ผู้จัดการรายวัน360- "ปิยบุตร"ร่ายยาว ปลุกประชาชนมาร่วมสู้ อ้างผู้ครองอำนาจไร้ความชอบธรรม เพียงแต่ปีที่ผ่านมาประชาชนยังสะสมพลังไม่มากพอที่จะโค่นล้ม ปีนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าช่วงชิง "เป๊ปซี่" แขวะ"ปิยบุตร" ยังไม่เลิกลิเก รอนับถอยหลังยุบอนาคตใหม่ เชื่อไม่มีพลิก "ส.ว.สมเจตน์" เตือนสติ "ธนาธร" ใช้ประเด็นที่สุ่มเสี่ยงแลกกับความแค้นส่วนตัว
วานนี้ (1ม.ค.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul มีเนื้อหาดังนี้
2562/2019 ผู้ครองอำนาจไม่หลงเหลือซึ่งความชอบธรรม ในขณะที่ประชาชนยังสะสมพลังไม่มากพอที่จะโค่นล้ม
“อำนาจ”ดำรงอยู่ได้ด้วย“การเชื่อฟัง” เมื่อไรก็ตามที่ผู้อยู่ใต้อำนาจยอมเชื่อฟัง ปฏิบัติตามในสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ หรือไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ผู้มีอำนาจไม่ต้องการ เมื่อนั้นความสัมพันธ์ทางอำนาจย่อมเกิดขึ้น หากปราศจากซึ่งการเชื่อฟัง ก็ถือได้ว่าอำนาจนั้นทำงานไม่ได้เสียแล้ว
คนจะเชื่อฟังอำนาจได้ ก็ต้องอาศัย 2 องค์ประกอบ 1. การยอมรับนับถือแบบยินยอมพร้อมใจ หรือ consent คนผู้อยู่ใต้อำนาจยอมทำตามโดยไม่ปริปาก ไม่ตั้งคำถาม พร้อมใจทำตามโดยไม่ต้องบังคับ เพราะ เขาเชื่อในอำนาจนั้น 2. การใช้กำลังบังคับให้เชื่อฟัง หรือ coercion คนผู้อยู่ใต้อำนาจไม่ยอมทำ ตั้งคำถาม สงสัย แต่ต้องยอมทำตาม เพราะถูกบังคับโดยกลไกรัฐ กฎหมาย ตำรวจ ทหาร ศาล คุก
อำนาจดำรงอยู่อย่างมั่นคง ถ้าทำงานด้วย consent
อำนาจดำรงอยู่อย่างเปราะบาง มีโอกาสล้มได้เสมอ ถ้าทำงานด้วย coercion
ที่ผ่านมาผู้ครองอำนาจประสบกับ “วิกฤตการณ์อำนาจนำ”เริ่มสูญเสียความชอบธรรม พวกเขาจึงต้องใช้ทุกวิธี ทุกวิถีทาง ใช้กำลังบังคับเพื่อรักษาอำนาจและครองอำนาจต่อไป
ตั้งแต่... รัฐประหาร 22 พ.ค.57 การใช้กำลังทางกายภาพ กำลังทางกฎหมาย เข้าปราบปรามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ล้ม ร่าง ล้ม ร่าง หลายครั้ง ออกแบบรัฐธรรมนูญชนิดที่ “โกง”ที่สุด รัฐธรรมนูญที่โฆษณาว่า “ปราบโกง”แต่จริงๆแล้ว มันคือ รัฐธรรมนูญที่ “โกงเวลา โกงโอกาส โกงอนาคต”ของประเทศไทย
กระบวนการออกเสียงประชามติที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้เป็นเครื่องมือในการแต่งหน้าทาปากว่ารัฐธรรมนูญนี้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน การเลื่อนเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ จนกว่ามั่นใจว่าพวกตัวเองจะชนะ การตั้งพรรคการเมืองเป็นเครื่องมือการสืบทอดอำนาจ การ “ดูด” นักการเมืองเข้าสังกัดโดยใช้กลวิธีและอิทธิพลต่างๆ กลไกรัฐที่สนับสนุนพวกตนเองในการเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตั้งที่เอื้อประโยชน์แก่พวกตนเอง
การออกแบบระบบเลือกตั้งที่มิให้พรรคการเมืองครองเสียงข้างมาก การจัดการเลือกตั้งที่ไม่ได้มาตรฐานจนไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรม การคำนวณคะแนนแบบพิสดาร นำคะแนนไปแบ่งทอนให้พรรคเล็ก ได้ 1 ที่นั่ง เพื่อกวาดต้อนเข้าร่วมรัฐบาล “สหพรรค”
การใช้ “นิติสงคราม” กำจัดศัตรูทางการเมือง
ระบบ “สองมาตรฐาน”ยอมเอาองค์กรตรวจสอบทั้งระบบเข้าแลกกับการกำจัดศัตรูทางการเมือง และรับรองการใช้อำนาจให้กับพวกตัวเอง ถ้าเป็นพวกเอ็ง ไม่รอด ถ้าเป็นพวกข้า รอดหมด “แจกกล้วย-งูเห่า” รัฐบาล “สหพรรค”ไร้เสถียรภาพ ส่งมอบนโยบายตามที่หาเสียงไม่ได้ และขัดแย้งกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล หักดิบมติสภาเพื่อไม่ให้มีคณะกรรมาธิการตรวจสอบประกาศ คำสั่ง คสช และการใช้ มาตรา 44 เป็นต้น
เรายอมทำลายทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผู้ครองอำนาจได้ครองอำนาจต่อไป ทำลายระบบรัฐธรรมนูญ ทำลายระบบรัฐสภา ทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุล ใช้งบประมาณแผ่นดินไปจุนเจือพวกพ้อง ความเหลื่อมล้ำขยายตัว ประเทศไทยยอมเสียต้นทุนมหาศาลเพื่อแลกกับการที่พวกเขาได้ครองอำนาจ รัฐธรรมนูญ 2560 ฐานอำนาจของการปกครองปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญที่ทั้งเปราะบางและแข็งกระด้าง
“เปราะบาง”เพราะ ไม่มีฐานความชอบธรรม แต่ดำรงอยู่ได้ด้วยกำลัง “แข็งกระด้าง”เพราะ มีผู้ต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่ออกแบบมาให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากมากจนแก้ไขไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ สภาพการณ์เช่นนี้ นำมาซึ่ง “ความตึงเครียด”ภายในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ 2560 กลายเป็นระเบิดเวลาที่ตั้งเวลารอระเบิด พลังที่ต้องการแก้ไขมีมาก แต่แก้ไม่ได้ พยายามเท่าไรก็แก้ไม่ได้
ประสบการณ์จากหลากหลายประเทศ บอกเราว่า รัฐธรรมนูญลักษณะแบบนี้ ในท้ายที่สุด จะจบลงได้ ถ้าไม่รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ก็ประชาชนลุกฮือ ฉีกรัฐธรรมนูญ
นี่คือระเบิดเวลา
หน้าที่ของ “ผู้แทนราษฎร”คือ การถอดสลักระเบิดเวลานี้ก่อนที่มันจะระเบิด หน้าที่ของสถาบันการเมืองทั้งหลาย คือ แก้ไขสถานการณ์ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น
แต่ถ้า “ผู้แทนราษฎร”และสถาบันการเมืองต่างๆ ที่กินภาษีประชาชน ยังคิดไม่ได้ คิดไม่ออก มองแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้า คิดแต่เรื่องอำนาจวาสนา ประโยชน์ที่ได้รับ นั่นก็เท่ากับว่า ผลักภาระไปให้กับ “ประชาชน”ในการต่อสู้ตามลำพัง
“ผู้แทนราษฎร”จะเป็น “ผู้แทน”ของ “ราษฎร”ได้ ต้องต่อสู้ร่วมกันกับประชาชน
“ผู้แทนราษฎร" มิใช่ "ผู้ใต้บังคับบัญชาคณะรัฐประหารสืบทอดอำนาจ"
หากต้องสรุปปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปี 2562 ด้วยประโยคเดียว ผมคงสรุปว่า ปี 2562/2019 คือ ปีที่แสดงให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดว่า ผู้ครองอำนาจไม่หลงเหลือซึ่งความชอบธรรมใดอีกแล้ว ในขณะเดียวกัน ประชาชนก็ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะโค่นล้มผู้ครองอำนาจได้
สภาวการณ์เช่นนี้ คล้ายคลึงกับที่ อันโตนิโอ กรัมชี่ บอกไว้ว่า เมื่อสิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่ยังไม่ตาย ในขณะที่สิ่งใหม่จะเกิด ก็ยังเกิดไม่ได้ วิกฤตการย่อมปรากฏขึ้น
ผู้ครองอำนาจ พยายามรักษาอำนาจ และสถาปนาอำนาจของพวกเขาฝังตัวไปในระบอบมากขึ้น แต่เรา... ประชาชน ก็ต้องต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจ และสถาปนาอำนาจนำใหม่ของพวกเรา หากเรานิ่งดูดาย เฝ้าแต่คิดว่า เวลาอยู่ข้างเรา เวลาที่ว่าอาจไม่มาถึง และพวกเขาจะใช้เวลานี้ในการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ และสถาปนาระบอบที่พวกเขาปรารถนาได้สำเร็จ
นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พวกเราต้องพร้อมใจกันต่อต้านอำนาจอันเปราะบางของพวกเขา อย่าปล่อยให้พวกเขาติดตั้งระบอบของเขาได้สำเร็จ แม้เริ่มต้นจะยาก แม้ระหว่างทางจะมองไม่เห็นทางชนะ แต่ก็ต้องพยายาม
ปี 2562/2019 เป็นปีแห่งความเปราะบางของผู้ครองอำนาจ ผู้ครองอำนาจไม่หลงเหลือความชอบธรรมที่ค้ำจุนอำนาจอีกต่อไป แต่พวกเขาก็ใช้พละกำลังเฮือกสุดท้าย ใช้ทุกวิธีเพื่อรักษาอำนาจต่อ
ปี 2563/2020 จะต้องเป็นปีแห่งการต่อสู้ของ “ประชาชน”คนส่วนใหญ่-คนธรรมดา ผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้ นี่คือ ห้วงเวลาประชาชนเป็นใหญ่ นี่คือ โอกาสสำคัญในการเข้าช่วงชิง
'เป๊ปซี่'นับถอยหลังยุบอนค.แน่
ด้านนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ "เป๊ปซี่" ผู้สื่อข่าวอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊ก "Sermsuk Kasitipradit"ระบุถึงพฤติกรรม "ปิยบุตร"ยังไม่เลิกลิเก นับถอยหลังอีก 20 วัน ไม่ใช่ลุ้นเกมพลิก แต่ลุ้นเสียงข้างมาก หรือเป็นเอกฉันท์
"ปิยบุตร ยังไม่เลิกลิเก หัวเขียวช่วยอวย พฤติกรรมจาบจ้วงโจมตีให้ร้ายสถาบันฯทำมาตลอดร่วมกับแกนนำพรรค สังคมรับรู้ได้พฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงโดยตรง... นับถอยหลัง อีก 20 วัน รับประกันได้ดูดำดูดีแน่นวล ไม่ใช่ลุ้นเกมพลิก แต่ลุ้นเสียงข้างมาก หรือเป็นเอกฉันท์แจ่มจันทร์...
เสาร์ 4 ม.ค. ไลฟ์สดเฟซบุ๊ก ยาวยาว กับคำร้องต้นฉบับฟ้องยุบ อนค. เนื้อหาสาระอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญ ถึงมีมติ 5-4 รับคำร้อง..เรียนเชิญ อาบน้ำปะแป้งตรางูรอ รอแจ้งเวลาอีกทีครับ"
ซัด"ธนาธร"เอาเรื่องส่วนตัวมาเล่นการเมือง
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่า ขณะนี้ธนาธร กำลังนำความแค้นส่วนตัว จากการถูกวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. มาต่อสู้เพื่อหาความชอบธรรมให้แก่ตน โดยเลือกประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายความมั่นคงของชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายให้ข้อมูลบิดเบือน โจมตีประเทศชาติให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในสายตาต่างชาติ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นการทำลายจิตสำนึกต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกผู้ชายชาวไทย ที่มีต่อประเทศชาติ หรือ การสร้างความรู้สึกถึงความแปลกแยก ให้เกิดขึ้นในกลุ่มชาติพันธุ์ต่อแผ่นดินเกิด ซึ่งทุกประเด็นของความมั่นคง ที่ธนาธรยกขึ้นมาหาเสียง กว่าที่ผู้ที่รับผิดชอบในอดีตทั้ง พลเรือน ตำรวจและทหาร จะสร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคงให้แก่ประเทศชาติได้นั้น เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง ต้องเสียสละแม้กระทั่งชีวิตและร่างกาย แต่กำลังจะถูกธนาธร ทำลายไป ด้วยเพียงลมปากที่ใช้หาเสียงเพื่อประโยชน์แห่งตน แต่ขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน
จึงอยากฝากความเห็นเพื่อเตือนสติ ถึง ธนาธร ว่าการดำเนินงานทางการเมืองนั้น ต้องมุ่งสร้างประโยชน์สุข ให้เกิดต่อประเทศชาติและประชาชน อย่ามุ่งเอาชนะโดยใช้ความมั่นคงของชาติเป็นเครื่องมือต่อรอง เพื่อประโยชน์แห่งตน อย่างขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบเช่นนี้
วานนี้ (1ม.ค.) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul มีเนื้อหาดังนี้
2562/2019 ผู้ครองอำนาจไม่หลงเหลือซึ่งความชอบธรรม ในขณะที่ประชาชนยังสะสมพลังไม่มากพอที่จะโค่นล้ม
“อำนาจ”ดำรงอยู่ได้ด้วย“การเชื่อฟัง” เมื่อไรก็ตามที่ผู้อยู่ใต้อำนาจยอมเชื่อฟัง ปฏิบัติตามในสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ หรือไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ผู้มีอำนาจไม่ต้องการ เมื่อนั้นความสัมพันธ์ทางอำนาจย่อมเกิดขึ้น หากปราศจากซึ่งการเชื่อฟัง ก็ถือได้ว่าอำนาจนั้นทำงานไม่ได้เสียแล้ว
คนจะเชื่อฟังอำนาจได้ ก็ต้องอาศัย 2 องค์ประกอบ 1. การยอมรับนับถือแบบยินยอมพร้อมใจ หรือ consent คนผู้อยู่ใต้อำนาจยอมทำตามโดยไม่ปริปาก ไม่ตั้งคำถาม พร้อมใจทำตามโดยไม่ต้องบังคับ เพราะ เขาเชื่อในอำนาจนั้น 2. การใช้กำลังบังคับให้เชื่อฟัง หรือ coercion คนผู้อยู่ใต้อำนาจไม่ยอมทำ ตั้งคำถาม สงสัย แต่ต้องยอมทำตาม เพราะถูกบังคับโดยกลไกรัฐ กฎหมาย ตำรวจ ทหาร ศาล คุก
อำนาจดำรงอยู่อย่างมั่นคง ถ้าทำงานด้วย consent
อำนาจดำรงอยู่อย่างเปราะบาง มีโอกาสล้มได้เสมอ ถ้าทำงานด้วย coercion
ที่ผ่านมาผู้ครองอำนาจประสบกับ “วิกฤตการณ์อำนาจนำ”เริ่มสูญเสียความชอบธรรม พวกเขาจึงต้องใช้ทุกวิธี ทุกวิถีทาง ใช้กำลังบังคับเพื่อรักษาอำนาจและครองอำนาจต่อไป
ตั้งแต่... รัฐประหาร 22 พ.ค.57 การใช้กำลังทางกายภาพ กำลังทางกฎหมาย เข้าปราบปรามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ล้ม ร่าง ล้ม ร่าง หลายครั้ง ออกแบบรัฐธรรมนูญชนิดที่ “โกง”ที่สุด รัฐธรรมนูญที่โฆษณาว่า “ปราบโกง”แต่จริงๆแล้ว มันคือ รัฐธรรมนูญที่ “โกงเวลา โกงโอกาส โกงอนาคต”ของประเทศไทย
กระบวนการออกเสียงประชามติที่ไม่ได้มาตรฐาน ใช้เป็นเครื่องมือในการแต่งหน้าทาปากว่ารัฐธรรมนูญนี้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน การเลื่อนเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ จนกว่ามั่นใจว่าพวกตัวเองจะชนะ การตั้งพรรคการเมืองเป็นเครื่องมือการสืบทอดอำนาจ การ “ดูด” นักการเมืองเข้าสังกัดโดยใช้กลวิธีและอิทธิพลต่างๆ กลไกรัฐที่สนับสนุนพวกตนเองในการเลือกตั้ง การแบ่งเขตเลือกตั้งที่เอื้อประโยชน์แก่พวกตนเอง
การออกแบบระบบเลือกตั้งที่มิให้พรรคการเมืองครองเสียงข้างมาก การจัดการเลือกตั้งที่ไม่ได้มาตรฐานจนไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนได้ว่าเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรม การคำนวณคะแนนแบบพิสดาร นำคะแนนไปแบ่งทอนให้พรรคเล็ก ได้ 1 ที่นั่ง เพื่อกวาดต้อนเข้าร่วมรัฐบาล “สหพรรค”
การใช้ “นิติสงคราม” กำจัดศัตรูทางการเมือง
ระบบ “สองมาตรฐาน”ยอมเอาองค์กรตรวจสอบทั้งระบบเข้าแลกกับการกำจัดศัตรูทางการเมือง และรับรองการใช้อำนาจให้กับพวกตัวเอง ถ้าเป็นพวกเอ็ง ไม่รอด ถ้าเป็นพวกข้า รอดหมด “แจกกล้วย-งูเห่า” รัฐบาล “สหพรรค”ไร้เสถียรภาพ ส่งมอบนโยบายตามที่หาเสียงไม่ได้ และขัดแย้งกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล หักดิบมติสภาเพื่อไม่ให้มีคณะกรรมาธิการตรวจสอบประกาศ คำสั่ง คสช และการใช้ มาตรา 44 เป็นต้น
เรายอมทำลายทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผู้ครองอำนาจได้ครองอำนาจต่อไป ทำลายระบบรัฐธรรมนูญ ทำลายระบบรัฐสภา ทำลายระบบตรวจสอบถ่วงดุล ใช้งบประมาณแผ่นดินไปจุนเจือพวกพ้อง ความเหลื่อมล้ำขยายตัว ประเทศไทยยอมเสียต้นทุนมหาศาลเพื่อแลกกับการที่พวกเขาได้ครองอำนาจ รัฐธรรมนูญ 2560 ฐานอำนาจของการปกครองปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญที่ทั้งเปราะบางและแข็งกระด้าง
“เปราะบาง”เพราะ ไม่มีฐานความชอบธรรม แต่ดำรงอยู่ได้ด้วยกำลัง “แข็งกระด้าง”เพราะ มีผู้ต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่ออกแบบมาให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากมากจนแก้ไขไม่ได้เลยในทางปฏิบัติ สภาพการณ์เช่นนี้ นำมาซึ่ง “ความตึงเครียด”ภายในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ 2560 กลายเป็นระเบิดเวลาที่ตั้งเวลารอระเบิด พลังที่ต้องการแก้ไขมีมาก แต่แก้ไม่ได้ พยายามเท่าไรก็แก้ไม่ได้
ประสบการณ์จากหลากหลายประเทศ บอกเราว่า รัฐธรรมนูญลักษณะแบบนี้ ในท้ายที่สุด จะจบลงได้ ถ้าไม่รัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ก็ประชาชนลุกฮือ ฉีกรัฐธรรมนูญ
นี่คือระเบิดเวลา
หน้าที่ของ “ผู้แทนราษฎร”คือ การถอดสลักระเบิดเวลานี้ก่อนที่มันจะระเบิด หน้าที่ของสถาบันการเมืองทั้งหลาย คือ แก้ไขสถานการณ์ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น
แต่ถ้า “ผู้แทนราษฎร”และสถาบันการเมืองต่างๆ ที่กินภาษีประชาชน ยังคิดไม่ได้ คิดไม่ออก มองแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้า คิดแต่เรื่องอำนาจวาสนา ประโยชน์ที่ได้รับ นั่นก็เท่ากับว่า ผลักภาระไปให้กับ “ประชาชน”ในการต่อสู้ตามลำพัง
“ผู้แทนราษฎร”จะเป็น “ผู้แทน”ของ “ราษฎร”ได้ ต้องต่อสู้ร่วมกันกับประชาชน
“ผู้แทนราษฎร" มิใช่ "ผู้ใต้บังคับบัญชาคณะรัฐประหารสืบทอดอำนาจ"
หากต้องสรุปปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปี 2562 ด้วยประโยคเดียว ผมคงสรุปว่า ปี 2562/2019 คือ ปีที่แสดงให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดว่า ผู้ครองอำนาจไม่หลงเหลือซึ่งความชอบธรรมใดอีกแล้ว ในขณะเดียวกัน ประชาชนก็ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะโค่นล้มผู้ครองอำนาจได้
สภาวการณ์เช่นนี้ คล้ายคลึงกับที่ อันโตนิโอ กรัมชี่ บอกไว้ว่า เมื่อสิ่งเก่ากำลังจะตาย แต่ยังไม่ตาย ในขณะที่สิ่งใหม่จะเกิด ก็ยังเกิดไม่ได้ วิกฤตการย่อมปรากฏขึ้น
ผู้ครองอำนาจ พยายามรักษาอำนาจ และสถาปนาอำนาจของพวกเขาฝังตัวไปในระบอบมากขึ้น แต่เรา... ประชาชน ก็ต้องต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจ และสถาปนาอำนาจนำใหม่ของพวกเรา หากเรานิ่งดูดาย เฝ้าแต่คิดว่า เวลาอยู่ข้างเรา เวลาที่ว่าอาจไม่มาถึง และพวกเขาจะใช้เวลานี้ในการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ และสถาปนาระบอบที่พวกเขาปรารถนาได้สำเร็จ
นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พวกเราต้องพร้อมใจกันต่อต้านอำนาจอันเปราะบางของพวกเขา อย่าปล่อยให้พวกเขาติดตั้งระบอบของเขาได้สำเร็จ แม้เริ่มต้นจะยาก แม้ระหว่างทางจะมองไม่เห็นทางชนะ แต่ก็ต้องพยายาม
ปี 2562/2019 เป็นปีแห่งความเปราะบางของผู้ครองอำนาจ ผู้ครองอำนาจไม่หลงเหลือความชอบธรรมที่ค้ำจุนอำนาจอีกต่อไป แต่พวกเขาก็ใช้พละกำลังเฮือกสุดท้าย ใช้ทุกวิธีเพื่อรักษาอำนาจต่อ
ปี 2563/2020 จะต้องเป็นปีแห่งการต่อสู้ของ “ประชาชน”คนส่วนใหญ่-คนธรรมดา ผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้ นี่คือ ห้วงเวลาประชาชนเป็นใหญ่ นี่คือ โอกาสสำคัญในการเข้าช่วงชิง
'เป๊ปซี่'นับถอยหลังยุบอนค.แน่
ด้านนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ "เป๊ปซี่" ผู้สื่อข่าวอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊ก "Sermsuk Kasitipradit"ระบุถึงพฤติกรรม "ปิยบุตร"ยังไม่เลิกลิเก นับถอยหลังอีก 20 วัน ไม่ใช่ลุ้นเกมพลิก แต่ลุ้นเสียงข้างมาก หรือเป็นเอกฉันท์
"ปิยบุตร ยังไม่เลิกลิเก หัวเขียวช่วยอวย พฤติกรรมจาบจ้วงโจมตีให้ร้ายสถาบันฯทำมาตลอดร่วมกับแกนนำพรรค สังคมรับรู้ได้พฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงโดยตรง... นับถอยหลัง อีก 20 วัน รับประกันได้ดูดำดูดีแน่นวล ไม่ใช่ลุ้นเกมพลิก แต่ลุ้นเสียงข้างมาก หรือเป็นเอกฉันท์แจ่มจันทร์...
เสาร์ 4 ม.ค. ไลฟ์สดเฟซบุ๊ก ยาวยาว กับคำร้องต้นฉบับฟ้องยุบ อนค. เนื้อหาสาระอย่างไร ศาลรัฐธรรมนูญ ถึงมีมติ 5-4 รับคำร้อง..เรียนเชิญ อาบน้ำปะแป้งตรางูรอ รอแจ้งเวลาอีกทีครับ"
ซัด"ธนาธร"เอาเรื่องส่วนตัวมาเล่นการเมือง
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่า ขณะนี้ธนาธร กำลังนำความแค้นส่วนตัว จากการถูกวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. มาต่อสู้เพื่อหาความชอบธรรมให้แก่ตน โดยเลือกประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายความมั่นคงของชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายให้ข้อมูลบิดเบือน โจมตีประเทศชาติให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในสายตาต่างชาติ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นการทำลายจิตสำนึกต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกผู้ชายชาวไทย ที่มีต่อประเทศชาติ หรือ การสร้างความรู้สึกถึงความแปลกแยก ให้เกิดขึ้นในกลุ่มชาติพันธุ์ต่อแผ่นดินเกิด ซึ่งทุกประเด็นของความมั่นคง ที่ธนาธรยกขึ้นมาหาเสียง กว่าที่ผู้ที่รับผิดชอบในอดีตทั้ง พลเรือน ตำรวจและทหาร จะสร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคงให้แก่ประเทศชาติได้นั้น เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่ง ต้องเสียสละแม้กระทั่งชีวิตและร่างกาย แต่กำลังจะถูกธนาธร ทำลายไป ด้วยเพียงลมปากที่ใช้หาเสียงเพื่อประโยชน์แห่งตน แต่ขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน
จึงอยากฝากความเห็นเพื่อเตือนสติ ถึง ธนาธร ว่าการดำเนินงานทางการเมืองนั้น ต้องมุ่งสร้างประโยชน์สุข ให้เกิดต่อประเทศชาติและประชาชน อย่ามุ่งเอาชนะโดยใช้ความมั่นคงของชาติเป็นเครื่องมือต่อรอง เพื่อประโยชน์แห่งตน อย่างขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบเช่นนี้