นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงปัญหาส.ส.เสียบบัตรแทนกัน จนทำให้ งบฯ63 ล่าช้าออกไป และสภาฯไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ว่า นับจากนี้เป็นต้นไป หากสื่อมวลชน และพลเมืองดีทั่วไป พบส.ส.มีการเสียบบัตรแทนกัน 2 ครั้งขึ้นไป กับการลงมติกฎหมายทุกฉบับ รวมทั้งญัตติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล หากมีหลักฐานชัดเจนไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือวีดีโอ ให้มารับเงินกับตนได้ เหตุการณ์ละ 1 แสนบาท โดยไม่จำกัดเหตุการณ์ แต่ห้ามก็อปปี้ภาพคนอื่นแล้วมารับเงิน โดยหลักฐานดังกล่าว ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบในชั้นศาล หรือตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบ แต่สามารถมารับเงินโดยตรงกับตนได้เลย เพราะตนมีทรัพย์สินถึง 500 ล้านบาท คิดว่างานนี้คงไม่เกิน 10 ล้านบาท ยังเหลือเงินอีกตั้ง 490 ล้านบาท และ ผู้ที่นำหลักฐานมาเปิดเผย ตนมีวิธีปกปิดไม่ให้ได้รับผลกระทบตามมา ที่ตนทำเช่นนี้ เพราะต้องการดัดหลังคนที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ สร้างความเสื่อมเสียต่อสภาฯ และต้องการให้การทำงานของส.ส.โปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต ตามที่ได้สาบานไว้
นายสิระ ยังกล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ระบุจะฟ้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำให้ตนเองพ้นจากตำแหน่ง ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. ว่า ถือเป็นสิทธิ์ แต่หากเป็นการฟ้องร้องเท็จ ตนก็จะฟ้องดำเนินคดีกลับกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าเรื่องดังกล่าว ไม่ควรทำให้คดีความ รกศาล เพราะมีการฟ้องร้องกันเยอะแล้ว แต่ควรจะหันมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวในสภาฯจะดีกว่า
นายสิระ ยังกล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ระบุจะฟ้องดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำให้ตนเองพ้นจากตำแหน่ง ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. ว่า ถือเป็นสิทธิ์ แต่หากเป็นการฟ้องร้องเท็จ ตนก็จะฟ้องดำเนินคดีกลับกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าเรื่องดังกล่าว ไม่ควรทำให้คดีความ รกศาล เพราะมีการฟ้องร้องกันเยอะแล้ว แต่ควรจะหันมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวในสภาฯจะดีกว่า