**ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์โรคระบาดจากเชื้อไวรัส “โควิด-19”มาถึงจุดเปลี่ยนแบบ “หัวเลี้ยวหัวต่อ”แบบเต็มขั้นแล้ว โดยตัวเลข“ผู้ป่วย”เมื่อวันที่ 19 มีนาคม มีจำนวนเพิ่มพรวดเดียวถึง 60 รายในวันเดียว ทำให้รวมยอดผู้ป่วยสะสมรวมทั้งสิ้น 272 ราย
โดย นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้แถลงประจำวัน ได้ระบุว่ามีการแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย 43 ราย เกี่ยวข้องกับ “สนามมวย”12 ราย เป็นผู้ชม ญาติ เจ้าของค่ายมวย เซียนมวย และเจ้าหน้าที่ทำงาน ทั้งจากสนามมวยลุมพินี และราชดำเนิน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกบสถานบันเทิง 14 ราย โดยคนที่ติดเชื้อเป็นคนที่ทำงานอยู่ในสถานบันเทิงย่านทองหล่อ สวนหลวง รามคำแหง และสุขุมวิท และผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 12 ราย รวมไปถึงผู้ป่วยที่ร่วมพิธีศาสนาในประเทศมาเลเซีย 5 ราย
และกลุ่มที่ 2 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ 17 รายที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และผู้ป่วยที่ทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ โดยในกลุ่มหลังมีผู้สื่อข่าวรวมอยู่ด้วย 1 ราย
พิจารณาจากตัวเลขดังกล่าวทำให้พบว่า เมื่อวานนี้ (19 มีนาคม) เป็นวันที่พบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากที่สุด เพิ่มขึ้นเป็น “เท่าตัว”จากวันก่อนหน้าที่มีจำนวนผู้ป่วยเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น และที่น่าจับตาก็คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ยังเป็น “กลุ่มสนามมวย”กับ “กลุ่มผับย่านทองหล่อ”เช่นเดิม
โดยเฉพาะกลุ่มสนามมวยนั้น เวลานี้กำลังแพร่กระจายออกไปสู่ต่างจังหวัดหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศ กลายเป็นว่าทั้งสองกลุ่มดังกล่าวเป็น “กลุ่มเสี่ยง” ที่สัมผัสกับคนอื่นได้อีกจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากมาตรการของทางรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้ว่าจะยกระดับมาตรการป้องกันและคัดกรอง แยกผู้ป่วย ผู้ติดเชื้ออย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม โดยในต่างจังหวัดได้มอบอำนาจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาตัดสินใจร่วมกับคณะกรรมการในระดับพื้นที่ว่าจะมีการคำสั่งปิดสถานบริการ ผับ บาร์ บ่อนการพนันท้องถิ่น เช่น วัวชน สนามมวย ปลากัด เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีคำสั่งปิดแทบทั้งหมด
**แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ก็มีหลายคนยังเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการที่เข้มข้นกว่านี้ นั่นคือถึงขั้นที่เรียกว่า“ปิดประเทศ”นั่นคือห้ามคนเข้าออก ไม่ให้ชาวต่างชาติเข้ามา โดยชื่อว่าเป็นการสกัดกั้นเชื้อโรคร้ายดังกล่าว แต่ก็มีอีกหลายคนบอกว่า แค่นี้ยังไม่พอต้อง ทั้งห้ามใครเข้าใครออกแล้ว ยังต้องห้ามคนออกจากบ้านด้วย เหมือนกับที่ประเทศจีนเคยทำที่เมือง “อู่ฮั่น”เมื่อครั้งที่เกิดโรคระบาดรุนแรงที่นั่น จนสามารถหยุดยั้งได้
แน่นอนว่ามาตรการที่เข้มข้นเด็ดขาดดังกล่าวย่อมมีทั้งคนเห็นด้วย และคัดค้าน เพราะเชื่อว่ามีผลกระทบรุนแรงกับความเป็นอยู่ และกับเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่อยู่แล้ว และที่สำคัญหากปิดประเทศจริง ก็มีคนเชื่อว่า มันป้องกันแพร่ระบาดไม่ได้จริง เพราะที่หลายคนบอกว่า “เจ็บเพื่อจบ”แต่บางคนก็ไม่เชื่อว่าจะจบจริง ตรงกันข้ามอาจ“เจ็บหนักกว่าเดิมแต่ไม่จบ”อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงในเวลานี้จะเห็นว่า บรรยากาศในเวลานี้โดยเฉพาะในย่านธุรกิจ ตามแหล่งบันเทิง ผับ บาร์แทบทุกแห่ง แทบจะ “ร้าง”กันแล้ว เพราะไม่มีใครอยากออกจากบ้าน ไม่มีอารมณ์ที่จะเที่ยวเตร่ และหลังจากที่เกิดโรคระบาด ก็แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว ก็ทำให้ตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศเงียบเหงาในแบบที่เรียกว่า “วังเวง” กันไปทั่ว
เพราะก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวเข้ามาไทยส่วนใหญ่จะเป็น ชาวจีน เมื่อประเทศเขาเกิดโรคระบาดเป็นประเทศแรกๆ ก็มีการห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่คนไทยก็กลัวติดโรคไม่กล้าเข้าใกล้ ต่อมาเมื่อประเทศในแถบยุโรปเกิดการแพร่ระบาดถัดมาก็ถือว่า“จบเห่”สำหรับการท่องเที่ยวในบ้านเรา
ประกอบกับมาตรการในการคัดกรอง คุมเข้มสำหรับชาวต่างชาติ และคนไทยที่เข้าประเทศไทยในเวลานี้ก็คือ ต้องมีใบรับรองแพทย์ไม่น้อยกว่า 3 วัน ต้องทำประกัน ต้องยอมให้ติดตามตัวและกักตัว 14 วัน จิปาถะ เจอมาตรการแบบนี้มันเหมือนกับการ “ปิดประเทศ”กลายๆ นั่นแหละ เพราะคงไม่มีใครอยากมา หรือมีอารมณ์อยากเที่ยวมากนักอยู่แล้วหรือเปล่า
ดังนั้น หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่งในเวลานี้สำหรับมาตรการที่ออกมาของรัฐบาล ที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่ามีความเข้มข้น และอยู่ภายใต้คำแนะนำของฝ่ายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินสถานการณ์จำนวนผู้ป่วย และแนวโน้มของผู้ติดเชื้อ อีกทั้งหากประเมินความเสียหายกับการ “ปิดประเทศ”ที่เสนอว่าจำนวน 14 วันหรือ 1 เดือนบ้าง แล้วมันจบจริงหรือไม่ ก็ต้องพิจารณากันต่อไป
** แต่แน่ๆ เวลานี้ถึงไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเคอร์ฟิว มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะหากไม่จำเป็นคงไม่ค่อยออกไปไหนกันอยู่แล้ว และเชื่อว่าด้วยจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดความตื่นกลัว จนแทบไม่กล้าไปไหน !!
โดย นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้แถลงประจำวัน ได้ระบุว่ามีการแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย 43 ราย เกี่ยวข้องกับ “สนามมวย”12 ราย เป็นผู้ชม ญาติ เจ้าของค่ายมวย เซียนมวย และเจ้าหน้าที่ทำงาน ทั้งจากสนามมวยลุมพินี และราชดำเนิน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกบสถานบันเทิง 14 ราย โดยคนที่ติดเชื้อเป็นคนที่ทำงานอยู่ในสถานบันเทิงย่านทองหล่อ สวนหลวง รามคำแหง และสุขุมวิท และผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 12 ราย รวมไปถึงผู้ป่วยที่ร่วมพิธีศาสนาในประเทศมาเลเซีย 5 ราย
และกลุ่มที่ 2 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ 17 รายที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และผู้ป่วยที่ทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ โดยในกลุ่มหลังมีผู้สื่อข่าวรวมอยู่ด้วย 1 ราย
พิจารณาจากตัวเลขดังกล่าวทำให้พบว่า เมื่อวานนี้ (19 มีนาคม) เป็นวันที่พบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากที่สุด เพิ่มขึ้นเป็น “เท่าตัว”จากวันก่อนหน้าที่มีจำนวนผู้ป่วยเพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น และที่น่าจับตาก็คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ยังเป็น “กลุ่มสนามมวย”กับ “กลุ่มผับย่านทองหล่อ”เช่นเดิม
โดยเฉพาะกลุ่มสนามมวยนั้น เวลานี้กำลังแพร่กระจายออกไปสู่ต่างจังหวัดหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศ กลายเป็นว่าทั้งสองกลุ่มดังกล่าวเป็น “กลุ่มเสี่ยง” ที่สัมผัสกับคนอื่นได้อีกจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากมาตรการของทางรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้ว่าจะยกระดับมาตรการป้องกันและคัดกรอง แยกผู้ป่วย ผู้ติดเชื้ออย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม โดยในต่างจังหวัดได้มอบอำนาจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาตัดสินใจร่วมกับคณะกรรมการในระดับพื้นที่ว่าจะมีการคำสั่งปิดสถานบริการ ผับ บาร์ บ่อนการพนันท้องถิ่น เช่น วัวชน สนามมวย ปลากัด เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีคำสั่งปิดแทบทั้งหมด
**แม้ว่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ก็มีหลายคนยังเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการที่เข้มข้นกว่านี้ นั่นคือถึงขั้นที่เรียกว่า“ปิดประเทศ”นั่นคือห้ามคนเข้าออก ไม่ให้ชาวต่างชาติเข้ามา โดยชื่อว่าเป็นการสกัดกั้นเชื้อโรคร้ายดังกล่าว แต่ก็มีอีกหลายคนบอกว่า แค่นี้ยังไม่พอต้อง ทั้งห้ามใครเข้าใครออกแล้ว ยังต้องห้ามคนออกจากบ้านด้วย เหมือนกับที่ประเทศจีนเคยทำที่เมือง “อู่ฮั่น”เมื่อครั้งที่เกิดโรคระบาดรุนแรงที่นั่น จนสามารถหยุดยั้งได้
แน่นอนว่ามาตรการที่เข้มข้นเด็ดขาดดังกล่าวย่อมมีทั้งคนเห็นด้วย และคัดค้าน เพราะเชื่อว่ามีผลกระทบรุนแรงกับความเป็นอยู่ และกับเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่อยู่แล้ว และที่สำคัญหากปิดประเทศจริง ก็มีคนเชื่อว่า มันป้องกันแพร่ระบาดไม่ได้จริง เพราะที่หลายคนบอกว่า “เจ็บเพื่อจบ”แต่บางคนก็ไม่เชื่อว่าจะจบจริง ตรงกันข้ามอาจ“เจ็บหนักกว่าเดิมแต่ไม่จบ”อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงในเวลานี้จะเห็นว่า บรรยากาศในเวลานี้โดยเฉพาะในย่านธุรกิจ ตามแหล่งบันเทิง ผับ บาร์แทบทุกแห่ง แทบจะ “ร้าง”กันแล้ว เพราะไม่มีใครอยากออกจากบ้าน ไม่มีอารมณ์ที่จะเที่ยวเตร่ และหลังจากที่เกิดโรคระบาด ก็แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว ก็ทำให้ตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศเงียบเหงาในแบบที่เรียกว่า “วังเวง” กันไปทั่ว
เพราะก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวเข้ามาไทยส่วนใหญ่จะเป็น ชาวจีน เมื่อประเทศเขาเกิดโรคระบาดเป็นประเทศแรกๆ ก็มีการห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่คนไทยก็กลัวติดโรคไม่กล้าเข้าใกล้ ต่อมาเมื่อประเทศในแถบยุโรปเกิดการแพร่ระบาดถัดมาก็ถือว่า“จบเห่”สำหรับการท่องเที่ยวในบ้านเรา
ประกอบกับมาตรการในการคัดกรอง คุมเข้มสำหรับชาวต่างชาติ และคนไทยที่เข้าประเทศไทยในเวลานี้ก็คือ ต้องมีใบรับรองแพทย์ไม่น้อยกว่า 3 วัน ต้องทำประกัน ต้องยอมให้ติดตามตัวและกักตัว 14 วัน จิปาถะ เจอมาตรการแบบนี้มันเหมือนกับการ “ปิดประเทศ”กลายๆ นั่นแหละ เพราะคงไม่มีใครอยากมา หรือมีอารมณ์อยากเที่ยวมากนักอยู่แล้วหรือเปล่า
ดังนั้น หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่งในเวลานี้สำหรับมาตรการที่ออกมาของรัฐบาล ที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่ามีความเข้มข้น และอยู่ภายใต้คำแนะนำของฝ่ายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินสถานการณ์จำนวนผู้ป่วย และแนวโน้มของผู้ติดเชื้อ อีกทั้งหากประเมินความเสียหายกับการ “ปิดประเทศ”ที่เสนอว่าจำนวน 14 วันหรือ 1 เดือนบ้าง แล้วมันจบจริงหรือไม่ ก็ต้องพิจารณากันต่อไป
** แต่แน่ๆ เวลานี้ถึงไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเคอร์ฟิว มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะหากไม่จำเป็นคงไม่ค่อยออกไปไหนกันอยู่แล้ว และเชื่อว่าด้วยจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดความตื่นกลัว จนแทบไม่กล้าไปไหน !!