“ฝ่ายค้าน” เคาะสรุปซักฟอก 5 รมต. “ประยุทธ์-วิษณุ-อนุพงษ์-ดอน-ธรรมนัส” ยื่นญัตติวันนี้ 11 โมง เผยเหตุตัดหลายชื่อทิ้ง หวั่นเวลา 3 วันไม่เข้าเป้า เน้นปูพรมถล่ม “บิ๊กตู่” ให้วีนแตก
วานนี้ (30 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ร่วมกันหารือเพื่อสรุปญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดยื่นญัตติฯต่อประสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 31 ม.ค. เวลา 11.00 น. โดยในการประชุมมีการนำรายชื่อรัฐมนตรีที่เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่ละพรรคว่าเข้าข่ายถูกอภิปรายทั้งหมด 9 ราย ประกอบไปด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ประเด็นภาพรวมการบริหารราชการแผ่นดิน และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลว, 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประเด็นล็อกสเปคการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานความมั่นคง และร่ำรวยผิดปกติ, 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในโครงการอีอีซี, 4.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ประเด็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม และการมีส่วนร่วมในการยุติการฟ้องร้องคดีอาญาบริษัทฟิลลิป มอร์ริส, 5.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประเด็นการทุจริตโครงการโรงไฟฟ้าขยะทั่วประเทศขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
6.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ประเด็นการทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ ขอให้รัฐบาลยุติการฟ้องร้องคดีอาญาบริษัทฟิลลิป มอร์ริส และการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน, 7.นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ประเด็นความล้มเหลวการบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจ และปล่อยให้มีเรื่องทุจริตในกระทรวง, 8.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ประเด็นการแก้ปัญหาที่ดิน สปก. รวมถึงคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี โดยได้รับข้อมูลจากศาลประเทศออสเตรเลีย ที่จะชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทางกฎหมายว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่ ร.อ.ธรรมนัสเคยชี้แจงไว้ และ 9.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข โดยในฐานะรองนายกฯ ที่กำกับดูแล 3 กระทรวงคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น เนื้อหาที่อภิปรายจะมีทั้งเรื่องการท่องเที่ยวที่หดหาย การออกมาตรการดูแลและป้องกันโรคระบาดที่ล้มเหลว รวมถึงกรณีการถือหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมปทานของภาครัฐ และข้อมูลที่ส่อว่าน่าจะเข้าข่ายพยายามทุจริตเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม
อย่างไรก็ดี ภายหลังการหารือปรากฎว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ข้อยุติร่วมกันว่าจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 5 คน คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์, 2.นายวิษณุ, 3.พล.อ.อนุพงษ์,, 4.นายดอน และ 5.ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น โดยสาเหตุที่มีการลดจำนวนรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายลงเหลือเพียง 5 คนนั้น เนื่องจากพรรคร่วมฝ่ายค้านมองว่า จำนวนวันอภิปรายที่คาดว่าจะได้รับน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 3 วัน หากต้องอภิปรายรัฐมนตรีมากถึง 9 คนจะทำให้การอภิปรายกระจัดกระจายและไม่เข้าเป้า ดังนั้น จึงตัดรัฐมนตรีที่ข้อมูลยังไม่แน่นมากนักออกก่อน แล้วค่อยรวบรวมข้อมูลใหม่เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งหน้าแทน
สำหรับกรณีของนายสมคิด ที่ก่อนหน้านี้ถูกวางตัวว่าจะเป็น 1 ในรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายอย่างแน่นอนนั้น สุดท้ายพรรคร่วมฝ่ายค้านตัดสินใจตัดชื่อออก เนื่องจากมองว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในครั้งนี้จะเน้นที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลวเป็นหลัก ดังนั้น หากอภิปรายนายสมคิดด้วย นายสมคิดย่อมต้องชี้แจงในมุมของเศรษฐกิจได้อยู่แล้ว จะทำให้การชี้แจงของรัฐบาลดูมีน้ำหนักขึ้น ขณะที่หากตัดชื่อของนายสมคิดออก แล้วมุ่งอภิปรายไปที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลักนั้น ด้วยความที่นายกฯ เป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ย่อมทำให้น้ำหนักในการชี้แจงของนายกฯ อ่อนลงไปทันที ย่อมทำให้การอภิปรายของฝ่ายค้านดูมีน้ำหนักมากขึ้น
วานนี้ (30 มี.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ร่วมกันหารือเพื่อสรุปญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ซึ่งกำหนดยื่นญัตติฯต่อประสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 31 ม.ค. เวลา 11.00 น. โดยในการประชุมมีการนำรายชื่อรัฐมนตรีที่เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่ละพรรคว่าเข้าข่ายถูกอภิปรายทั้งหมด 9 ราย ประกอบไปด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ประเด็นภาพรวมการบริหารราชการแผ่นดิน และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลว, 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ประเด็นล็อกสเปคการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานความมั่นคง และร่ำรวยผิดปกติ, 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในโครงการอีอีซี, 4.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ประเด็นการทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม และการมีส่วนร่วมในการยุติการฟ้องร้องคดีอาญาบริษัทฟิลลิป มอร์ริส, 5.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประเด็นการทุจริตโครงการโรงไฟฟ้าขยะทั่วประเทศขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
6.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ประเด็นการทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ ขอให้รัฐบาลยุติการฟ้องร้องคดีอาญาบริษัทฟิลลิป มอร์ริส และการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน, 7.นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ประเด็นความล้มเหลวการบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจ และปล่อยให้มีเรื่องทุจริตในกระทรวง, 8.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ประเด็นการแก้ปัญหาที่ดิน สปก. รวมถึงคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี โดยได้รับข้อมูลจากศาลประเทศออสเตรเลีย ที่จะชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทางกฎหมายว่า ไม่ได้เป็นไปตามที่ ร.อ.ธรรมนัสเคยชี้แจงไว้ และ 9.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข โดยในฐานะรองนายกฯ ที่กำกับดูแล 3 กระทรวงคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น เนื้อหาที่อภิปรายจะมีทั้งเรื่องการท่องเที่ยวที่หดหาย การออกมาตรการดูแลและป้องกันโรคระบาดที่ล้มเหลว รวมถึงกรณีการถือหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับสัมปทานของภาครัฐ และข้อมูลที่ส่อว่าน่าจะเข้าข่ายพยายามทุจริตเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม
อย่างไรก็ดี ภายหลังการหารือปรากฎว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ข้อยุติร่วมกันว่าจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 5 คน คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์, 2.นายวิษณุ, 3.พล.อ.อนุพงษ์,, 4.นายดอน และ 5.ร.อ.ธรรมนัสเท่านั้น โดยสาเหตุที่มีการลดจำนวนรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายลงเหลือเพียง 5 คนนั้น เนื่องจากพรรคร่วมฝ่ายค้านมองว่า จำนวนวันอภิปรายที่คาดว่าจะได้รับน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 3 วัน หากต้องอภิปรายรัฐมนตรีมากถึง 9 คนจะทำให้การอภิปรายกระจัดกระจายและไม่เข้าเป้า ดังนั้น จึงตัดรัฐมนตรีที่ข้อมูลยังไม่แน่นมากนักออกก่อน แล้วค่อยรวบรวมข้อมูลใหม่เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งหน้าแทน
สำหรับกรณีของนายสมคิด ที่ก่อนหน้านี้ถูกวางตัวว่าจะเป็น 1 ในรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายอย่างแน่นอนนั้น สุดท้ายพรรคร่วมฝ่ายค้านตัดสินใจตัดชื่อออก เนื่องจากมองว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในครั้งนี้จะเน้นที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลวเป็นหลัก ดังนั้น หากอภิปรายนายสมคิดด้วย นายสมคิดย่อมต้องชี้แจงในมุมของเศรษฐกิจได้อยู่แล้ว จะทำให้การชี้แจงของรัฐบาลดูมีน้ำหนักขึ้น ขณะที่หากตัดชื่อของนายสมคิดออก แล้วมุ่งอภิปรายไปที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นหลักนั้น ด้วยความที่นายกฯ เป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ย่อมทำให้น้ำหนักในการชี้แจงของนายกฯ อ่อนลงไปทันที ย่อมทำให้การอภิปรายของฝ่ายค้านดูมีน้ำหนักมากขึ้น