การแถลงของ “ศูนย์ข้อมูลโควิด- 19”ที่อยู่ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทำเนียบรัฐบาล ที่มี นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ในฐานะโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ร่วมอยู่ในศูนย์ดังกล่าว ได้แถลงล่าสุดเมื่อบ่ายวันที่ 18 มีนาคม ระบุว่า “แม้ว่าตอนนี้เราอยู่ในระยะที่ 2 (ที่ยังระบุแหล่งที่มาของการติดเชื้อได้) แต่พบสัญญาณบางอย่างที่มีความเสี่ยงที่จะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”
สอดคล้องกับคำแถลงประจำวันของ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 35 ราย แม้ว่าจะยังสามารถระบุแหล่งที่มาของการติดเชื้อก็ตาม แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ดังกล่าว จากการแบ่งเป็นสองกลุ่มนั้น ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 13 ราย เป็นกลุ่มสนามมวย เป็นผู้ชมมวยทั้งในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น สมุทรปราการ สุโขทัย นครราชสีมา กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด และรวมไปถึงกลุ่มสถานบันเทิงอีก 4 ราย หรือที่เรียกว่า“กลุ่มทองหล่อ”นั่นแหละ
เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนใหญ่ก็ยังมาจาก “กลุ่มสนามมวย”และจาก “กลุ่มผับทองหล่อ”ที่เคยมีการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มมาก่อนหน้านี้ และแน่นอนว่าสำหรับ “กลุ่มสนามมวย”นั้นมีความน่ากังวลว่า หากควบคุมไม่ได้ หรือคุมไม่ดี ทั้งจากการรอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ในการคัดกรอง หรือความไม่รับผิดชอบของแฟนมวย ที่เข้าไปในสถานที่ดังกล่าวแล้วไม่มีการกักตัวเองตามมาตรฐาน ก็ย่อมจะมีโอกาสในการแพร่ระบาดทั้งในครอบครัวตัวเองที่ต้องสัมผัส ใกล้ชิด รวมไปถึงการที่พวกเขายังออกไปตามสถานที่ชุมนุมอื่นๆ อีกหลายแห่ง ตามที่มีการแถลงระบุถึงแหล่งเวทีมวยในหลายจังหวัดดังกล่าว
อีกทั้งเมื่อการเฝ้ารอดูอาการว่าติดเชื้อหรือไม่ ก็ต้องรอถึง 14 วัน ถึงจะแสดงอาการ นั้นก็หมายความว่า ตามที่มีการเรียกร้องให้ผู้ที่เข้าไปในสนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ต้องมีการกักตัวเพื่อเฝ้ารอดูอาการก่อน จะสามารถควบคุมได้จริง หรือไม่ เพราะคนที่เข้าไปในสนามมวยวันนั้นมีนับหมื่นคน แม้ว่าอาจจะมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสำหรับไม่กี่คนที่สัมผัสใกล้ชิด กับผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ เช่น ดารา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา นายสนามมวยลุมพินีซึ่งเป็นเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ที่มีการตรวจพบเชื้อและถูกกักตัวไปแล้วในเวลานี้
** เอาเป็นว่าเวลานี้ “กลุ่มสนามมวย”นี่แหละน่ากลัวที่สุด ว่ามีความเสี่ยงจะแพร่กระจายเชื้อเหมือนกับที่เกิดขึ้นในโบสถ์แห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ และล่าสุดก็เพิ่งเกิดขึ้นในพิธีชุมนุมทางศาสนาอิสลามแห่งหนึ่ง ในมาเลเซีย จนทำให้ทั้งสองประเทศต้องสั่งปิดเมือง และปิดประเทศสำหรับมาเลเซียห้ามเข้าออกในเวลานี้
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ส่งสัญญาณในทำนองว่า เตรียมรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ใน “ระยะที่3”แล้ว โดยเฉพาะการ “ปิดประเทศ”หากการแพร่ระบาดรุนแรงแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นที่เมือง“อู่ฮั่น”ของจีนก่อนหน้านี้ โดยเวลานี้เขาได้กล่าวว่า ได้สั่งให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหม ได้ “ซ้อมแผนเผชิญเหตุ” เอาไว้แล้ว รวมทั้งได้จัดเตรียม “โรงพยาบาลสนาม”พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และในจังหวัดหลักๆ ทั่วประเทศแล้ว
ในความหมายก็คือ หากสถานการณ์เลยไปถึงจุดนั้นก็ต้องใช้มาตรการแบบที่ว่า นั่นคือการ “ปิดประเทศ” ห้ามคนเข้าออก และเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มของผู้ติดเชื้อที่เกิดขึ้นเป็นรายวันนับสิบคน และยังไม่รวมผู้ที่ยังต้องรอผลการพิสูจน์ตามมาตรการเฝ้าระวังอีกนับร้อย เมื่อยังไม่ครบ 14 วัน หรือยังต้องรออาการ หรือผลการตรวจอีกระยะหนึ่ง ซึ่งยังต้องลุ้น ภาวนากันว่า สถานการณ์คงไม่เลวร้าย ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังควบคุมได้
ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้ทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกัน รับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งการป้องกันตัวเอง การไม่เสี่ยงแพร่เชื้อถือว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ 3 เป็นดีที่สุด เพราะแม้ว่าบางคนบอกว่าถึงเวลา “ปิดประเทศ” ได้แล้ว เพื่อให้ “เจ็บแต่จบ” ก็อาจจะจริง แต่ถ้าไปถึงขั้นนั้นเชื่อว่าคนไทย “เจ็บปางตาย” แน่นอน ก็ได้แต่ลุ้นว่าคงไม่ไปถึงขั้นนั้น !!
สอดคล้องกับคำแถลงประจำวันของ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 35 ราย แม้ว่าจะยังสามารถระบุแหล่งที่มาของการติดเชื้อก็ตาม แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ดังกล่าว จากการแบ่งเป็นสองกลุ่มนั้น ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 13 ราย เป็นกลุ่มสนามมวย เป็นผู้ชมมวยทั้งในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น สมุทรปราการ สุโขทัย นครราชสีมา กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด และรวมไปถึงกลุ่มสถานบันเทิงอีก 4 ราย หรือที่เรียกว่า“กลุ่มทองหล่อ”นั่นแหละ
เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนใหญ่ก็ยังมาจาก “กลุ่มสนามมวย”และจาก “กลุ่มผับทองหล่อ”ที่เคยมีการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มมาก่อนหน้านี้ และแน่นอนว่าสำหรับ “กลุ่มสนามมวย”นั้นมีความน่ากังวลว่า หากควบคุมไม่ได้ หรือคุมไม่ดี ทั้งจากการรอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ในการคัดกรอง หรือความไม่รับผิดชอบของแฟนมวย ที่เข้าไปในสถานที่ดังกล่าวแล้วไม่มีการกักตัวเองตามมาตรฐาน ก็ย่อมจะมีโอกาสในการแพร่ระบาดทั้งในครอบครัวตัวเองที่ต้องสัมผัส ใกล้ชิด รวมไปถึงการที่พวกเขายังออกไปตามสถานที่ชุมนุมอื่นๆ อีกหลายแห่ง ตามที่มีการแถลงระบุถึงแหล่งเวทีมวยในหลายจังหวัดดังกล่าว
อีกทั้งเมื่อการเฝ้ารอดูอาการว่าติดเชื้อหรือไม่ ก็ต้องรอถึง 14 วัน ถึงจะแสดงอาการ นั้นก็หมายความว่า ตามที่มีการเรียกร้องให้ผู้ที่เข้าไปในสนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ต้องมีการกักตัวเพื่อเฝ้ารอดูอาการก่อน จะสามารถควบคุมได้จริง หรือไม่ เพราะคนที่เข้าไปในสนามมวยวันนั้นมีนับหมื่นคน แม้ว่าอาจจะมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสำหรับไม่กี่คนที่สัมผัสใกล้ชิด กับผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ เช่น ดารา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา นายสนามมวยลุมพินีซึ่งเป็นเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ที่มีการตรวจพบเชื้อและถูกกักตัวไปแล้วในเวลานี้
** เอาเป็นว่าเวลานี้ “กลุ่มสนามมวย”นี่แหละน่ากลัวที่สุด ว่ามีความเสี่ยงจะแพร่กระจายเชื้อเหมือนกับที่เกิดขึ้นในโบสถ์แห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ และล่าสุดก็เพิ่งเกิดขึ้นในพิธีชุมนุมทางศาสนาอิสลามแห่งหนึ่ง ในมาเลเซีย จนทำให้ทั้งสองประเทศต้องสั่งปิดเมือง และปิดประเทศสำหรับมาเลเซียห้ามเข้าออกในเวลานี้
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ส่งสัญญาณในทำนองว่า เตรียมรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ใน “ระยะที่3”แล้ว โดยเฉพาะการ “ปิดประเทศ”หากการแพร่ระบาดรุนแรงแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นที่เมือง“อู่ฮั่น”ของจีนก่อนหน้านี้ โดยเวลานี้เขาได้กล่าวว่า ได้สั่งให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหม ได้ “ซ้อมแผนเผชิญเหตุ” เอาไว้แล้ว รวมทั้งได้จัดเตรียม “โรงพยาบาลสนาม”พร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และในจังหวัดหลักๆ ทั่วประเทศแล้ว
ในความหมายก็คือ หากสถานการณ์เลยไปถึงจุดนั้นก็ต้องใช้มาตรการแบบที่ว่า นั่นคือการ “ปิดประเทศ” ห้ามคนเข้าออก และเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มของผู้ติดเชื้อที่เกิดขึ้นเป็นรายวันนับสิบคน และยังไม่รวมผู้ที่ยังต้องรอผลการพิสูจน์ตามมาตรการเฝ้าระวังอีกนับร้อย เมื่อยังไม่ครบ 14 วัน หรือยังต้องรออาการ หรือผลการตรวจอีกระยะหนึ่ง ซึ่งยังต้องลุ้น ภาวนากันว่า สถานการณ์คงไม่เลวร้าย ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังควบคุมได้
ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้ทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกัน รับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งการป้องกันตัวเอง การไม่เสี่ยงแพร่เชื้อถือว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ 3 เป็นดีที่สุด เพราะแม้ว่าบางคนบอกว่าถึงเวลา “ปิดประเทศ” ได้แล้ว เพื่อให้ “เจ็บแต่จบ” ก็อาจจะจริง แต่ถ้าไปถึงขั้นนั้นเชื่อว่าคนไทย “เจ็บปางตาย” แน่นอน ก็ได้แต่ลุ้นว่าคงไม่ไปถึงขั้นนั้น !!