเทศต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤต อย่างทุกวันนี้ ...
ย้อนไทม์ไลน์ไปเมื่อวันที่ 3 มี.ค.63 ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ตามมติครม.ในวันนั้น ขอความร่วมมือ งดจัดการแข่งขันกีฬาที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ...แน่นอนว่า "สนามมวย"ย่อมอยู่ในเกณฑ์สุ่มเสี่ยง เพราะเป็นสถานที่ปิด มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และมีการส่งเสียงเชียร์อยู่ตลอดเวลา
แต่วันที่ 6 มี.ค.63 สนามมวยลุมพินี ก็ยังคงจัดรายการมวยศึกใหญ่ "ลุมพินีแชมป์เปี้ยนเกียรติเพชร" มีบรรดาผู้เกี่ยวข้อง และเซียนมวยแห่เข้าชมแน่นขนัด ว่ากันว่าประมาณหมื่นคน ...หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน ก็มีข่าวว่า "พล.ต.ราชิต อรุณรังษี" ในฐานะนายสนามมวย ที่ร่วมเป็นประธานสักขีพยาน ก็มีอาการติดเชื้อโควิด-19 แล้วกองบัญชาการกองทัพบก ก็ออกมาแถลงข่าวยอมรับว่า "พล.ต.ราชิต" ติดเชื้อจริง ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า พร้อมกัก ตัวทหารใกล้ชิด ทั้งในที่ทำงาน และบ้านพักอีก กว่า 30 คน ซึ่งเป็นทหารทั้งหมด... และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศออกมา ส่วนใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายการมวยศึกใหญ่ในวันนั้น
ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ในเชิงตั้งคำถามว่า ในเมื่อนายกฯ ออกมาประกาศขอความร่วมมือให้ งดจัดกิจกรรมที่รวมคนหมู่มาก การจัดการแข่งขันกีฬาต่างๆ แล้วทำไม “สนามมวยลุมพินี” ซึ่งเป็นของกองทัพบก จึงไม่รับไปปฏิบัติ หรือเป้นเพราะยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ รายได้ ... ยังตั้งคำถามไปถึง การกีฬาแห่งประเทศไทย ว่าทำไมไม่ดำเนินการสั่งการให้งดจัดการแข่งขัน ...
ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับคำชี้แจงจาก "นายวิบูณ จำปาเงิน" ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย ว่า เมื่อนายกฯมี คำสั่งการมาในวันที่ 3 มี.ค. 63 ทางสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยฯ ก็ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง นายสนามมวยลุมพินี ในวันที่ 4 มี.ค.63 ขอความร่วมมือผู้ประกอบการสนามมวย นายสนามมวย พิจารณาให้ความร่วมมือ ตามคำสั่งของนายกฯ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ...
ทว่านายสนามมวยลุมพินี กลับยังปล่อยให้โปรโมเตอร์มวย จัดชกมวยกันตามโปรแกรมเดิม มิได้สั่งระงับตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามมติ ครม.แต่อย่างใด
"นายวิบูณ จำปาเงิน" อธิบายว่า ที่ทำหนังสือ ขอความร่วมมือ โดยไม่ได้มีหนังสือสั่งปิด เพราะทาง กกท. มีอำนาจในการดำเนินการเฉพาะสนามมวยที่มีการจัดการแข่งขันทั่วไป แต่ "สนามมวยมาตรฐาน" กกท. ไม่มีอำนาจในการที่จะไปสั่งปิดได้... และเรื่องนี้ก็ไม่อยากให้โทษว่าใครเป็นคนผิด แต่อยากให้ช่วยเหลือกัน เพราะสนามมวยเองก็มีปัญหา นักมวยเองก็สูญเสียรายได้ ...
ฟังคำชี้แจงจากทาง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท. แล้วก็เข้าใจได้ว่า ข้าราชการตัวเล็กๆ คงไม่มีอำนาจ บารมี พอที่จะไป คัด ง้าง กับผู้มีอำนาจ บารมี และผลประโยชน์มหาศาลในวงการมวย... ขณะที่ทางกองทัพบก ซึ่งเป็น "เจ้าของ" เวทีมวยลุมพินี ก็ดูเหมือนจะปล่อยเลยตามเลย หวังจะให้เรื่องเงียบหายไปเอง
แต่ "นักร้อง" อย่าง "ศรีสุวรรณ จรรยา" และ "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" ไม่ยอมปล่อยผ่าน... จึงนำเรื่องไปร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ให้ตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิด "นายสนามมวยลุมพินี" เพื่อพิสูจน์ให้สังคมประจักษ์ว่า มติ และข้อสั่งการของนายกฯ และ ครม. ยังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่ หรือเอาผิดได้แต่เฉพาะประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น ส่วนนายทหาร ไม่กล้าแตะหรือไม่...
เมื่อเจอทั้งกระแสสังคมรุกหนัก และยังมีผู้ทำเรื่องร้องเรียนถึงนายกฯ เช่นนี้ ... "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ก็เริ่มก้นร้อน จึงสั่งการไปเมื่อวานนี้ (26มี.ค.) ให้ "พล.อ.อยุทธ์ ศรีวิเศษ" เจ้ากรมกำลังพลทหารบก ตั้งคณะกรรมการสอบสวน เรื่องนี้เพื่อพิจารณาความผิดในการลงโทษ...
หากจะว่าไปแล้ว สนามมวยลุมพินี ได้ตกเป็น "จำเลยของสังคม" ว่าเป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อ จนทำให้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ อย่างมิอาจปฏิเสธได้ และต้นเหตุก็มาจากการไม่ให้ความร่วมมือในการที่จะป้องกัน สกัดกั้นการแพร่ระบาด ... แต่ทำไม "บิ๊กแดง" ไม่เข้ามาเทกแอ็กชั่น ตั้งกรรมการสอบสวนแต่เนิ่นๆ ... ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เกิดเหตุโศนาฏกรรมที่"ห้างเทอมินอล 21" โคราช "บิ๊กแดง" ยังประกาศว่าจะดำเนินการปฏิรูปกองทัพ จัดระเบียบกันใหม่ ขจัดเหลือบที่เกาะกินผลประโยชน์ จากสนามม้า สนามมวย ...
หรือว่าคำประกาศ คำสั่ง "บิ๊กแดง"ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอำนาจพอที่จะไปจัดการกับกลุ่มผลประโยชน์ในกองทัพ ผลประโยชน์ในวงการมวย ...จึงมีกรณี "สนามมวยลุมพินี" ขึ้นมาฟ้องต่อสายตาของสังคม
เรื่องตั้งกรรมการสอบ ครั้งนี้ แม้"บิ๊กแดง" จะมาช้า แต่ก็ยังดี ที่ยังมา...และหวังว่า การสอบสวนต้องเป็นจริงเป็นจัง ต้องไปให้สุด ...ให้ได้คนผิดมาลงโทษ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ทำเอาวิกฤตกันไปทั้งประเทศ ...และสังคมกำลังมองดูอยู่ว่า...อำนาจ อิทธิพล ผลประโยชน์ ในกองทัพบกนั้น "บิ๊กแดง" จะเอาอยู่หรือไม่ ผลสอบครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์ !!
รูป – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา— อนุทิน ชาญวีรกูล
--พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ – พล.ต.ราชิต อรุณรังษี"
**โควิดอีเดียท ชั่วโมงนี้น่ารังเกียจกว่าไวรัส ยอดคนติดเชื้อทะลุพัน งานเข้าตจว. สถานการณ์อ่อนไหว "ลุงตู่-หมอหนู" สติต้องไม่หลุด
เมื่อ พ.ร.ก.ฉุนเฉินบังคับใช้ การจัดระเบียบสังคมเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดูจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
กระแสตื่นตัว "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" หรือ ทำงานจากบ้าน work from home ก็ดี ของคนกทม. แม้ว่าหากจะดูตัวเลขการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อจะยังสูง ล่าสุดรวมๆ แล้วมะลุ 1,000 รายแล้ว แต่ในความเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด ทั้งสนามมวย และ สถานบันเทิง ก็ดูจะลดลง
ในผู้ป่วยเพิ่ม 111 ราย แจกแจงออกมา พบเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ทั่ง กลุ่มสนามมวย กลุ่มสถานบันเทิง กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว และ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ /ชาวต่างชาติ กลุ่มผู้ทำงานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ และ กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
สรุป มาถึงวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 88 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 953 ราย เสียชีวิต 4 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 1,045 ราย
มาตรการต่างๆ ที่กำลังดำเนินการภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่น การตั้งด่านสกัด การคัดกรองเข้มข้น ถือว่ามาถูกทาง น่าปวดตับ ปวดเศียรเวียนเกล้ากันหน่อยก็ตรง พวกดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รับผิดชอบสังคม หรือพวก "โควิดอีเอียด"
คนพวกนี้ มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าเชื้อไวรัสเสียอีก... ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นทุกวัน ห้ามแล้วก็ยังทำ มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังฉุดไม่อยู่ ยังฝืนสังสรรค์ ยังไม่แยกตัว เอาเชื้อไปติดญาติพี่น้องตามต่างจังหวัด สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ตืดเชื้อแล้วรักษา ก็ยัง "หลบหนีออกมาจากโรงพยาบาล" จะเดินทางกลับบ้าน
สถานการณ์ตึงเครียดอ่อนไหวแบบนี้ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ต้องคุมเกมให้อยู่ ใน กทม.อาจจะคุมง่ายขึ้นแล้ว ต่างจังหวัดน่าเป็นห่วงมากกว่าแล้วในตอนนี้ จะต้อง "ลงดาบ" กำราบพวก"โควิดอีเอียด" ให้ไม่ไปก่อความเดือดร้อน แพร่เชื้อให้ผู่อื่นก็ต้องจัดการเด็ดขาด
การบูรณาการกันระหว่างหน่วยงานราชการ ฝ่ายความมั่นคง ประชาชนต้องร่วมด้วยช่วยกันจึงจะรบชนะ หาก" ลุงตู่" คุมเกม คุมสติให้ได้สถานการณ์ความสงบก็จะจบที่ลุงตูอีกครั้ง
ขอย้ำว่า จะหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสได้ต้องหยุดพวกโควิทอีเดียดให้อยู่ !!
แว่วว่า "โควิดอีเดียท" ไม่ได้มีแต่พวกเจ้าใหญ่นายโต เซเลป ที่ถืออภิสิทธิ์ วัยรุ่นไม่มีจิตสำนึก แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ มีตำแหน่งหน้าที่การงานในระดับ "ผอ."โรงพยาบาล ที่มีชือเสียงของกระทรวงสาธารณสุข ก็ยังไม่รู้รับผิดชอบตัวเอง ไปงานเลี้ยงสังสรรค์จนติดเชื้อมาแพร่ให้เจ้าหน้าที่ร่วมโรงพยาบาล จนกลายเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นไปได้กับบุคคลระดับนี้...
นี่อาจเป็นเหตุผลลึกๆ ที่“หมอหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า "การติดเชิ้อของแพทย์จากการปฏิบัติหน้าที่ให้การรักษาโควิด ยังไม่มี" แต่มีบางคนที่ติดเชื้อด้วยความประมาท จนต้องกักตัวผู้ร่วมงาน เจ้าหน้าที่ไปหลายคน ขาดกำลังที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย
พอได้รับรายงานแล้วถูกซักถึง มาตรการจะป้องกัน ลดความเสี่ยงให้บุคคลากรทางการแพทย์อย่างไรที่ถึงวันนี พบว่าติดเชื้อติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มกว่า 9 รายแล้ว "หมอหนู" จึงสื่อสารแบบรู้อยู่คนเดียว ออกอาการสติหลุด จนตีความได้ไปอีกแบบ เป็นประเด็นทางสังคมโซเชียลฯ รุมถล่มจนต้องมาขอภัย ขอโอกาสปรับปรุงตัวในการสื่อสารที่มีปัญหา
ความกดดันจากการทำงาน ผสมความเครียด ของผู้ที่ต้องรับผิดชอบ วิกฤตแบบนี้เป็นที่เข้าใจได้ นึกๆ ก็น่าเห็นใจจะพูดเปิดเผย หมดเปลือกตามรายงานที่ได้รับก็ยาก เลยออกมาเป็นคำพูดสื่อสารแบบกำกวม "มัวแต่ไประวังของนอกบ้าน ของในบ้านบางทีก็ยังหละหลวมอยู่"
เมื่อ"หมอหนู" ออกมารับผิด สื่อสารไม่ดีแบบแมนๆ ก็ต้องให้กำลังใจกัน
ยามนี้ นักรบเสื้อกาวน์ หมอพยาบาล เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ คือ คนทำงานหนักมาก และเสี่ยงชีวิต ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ตระหนักร่วมด้วยช่วยกัน
วันนี้ให้กำลังใจให้กันและกัน เป็นภูมิคุ้มกันที่จะช่วยให้รอดพ้นวิกฤตนี้ออกไปได่ด้วยกัน
** ตั้งกรรมการสอบ "สนามมวยลุมพินี" ฝ่าฝืนคำสั่งนายกฯ ปล่อยให้จัดรายการมวยศึกใหญ่ จนกลายเป็นต้นเหตุการแพร่เชื้อโควิด-19 ทำชาติวิกฤต ...เรื่องนี้"บิ๊กแดง" ต้องไปให้สุด เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าอำนาจผบ.ทบ. ยัง "เอาอยู่หรือไม่" กับอำนาจ อิทธิพล ผลประโยชน์ ในกองทัพบก
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "โควิด-19" ที่มีผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดพราดอย่างน่าตกใจ จนถึงวันนี้ได้ทะลุหลักพันคนไปแล้วนั้น สังคมต่างมองไปที่ "สนามมวยลุมพินี" ที่ต้องตกเป็นจำเลย เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงในแต่ละวันที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณนั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสนามมวยแห่งนี้ ... เริ่มตั้งแต่ "พล.ต.ราชิต อรุณรังษี" เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ที่เป็นนายสนามมวยลุมพินี พิธีกร นักมวย เทรนเนอร์ ผู้ติดตามคณะนักมวย รวมไปถึงเซียนมวยที่มาจากทุกสารทิศ ที่รับบทเป็น "Super Spreader"นำพาเชื้อไปแพร่อย่างรวดเร็ว ทั้งในกรุง และต่างจังหวัด จนทำให้ประเทศต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤต อย่างทุกวันนี้ ...
ย้อนไทม์ไลน์ไปเมื่อวันที่ 3 มี.ค.63 ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ตามมติครม.ในวันนั้น ขอความร่วมมือ งดจัดการแข่งขันกีฬาที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ...แน่นอนว่า "สนามมวย"ย่อมอยู่ในเกณฑ์สุ่มเสี่ยง เพราะเป็นสถานที่ปิด มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก และมีการส่งเสียงเชียร์อยู่ตลอดเวลา
แต่วันที่ 6 มี.ค.63 สนามมวยลุมพินี ก็ยังคงจัดรายการมวยศึกใหญ่ "ลุมพินีแชมป์เปี้ยนเกียรติเพชร" มีบรรดาผู้เกี่ยวข้อง และเซียนมวยแห่เข้าชมแน่นขนัด ว่ากันว่าประมาณหมื่นคน ...หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน ก็มีข่าวว่า "พล.ต.ราชิต อรุณรังษี" ในฐานะนายสนามมวย ที่ร่วมเป็นประธานสักขีพยาน ก็มีอาการติดเชื้อโควิด-19 แล้วกองบัญชาการกองทัพบก ก็ออกมาแถลงข่าวยอมรับว่า "พล.ต.ราชิต" ติดเชื้อจริง ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า พร้อมกัก ตัวทหารใกล้ชิด ทั้งในที่ทำงาน และบ้านพักอีก กว่า 30 คน ซึ่งเป็นทหารทั้งหมด... และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศออกมา ส่วนใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายการมวยศึกใหญ่ในวันนั้น
ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ในเชิงตั้งคำถามว่า ในเมื่อนายกฯ ออกมาประกาศขอความร่วมมือให้ งดจัดกิจกรรมที่รวมคนหมู่มาก การจัดการแข่งขันกีฬาต่างๆ แล้วทำไม “สนามมวยลุมพินี” ซึ่งเป็นของกองทัพบก จึงไม่รับไปปฏิบัติ หรือเป้นเพราะยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ รายได้ ... ยังตั้งคำถามไปถึง การกีฬาแห่งประเทศไทย ว่าทำไมไม่ดำเนินการสั่งการให้งดจัดการแข่งขัน ...
ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับคำชี้แจงจาก "นายวิบูณ จำปาเงิน" ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย ว่า เมื่อนายกฯมี คำสั่งการมาในวันที่ 3 มี.ค. 63 ทางสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยฯ ก็ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง นายสนามมวยลุมพินี ในวันที่ 4 มี.ค.63 ขอความร่วมมือผู้ประกอบการสนามมวย นายสนามมวย พิจารณาให้ความร่วมมือ ตามคำสั่งของนายกฯ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ...
ทว่านายสนามมวยลุมพินี กลับยังปล่อยให้โปรโมเตอร์มวย จัดชกมวยกันตามโปรแกรมเดิม มิได้สั่งระงับตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามมติ ครม.แต่อย่างใด
"นายวิบูณ จำปาเงิน" อธิบายว่า ที่ทำหนังสือ ขอความร่วมมือ โดยไม่ได้มีหนังสือสั่งปิด เพราะทาง กกท. มีอำนาจในการดำเนินการเฉพาะสนามมวยที่มีการจัดการแข่งขันทั่วไป แต่ "สนามมวยมาตรฐาน" กกท. ไม่มีอำนาจในการที่จะไปสั่งปิดได้... และเรื่องนี้ก็ไม่อยากให้โทษว่าใครเป็นคนผิด แต่อยากให้ช่วยเหลือกัน เพราะสนามมวยเองก็มีปัญหา นักมวยเองก็สูญเสียรายได้ ...
ฟังคำชี้แจงจากทาง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กกท. แล้วก็เข้าใจได้ว่า ข้าราชการตัวเล็กๆ คงไม่มีอำนาจ บารมี พอที่จะไป คัด ง้าง กับผู้มีอำนาจ บารมี และผลประโยชน์มหาศาลในวงการมวย... ขณะที่ทางกองทัพบก ซึ่งเป็น "เจ้าของ" เวทีมวยลุมพินี ก็ดูเหมือนจะปล่อยเลยตามเลย หวังจะให้เรื่องเงียบหายไปเอง
แต่ "นักร้อง" อย่าง "ศรีสุวรรณ จรรยา" และ "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" ไม่ยอมปล่อยผ่าน... จึงนำเรื่องไปร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ให้ตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิด "นายสนามมวยลุมพินี" เพื่อพิสูจน์ให้สังคมประจักษ์ว่า มติ และข้อสั่งการของนายกฯ และ ครม. ยังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่ หรือเอาผิดได้แต่เฉพาะประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น ส่วนนายทหาร ไม่กล้าแตะหรือไม่...
เมื่อเจอทั้งกระแสสังคมรุกหนัก และยังมีผู้ทำเรื่องร้องเรียนถึงนายกฯ เช่นนี้ ... "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ก็เริ่มก้นร้อน จึงสั่งการไปเมื่อวานนี้ (26มี.ค.) ให้ "พล.อ.อยุทธ์ ศรีวิเศษ" เจ้ากรมกำลังพลทหารบก ตั้งคณะกรรมการสอบสวน เรื่องนี้เพื่อพิจารณาความผิดในการลงโทษ...
หากจะว่าไปแล้ว สนามมวยลุมพินี ได้ตกเป็น "จำเลยของสังคม" ว่าเป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อ จนทำให้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ อย่างมิอาจปฏิเสธได้ และต้นเหตุก็มาจากการไม่ให้ความร่วมมือในการที่จะป้องกัน สกัดกั้นการแพร่ระบาด ... แต่ทำไม "บิ๊กแดง" ไม่เข้ามาเทกแอ็กชั่น ตั้งกรรมการสอบสวนแต่เนิ่นๆ ... ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เกิดเหตุโศนาฏกรรมที่"ห้างเทอมินอล 21" โคราช "บิ๊กแดง" ยังประกาศว่าจะดำเนินการปฏิรูปกองทัพ จัดระเบียบกันใหม่ ขจัดเหลือบที่เกาะกินผลประโยชน์ จากสนามม้า สนามมวย ...
หรือว่าคำประกาศ คำสั่ง "บิ๊กแดง"ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอำนาจพอที่จะไปจัดการกับกลุ่มผลประโยชน์ในกองทัพ ผลประโยชน์ในวงการมวย ...จึงมีกรณี "สนามมวยลุมพินี" ขึ้นมาฟ้องต่อสายตาของสังคม
เรื่องตั้งกรรมการสอบ ครั้งนี้ แม้"บิ๊กแดง" จะมาช้า แต่ก็ยังดี ที่ยังมา...และหวังว่า การสอบสวนต้องเป็นจริงเป็นจัง ต้องไปให้สุด ...ให้ได้คนผิดมาลงโทษ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ทำเอาวิกฤตกันไปทั้งประเทศ ...และสังคมกำลังมองดูอยู่ว่า...อำนาจ อิทธิพล ผลประโยชน์ ในกองทัพบกนั้น "บิ๊กแดง" จะเอาอยู่หรือไม่ ผลสอบครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์ !!
รูป – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา— อนุทิน ชาญวีรกูล
--พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ – พล.ต.ราชิต อรุณรังษี"