xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ถึงขั้นกราบเท้า “เสรีพิศุทธ์”

เผยแพร่:   โดย: สุนันท์ ศรีจันทรา





การก้มลงกราบเท้าเพื่อขอขมาพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎรของนายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ เกียรติลดารมย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรรคพลังประชารัฐ ต่อหน้าสื่อมวลชนบุกรัฐสภา อาจทำให้บางคนสะใจ แต่หลายคนคงเกิดความรู้สึกรันทดใจ

และมีคำถามว่า การแสดงการขอโทษ ขออภัย ขอขมา โดยสำนึกผิดในสิ่งที่เคยทำลงไป จะต้องลงทุนถึงขั้นก้มลงกราบเท้ากันเชียวหรือ

เพราะการก้มกราบเท้า เป็นการสิ้นศักดิ์ศรี และมักไม่นิยมปฏิบัติกัน แม้ในหมู่นักการเมืองก็ตาม

ถ้าเล่นการเมือง แต่ต้องทิ้งศักดิ์ศรีก้มลงกราบเท้าใคร จะเป็นนักการเมืองไปทำไม และคุ้มหรือไม่ที่ลูกหลานวงศ์ตระกูลต้องอับอาย

นายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์เคยบุกเข้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 เปิดแถลงข่าวโจมตีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวหาทุจริตการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ไทเกอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การบุกรุกป่าสงวนและตะโกนกล่าวหาว่าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์สั่งอุ้ม

พฤติกรรมความห้าวในครั้งนั้น ทำให้นายสัตวแพทย์ธีทัชฐ์ถูกพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ฟ้องดำเนินคดี

หมอธีทัชฐ์อาจประเมินแล้วว่า คงแพ้คดีพล.ต.อ.พิศุทธ์ จึงตัดสินใจบุกรัฐสภาอีกครั้ง เข้าประชิดพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ขณะแถลงข่าว หอบกระเช้าผลไม้ ยกมือไหว้ และประกาศขอขมาต่อหน้าผู้สื่อข่าว

แต่การประกาศสำนึกผิด ยกมือกราบไหว้ เพื่อขอให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ให้อภัย และยกโทษให้ยังไม่เพียงพอ เพราะพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตั้งข้อเสนอ ขอให้กราบเท้า จึงยอมให้อภัยและถอนฟ้อง

การก้มกราบเท้าเป็นวัฒนธรรมในสังคมไทย เป็นการแสดงความเคารพบุพการี เช่น ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ผู้มีพระคุณหรือผู้หลักผู้ใหญ่

หรืออาจได้พบเห็นในคดีอาชญากรรมร้ายแรง โดยฆาตกรก้มลงกราบขอขมาบิดามารดาของเหยื่อผู้เสียชีวิต รวมทั้งกรณีการก้มกราบเท้าขอชีวิต สำหรับผู้ที่กำลังถูกทำร้าย

พฤติกรรมก้มกราบเท้า ไม่ใช่พฤติกรรมที่ได้พบเห็นบ่อยเป็นการทั่วไป เพราะบุคคลโดยทั่วไปจะไม่ยอมก้มกราบเท้าใครง่ายๆ เพราะถือเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะความผิดไม่ร้ายแรง

คดีใส่ร้ายป้ายสีโจมตีให้ผู้อื่นเสียหาย กล่าวหาด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท มีโทษทางอาญา โดยอาจถูกตัดสินจำคุกหรือศาลอาจปรานีรอลงอาญาก็ได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ในฐานะผู้เสียหาย มีสิทธิที่จะโกรธ มีสิทธิที่จะปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง โดยฟ้องร้องดำเนินคดีผู้ที่นำข้อความเท็จมาโจมตีทำให้เกิดความเสียหาย

และหมอธีทัชฐ์เมื่อกลัวความผิด ยอมกราบขอขมาพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ต่อหน้าสาธารณชน ยอมรับว่ากล่าวความเท็จ เพื่อแลกกับการถอนฟ้อง ถือเป็นบรรทัดฐานโดยทั่วไปที่ประพฤติปฏิบัติกัน

เพียงแต่การยอมก้มกราบเท้า เพื่อแลกกับการยกโทษ ไม่ค่อยมีใครยอมทำกัน เพราะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องน่าอับอาย ซึ่งจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตในสังคม

ถ้าจะต้องลงทุนก้มกราบเท้าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ หลายคนคงพร้อมเผชิญหน้ากับคำตัดสินของศาลในคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาทมากกว่า

พร้อมจะชดใช้ความผิดในคุก ดีกว่าก้มกราบเท้าพล.ต.อ.เสรีศุทธ์ ซึ่งจะเป็นตราบาปตลอดชีวิต

แต่หมอธีทัชฐ์เลือกที่จะก้มลงกราบเท้าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพื่อแลกกับการถอนฟ้อง

อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ คู่กรณีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้มาในสิ่งที่ต้องการแล้ว โดยถูกฟ้องหมิ่นประมาทเป็นอันสิ้นสุด แต่สิ่งที่เสียไปคือศักดิ์ศรี ซึ่งจะถูกสังคมพูดถึงไม่มีวันจบสิ้น

ความจริงการขอขมาของหมอธีทัชฐ์ควรจะจบเพียงแค่ขั้นตอนการหอบกระเช้าผลไม้มาให้ กราบขอโทษ และปฏิบัติตามข้อเสนอของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยกล่าวขอโทษ ประกาศสำนึกผิด ยอมรับว่า ใช้ข้อความเท็จกล่าวโจมตี เพราะถือว่าได้แสดงเจตนาการขอขมาอย่างครบถ้วน และมากพอควรแก่การได้รับการอภัยแล้ว เมื่อเทียบกับความผิดหมิ่นประมาท

และถ้าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยกโทษให้ ยอมถอนฟ้อง จะได้รับการชื่นชม ในฐานะผู้ใหญ่ที่มีความเมตตา ยอมให้อภัยสำหรับผู้ที่สำนึกผิด

แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก้าวล่วงไปสู่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขอให้หมอธีทัชฐ์กราบเท้าต่อหน้าสื่อมวลชนและสาธารณชน จนทำให้การขอขมาระหว่างทั้งคู่ สร้างความรันทดและสลดหดหู่กับสังคม

เพราะข้อเรียกร้องให้ก้มกราบเท้า เป็นข้อเรียกร้องที่หมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากเกินไป

สำหรับหมอธีทัชฐ์สังคมอาจไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจอะไรมากนัก แต่เห็นใจครอบครัวมากกว่า คิดถึงสภาพจิตใจของลูกหลานมากกว่า เพราะต้องได้รับความอับอาย และได้รับผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

การเรียกร้องให้กราบเท้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อาจมีเพียงเจตนา สยบให้หมอธีทัชฐ์อยู่มือเท่านั้น แต่ผลที่ตามมาร้ายแรงยิ่งกว่า เพราะลูกหลานวงศ์ตระกูลหมอธีทัชฐ์ต้องรับเคราะห์ เพราะชีวิตถูกทำลายไปด้วย

บทลงโทษของ “เสรีพิศุทธ์” จึงโหดร้าย ยิ่งกว่าจับหมอธีทัชฐ์ติดคุกเสียอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น