วันที่ 1 ธันวาคมปีที่แล้ว มีรายงานผู้ป่วยรายแรกจากไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่ตอนนั้น ยังไม่มีใครคิดว่า จะเกิดการระบาดในวงกว้างจนถึงกับมีผู้เสียชีวิต
วันที่ 12 ธันวาคม มีรายงานจากหน่วยงานสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่นว่า มีผู้ป่วยที่เป็นปอดบวมจากการติดเชื้อไวรัสถึง 27 ราย โดยมีคนอาการหนักถึง 7 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติไปสัมผัสกับสัตว์ป่าต่างๆ ในตลาดขายส่งอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีการขายสัตว์นานาชนิด รวมทั้งสัตว์ปีก งู ค้างคาว
วันที่ 20 ธันวาคม คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ประกาศว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ทำให้รัฐบาลจีนประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการระบาด และสั่งปิดเมืองอู่ฮั่นเพื่อควบคุมการระบาด
ถึงวันนี้ 3 เดือนแล้ว ไวรัสโคโรนาซึ่งองค์การอนามัยโลกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ไวรัส COVID-19 แพร่ระบาดข้ามทวีปไปถึงตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาแล้ว
ประเทศไทยถือเป็นจุดเสี่ยงมากที่สุดจุดหนึ่ง เพราะมีคนจีนเดินทางมาท่องเที่ยวปีหนึ่งประมาณ 10 ล้านคน สนามบินสุวรรณภูมิเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของคนจีนที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นอย่างเงียบๆ โดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้ตั้ง “วอร์รูม” ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 และทำงานต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
จำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันคงที่อยู่ที่ 35 คนมาได้ 1 สัปดาห์แล้ว โดย 19 ราย หายกลับบ้านได้ อีก 16 รายยังอยู่ในการดูแลของแพทย์และยังไม่มีผู้เสียชีวิต แสดงถึงประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขไทย และการทุ่มเททำงานที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตของบุคลากรในวงการสาธารณสุข โดยเฉพาะ “ทัพหน้า” คือ เจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข นักรบประจำวอร์รูม
การระบาดของไวรัส COVID-19 แบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศ ผู้ติดเชื้อที่พบเป็นคนที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดนอกประเทศ ประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อคนจีนที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น เมื่อวันที่ 13 มกราคม เป็นประเทศแรก นอกประเทศจีนที่มีการระบาดระยะที่ 1
ระยะที่ 2 มีการติดเชื้อจากคนสู่คนภายในประเทศ ปัจจุบันไทยอยู่ในระยะที่ 2 หลังจากพบผู้ขับแท็กซี่รายหนึ่งติดเชื้อจากผู้โดยสารชาวจีนเมื่อวันที่ 30 มกราคม ซึ่งได้รับการรักษาจนปลอดเชื้อ
ระยะที่ 3 จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการระบาดในวงกว้าง มาตรการสำหรับระยะนี้คือการดูแลผู้ป่วยและพยายามชะลอการแพร่ระบาด เน้นการรับมือที่โรงพยาบาล เพราะเมื่อมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น ก็จะมีผู้ป่วยไปโรงพยาบาลมากขึ้นจนอาจรองรับไม่ไหว เหมือนที่เกิดขึ้นในอู่ฮั่นขณะนี้
ยังไม่มีใครรู้ว่า การระบาดในบ้านเราจะเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือไม่ และถ้าเข้าสู่ระยะที่ 3 จะเกิดขึ้นเมื่อไร การระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ระยะที่ 3 เกิดขึ้นหลังการระบาดระยะที่ 2 ประมาณ 2 เดือน สิ่งที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกำลังทำกันอยู่ในตอนนี้ คือ ยืดการระบาดระยะ 2 ออกไปให้นานที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน รับมือกับการระบาดในระยะที่ 3 และสิ่งที่ดีที่สุดคือ ตัดตอนการระบาดให้หยุดอยู่ที่ระยะที่ 2 ในตอนนี้ คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือเพิ่มไม่มาก
ล่าสุดมีการประชุมเตรียมการรับมือกับการระบาดระยะที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติครั้งที่ 3/2563 ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และคณะกรรมการจากทุกกระทรวง
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า นอกจากมาตรการลดโอกาสการแพร่เชื้อเข้าสู่ประเทศไทยและชะลอการระบาดภายในประเทศ โดยการคัดกรอง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่ด่านช่องทางเข้าระหว่างประเทศ จัดระบบการคัดกรองที่สถานพยาบาลทุกแห่งแบบ One Stop Service และเฝ้าระวังเชิงรุกในชุมชน ในคนไทยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อซึ่งทำอยู่แล้ว ที่ประชุมยังให้เตรียมมาตรการรองรับการระบาดในระยะที่ 3 โดยจะเน้นการควบคุมการระบาดในชุมชน ด้วยมาตรการ “แยก หยุด เลี่ยง ปิด”
ให้จัดสถานที่แยกผู้มีอาการทางเดินหายใจในโรงพยาบาลให้เพียงพอ ส่งเสริมการแยกสังเกตอาการที่บ้าน
ให้ผู้ที่มีอาการทางเดินหายใจหยุดงาน หยุดเรียน กำหนดมาตรการทำงานที่บ้าน หลีกเลี่ยงงานชุมนุมขนาดใหญ่
การปิดสถานที่ที่มีการระบาดและควบคุมการระบาดในพื้นที่มีคนอยู่จำนวนมาก เช่น โรงเรียน เรือนจำ ค่ายทหาร รวมทั้งพิจารณาประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติเพื่อควบคุมการระบาดในชุมชน
ให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมการรักษาพยาบาลร่วมกับโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน เตรียมโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก กำหนดและจัดทำแผนจัดการพื้นที่ดูแลรักษาผู้ป่วย จัดหาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้เพียงพอ พัฒนาห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลจังหวัดและสังกัดอื่นๆ เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวินิจฉัย รวมทั้งการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในโรงพยาบาล
การประชุมสภากลาโหม วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้กำชับให้มณฑลทหารบกทั้ง 35 แห่ง โรงพยาบาลเหล่าทัพสนับสนุนการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเตรียมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับ เตรียมพื้นที่ในหน่วยทหารซึ่งอาจเป็นในหน่วยมณฑลทหารบกเพื่อรองรับการควบคุมและรักษาผู้ติดเชื้อหากสถานการณ์ระบาดเกินการควบคุมเข้าสู่ระยะที่ 3
การระบาดของไวรัส COVID-19 อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ทำได้คือ การตัดวงจรการระบาด พยายามไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ 3 และเตรียมรับมือสำหรับการเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่จะต้องร่วมกัน เพราะทุกคนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของไวรัสตัวนี้เท่าๆ กัน