ผู้จัดการรายวัน 360 - ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" เป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน คดีโกงค่าโฆษณา “อสมท” จำนวนกว่า 138 ล้านบาท ระบุเป็นนักข่าวอาวุโส กลับกระทำผิด อาศัยช่องว่างกฎหมายหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ไม่เข้าข่ายให้ลดหย่อนโทษหรือลงโทษสถานเบา ขณะที่ "พิชชาภา" เจ้าหน้าที่ อสมท จำคุก เป็นเวลา 12 ปี 'สรยุทธ' เปิดใจพร้อมยอมรับ ยากที่สุดคือการทำใจ ราชทัณฑ์รับตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เตรียมให้ช่วยงานตามความรู้ ขณะที่ผลตรวจร่างกายพบไขมันมันในสูง ถุงลมโป่งพอง
วานนี้ (21 ม.ค.) นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง เดินทางมาที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา กรณี เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2548 - 28 เม.ย. 2549 ต่อเนื่องกัน นางพิชชาภา พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 ได้จัดทำคิวโฆษณารวม ในรายการ “คุย คุ้ยข่าว” ซึ่งก่อนออกอากาศนางพิชชาภา ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 1 จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน 658,996 บาท จากจำเลยที่ 2-4 เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภา ไม่รายงานการโฆษณา ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยหน้าที่และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ บมจ.อสมท โดยมีจำเลยที่ 2-4 เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในการกระทำผิด และมอบเช็คธนาคารธนชาติ สาขาพระราม 4 สั่งจ่ายเงินให้นางพิชชาภา
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยพิพากษาแก้ให้จำคุก นางพิชชาภา หรือนางชนาภา บุญโต อายุ 50 ปีเศษ อดีตพนักงาน บมจ.อสมท มีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา จาก 20 ปี เป็นจำคุก 12 ปี , ส่วนบจก.ไร่ส้ม จากปรับ 80,000 บาท เป็นปรับ 72,000 บาท , ส่วนนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 53 ปีเศษ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง และ น.ส.มณฑา ธีระเดช อายุ 46 ปีเศษ พนักงาน บจก.ไร่ส้ม จาก คุก 13 ปี 4 เดือนเป็นจำคุก 6 ปี 24 เดือน คดีบริษัท ไร่ส้มฯ เบี้ยวแจ้งการชำระค่าโฆษณาส่วนเกิน บมจ.อสมท จำนวน 138 ล้านบาท ของรายการ “คุย คุ้ย ข่าว” ระหว่างปี 2548-2549
สำหรับประเด็นปัญหาที่จำเลยได้ขอให้ลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษ โดยนายสรยุทธ ได้อ้างด้วยว่าเคยประกอบคุณงามความดีมาก่อน นั้นศาลวินิจฉัย นายสรยุทธ เป็นสื่อมวลชนอาวุโส และเป็นที่นับหน้าถือตาของบุคคลทั่วไป ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สื่อมวลชนอื่น กลับอาศัยโอกาสช่องว่างทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเอื้อประโยชน์แก่ตน มากระทำผิดเสียเอง ตามพฤติการณ์กระทำผิดของจำเลยจึงไม่เพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกให้ ฎีกาของจำเลยนี้ฟังไม่ขึ้น
ซึ่งภายหลังฟังคำพิพากษาแล้วนายสรยุทธก็ได้พูดคุยกับผู้ที่มาให้กำลังใจ โดยวันนี้มีนายประวิทย์ มาลีนนท์ อดีตผู้บริหารช่อง 3 มาร่วมให้กำลังใจ รวมกับผู้จัดละครชื่อดังของช่อง 3 และและกลุ่มผู้ประกาศของช่อง 3 ด้วย
จากใจ'สรยุทธ' ความยากลำบากเดียวคือ 'ทำใจ'
ภายหลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ทีมงานได้มีการโพสต์ข้อความถึงความในใจของอดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดังต่อเรื่องราวที่เกี่ยวกับตนเองผ่านอินสตาแกรม "sorrayuth9111" โดยระบุว่า... "ไม่ว่าผลคำพิพากษาวันนี้จะออกมาอย่างไร ผมยอมรับ เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตผมจากนี้ไปเอาไว้แล้ว" 2 ศาลพิพากษาว่าผมผิด พิพากษาจำคุกผม 13 ปี 5 เดือน ผมรู้ว่ามันคงยากที่จะหวังให้ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ผมได้รับอิสรภาพ
"ผมได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมาอย่างครบถ้วนแล้ว ผลออกมาอย่างไร ผมก็ต้องยอมรับ" ผมได้พยายามแสดงให้เห็นว่า ไร่ส้มโฆษณาเกิน ในขณะที่ อสมท.โฆษณาเกินมากยิ่งกว่า โดยไร่ส้มไม่เคยไปเบียดบังเวลาโฆษณาของ อสมท. แต่เมื่อเห็นว่าสถานีเป็นเจ้าของเวลา จะทำอะไรก็ได้ ผมก็ยอมรับกระบวนการโฆษณา ไม่เคยมีการปกปิด และถึงจะต้องการปกปิด ก็ปกปิดไม่ได้โดยเจ้าหน้าที่ธุรการเพียงคนเดียว โดยมีกระบวนการที่เปิดเผยเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมาเกินกว่า 500 ครั้ง เจ้าหน้าที่คนนี้ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้วผ่านใบคิวโฆษณาทุกวัน แต่เมื่อเห็นว่าโฆษณาเกินปกปิดได้ ผมก็ต้องยอมรับ
การจ่ายเช็คทั้ง 6 ฉบับ มีที่มาที่ไปว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้ทำงานเกี่ยวกับการขายโฆษณา มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างครบถ้วน ยอดเงินเป็นเศษสตางค์ และตัวเลขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโฆษณาเกินเลย แต่เมื่อเชื่อว่าเป็นการจ่ายสินบน ผมก็ต้องยอมรับเงินค่าโฆษณาเกิน 138 ล้าน ผมได้ชำระให้ อสมท.ไปครบถ้วนแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิดคดีความ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ผมไม่ทำให้ อสมท.เสียหาย แต่เมื่อมันชดใช้สิ่งที่เห็นว่าผิดไปแล้วไม่ได้ ผมก็ยอมรับ "
"ผมติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว ตลอด 4 ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้ "วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือ ทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้" ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะราง จุดต่ำสุดของชีวิต แต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่งในที่สุดที่จะได้นับหนึ่งใหม่"ขอบคุณทุกคนที่เจอกันก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้ จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ"
กรมราชทัณฑ์รับตัว'สรยุทธ'เข้าเรือนจำ
ด้านพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัวนายสรยุทธ เข้าไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และแยกนักโทษหญิง 2 ราย ไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง รับโทษตามคำพิพากษา
ทั้งนี้ หลังเข้าเรือนจำเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ก็ปฎิบัติต่อนายสรยุทธ และผู้ต้องขังหญิงอีก 2 ราย เหมือนผู้ต้องขังรายอื่นๆที่ต้องปฎิบัติตามระเบียบ คือ และส่งตัวไปแดนแรกรับเพื่อรอให้ปรับตัวได้ จากนั้นค่อยจำแนกไปไว้แดนอื่นๆ พร้อมให้ช่วยงานเรือนจำตามความเหมาะสม หรือตามความรู้ความสามารถของนายสรยุทธต่อไป
พบไขมันในเลือดสูง-ถุงลมโป่งพอง
พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากการตรวจร่างกายของนายสรยุทธ มีโรคประจำตัว ประกอบด้วย ไขมันในเลือดสูง มีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ แต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ร่วมกับมีเลือดออกในลำไส้ และโรคถุงลมโป่งพอง