xs
xsm
sm
md
lg

อุดมการณ์การเมือง (๑๓-๒): ฟาสซิสต์กับรัฐและเชื้อชาติ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 ฮิตเลอร์ | จอมพล ป.พิบูลสงคราม
"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

แม้เราสามารถระบุค่านิยมและหลักการร่วมของฟาสซิสต์ได้ก็ตาม ทว่าจากเงื่อนไขเชิงประวัติศาสตร์ของการกำเนิดลัทธินี้มีจุดเน้นแตกต่างกัน ฟาสซิสต์อิตาลีเน้นอุดมคติการสร้างรัฐที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือที่เรียกว่า “ลัทธิรัฐนิยม” (statism) ขณะที่นาซีเยอรมันเน้นความสำคัญของเชื้อชาติและลัทธิเชื้อชาตินิยม (racialism)

การทำความเข้าใจกับรัฐฟาสซิสต์นั้น มีแนวคิดหนึ่งที่สามารถใช้ทำความเข้าใจได้ค่อนข้างดีคือ ลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ (totalitarianism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงสงครามเย็น นักวิชาการได้ใช้แนวคิดนี้อธิบายรูปลักษณ์ของการใช้อำนาจแบบป่าเถื่อนของระบบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต และแนวคิดนี้ก็มีความเหมาะสมในการนำมาอธิบายฟาสซิสต์ด้วย เพราะรัฐฟาสซิสต์มีความคล้ายคลึงกับรัฐของสหภาพโซเวียต อย่างน้อยสามแง่มุม

อย่างแรกคือการรวมหมู่แบบสุดขั้ว ซึ่งเป็นหัวใจของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ เป้าหมายของรัฐคือสร้าง “มนุษย์ฟาสซิสต์” ที่มีความจงรักภักดีต่อรัฐ ทุ่มเทเสียสละให้แก่รัฐ และเชื่อฟังรัฐอย่างปราศจากเงื่อนไข การเป็นมนุษย์ฟาสซิสต์นั้นเป็นการขจัดช่องว่างระหว่างชีวิตสาธารณะกับชีวิตส่วนตัวให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าสิ่งที่ดีต่อส่วนรวม ชาติ และเชื้อชาติ ย่อมมาก่อนผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลเสมอ ด้วยเหตุนี้ตัวตนขององค์รวมจะกลืนกินตัวตนของปัจเจกบุคคคลอย่างสมบูรณ์

อย่างที่สอง ผู้นำฟาสซิสต์เป็นผู้นำหรือองค์อธิปัตย์ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และสามารถใช้อำนาจอย่างไม่มีข้อจำกัดหรือปราศจากขอบเขต ไม่มีองค์กรหรือสถาบันใดในสังคมสามารถตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจได้ การมีและใช้อำนาจลักษณะนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของเสรีนิยมที่แยกอำนาจระหว่างรัฐกับประชาสังคม ผู้นำรัฐฟาสซิสต์เชื่อมโยงสัมพันธ์โดยตรงกับประชาชน ไม่ต้องอาศัยสถาบันทางสังคมใดเป็นตัวกลาง สิ่งนี้มีนัยว่า ความเป็นพลเมืองของรัฐจะถูกแสดงออกโดยการมีส่วนร่วมและความผูกพันของประชาชนกับผู้นำรัฐ และนั่นก็คือ กระบวนการสร้างมวลชนทางการเมือง หรือ การเมืองแบบมวลชนนั่นเอง

อย่างที่สาม เอกะความเชื่อ หรือความเชื่อในค่านิยมเดียวว่าเป็นเพียงแหล่งเดียวของสัจธรรม ทำให้ฟาสซิสต์ผูกขาดความจริงในสังคม มีรัฐเพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่กำหนดว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความดี และรัฐไม่ยอมรับการตีความความจริงอย่างอื่นที่แตกต่างหรือท้าทายรัฐ ไม่ว่ากระทำโดยสถาบันทางสังคมอื่นใดก็ตาม การผูกขาดความเชื่อ ความคิด และความจริงจึงไม่อาจเข้ากันได้กับความคิดแบบพหุนิยมและเสรีภาพของพลเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย

ภายใต้รัฐฟาสซิสต์ สภาพของสังคมจะเป็นไปในลักษณะที่ว่า “สรรพสิ่งทั้งปวงเป็นไปเพื่อรัฐ ไม่มีสิ่งใดต่อต้านรัฐ และไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือรัฐ” รัฐกลายเป็นเจ้าชีวิตของพลเมืองในทุกมิติ และภาระหน้าที่ทางการเมืองของปัจเจกบุคคลคือ การเชื่อฟังรัฐและผนึกรวมกับรัฐอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่ารัฐทำอะไร ประชาชนต้องไม่ถาม และไม่ว่ารัฐประสงค์สิ่งใด ประชาชนก็มีหน้าที่ในการตอบสนองและเสียสละเพื่อรัฐ

อย่างไรก็ตาม ลัทธินาซีมิได้เทิดทูนบูชารัฐในลักษณะเดียวกับลัทธิฟาสซิสต์ แต่มองว่ารัฐเป็นกลไกหรือเครื่องมือหรือวิถีการในการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย ฮิตเลอร์ มองรัฐเป็นเพียงนาวาเท่านั้น ซึ่งแสดงว่า การสร้างอำนาจมิได้มาจากรัฐ หากแต่มาจาก “เชื้อชาติ” หรือ “เผ่าพันธุ์” โดยเฉพาะชาวเยอรมัน อย่างไรก็ตามรัฐบาลนาซีใช้รัฐในรูปแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งกว่าฟาสซิสต์ด้วยซ้ำ รัฐนาซีใช้การปราบปรามฝ่ายค้านหรือฝ่ายที่พวกเขามองว่าเป็นปรปักษ์อย่างป่าเถื่อนและมีประสิทธิผล และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการขยายการควบคุมทางการเมืองต่อสื่อมวลชน ศิลปวัฒนธรรม การศึกษา และองค์กรเยาวชน

กล่าวในเชิงเปรียบเทียบ แม้ว่ารัฐฟาสซิสต์จะสมาทานลัทธิเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ทว่าการปฏิบัติการของรัฐมีความคล้ายคลึงกับเผด็จการแบบดั้งเดิมหรือเผด็จการโดยบุคคลมากว่าเผด็จการแบบเสร็จโดยรัฐ ดังในประเทศอิตาลี สถาบันกษัตริย์ยังคงดำรงอยู่ได้ในยุคฟาสซิสต์ เช่นเดียวกันกับผู้นำท้องถิ่นก็ยังคงมีอำนาจอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในภาคใต้ของประเทศอิตาลี และสถาบันศาสนาก็ยังคงมีอำนาจและอภิสิทธิ์ตลอดช่วงฟาสซิสต์ ซึ่งแตกต่างจากเผด็จการเบ็ดเสร็จของระบอบคอมมิวนิสต์ ที่อำนาจทุกอย่างถูกรวมศูนย์อยู่ที่รัฐ

แม้ว่าฟาสซิสต์อิตาลีเทิดทูนรัฐ ทว่ามิได้มีความพยายามขยายไปสู่การสร้างระบบเศรษฐกิจรวมหมู่แบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าฟาสซิสต์มุ่งเน้นในเรื่องการเปลี่ยนรูปจิตสำนึกของมนุษย์มากกว่าโครงสร้างสังคม ลักษณะรัฐแบบนี้ มุสโสลินีอธิบายว่าเป็นทางเลือกที่สาม ซึ่งมิใช่ทั้งสังคมนิยมและทุนนิยม ลักษณะของรัฐแบบนี้เข้ากันได้กับรัฐแบบ “สหการณ์นิยม” (corporatism)

ลัทธิสหการณ์นิยมต่อต้านทั้งระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีและแบบวางแผนโดยรัฐ โดยมองว่าตลาดเสรีจะนำไปสู่การแสวงหากำไรอย่างไร้ขอบเขตของปัจเจกบุคคล ขณะที่การแผนโดยรัฐเชื่อมโยงกับความคิดการแตกแยกทางชนชั้น ขณะที่สหการณ์นิยมตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่านักธุรกิจและผู้ใช้แรงงานมีความผูกพันกันในรูปลักษณ์ขององค์อินทรีย์และองค์รวมที่มีจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน วิสัยทัศน์แบบองค์รวมตั้งอยู่บนฐานคติที่ว่า ชนชั้นทางสังคมมิได้มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน หากแต่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ ทัศนะแบบนี้ได้รับอิทธิพลมาจากความคิดทางสังคมของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกดั้งเดิม ที่เน้นว่าทุกชนชั้นทางสังคมมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันด้วยหน้าที่และพันธกิจร่วมกัน ความคิดแบบนี้ตรงข้ามกับความคิดของศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งเน้นค่านิยมเรื่องการทำงานหนักของปัจเจกบุคคล

ความปรองดองสมานท์ทางสังคมระหว่างภาคธุรกิจและภาคแรงงานได้สร้างความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและศีลธรรม อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ทางชนชั้นเช่นนี้ต้องมีรัฐเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง ซึ่งจะเป็นการสร้างหลักประกันว่าผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนผลประโยชน์ของชนชั้น ทว่าในทางปฏิบัติ รัฐสหการณ์เป็นเพียงคำขวัญทางอุดมการณ์เท่านั้น ส่วนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่แท้จริงล้วนถูกควบคุมโดยรัฐฟาสซิสต์ทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในอิตาลีช่วงฟาสซิสต์ครองเมืองคือ ชนชั้นผู้ใช้แรงงานถูกบ่อนทำลายจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่นักธุรกิจก็ถูกคุกคามโดยรัฐบาลฟาสซิสต์

สำหรับในเรื่องเชื้อชาติ ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่ามิใช่ทุกรูปแบบของฟาสซิสต์จะเป็นลัทธิเชื้อชาตินิยม เช่นเดียวกัน มิใช่ว่าชาวเชื้อชาตินิยมทั้งมวลจะเป็นฟาสซิสต์ ดังในอิตาลี รัฐฟาสซิสต์ดำรงฐานะเหนือปัจเจกบุคคล และขึ้นเจตจำนงของผู้นำแบบมุสโสลินี ดังนี้รูปแบบรัฐฟาสซิสต์แบบนี้จึงมีลักษณะเป็น “รัฐตามเจตจำนงของผู้นำ” ซึ่งผนึกรวมประชาชนทั้งมวลเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา และสีผิวใดด็ตาม ขณะที่รัฐนาซีนั้น เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์สำคัญและมีคุณค่าเหนือว่าสิ่งใดทั้งมวล

คำว่า “เชื้อชาติ” มีนัยว่ามนุษยชาติมีความแตกต่างทางด้านชีวภาพและพันธุกรรม เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงเชื้อชาติ ซึ่งถูกกำหนดโดยการเกิดหรือตามเชื้อชาติของบิดามารดา สัญลักษณ์ของเชื้อชาติแสดงออกโดยสีผิว สีผม ลักษณะกายภาพและสายเลือด ซึ่งมีความคงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เชื้อชาติและการจำแนกเชื้อชาติตามสีผิวเป็นผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ใช้อย่างแพร่หลายในตะวันตกช่วงศตวรรษที่ ๑๙ ภายความคิดแบบจักรวรรดินิยมที่คิดเอาเองว่า คนผิวขาวเหนือกว่าทุกสีผิวในโลกใบนี้

อุดมการณ์นาซีเป็นการผสมผสานระหว่างลัทธิดาร์วินทางสังคมและการต่อต้านชาวยิว การต่อต้านชาวยิวดำรงอยู่ในการเมืองยุโรป โดยเฉพาะยุโรปตะวันออกตั้งแต่ยุคศาสนาคริสต์ครองเมือง ชาวคริสต์ดั้งเดิมเชื่อว่าชาวยิวต้องรับผิดชอบต่อการตายของพระเยซู และการไม่ยอมเข้ารีตเป็นคริสเตียนหมายถึงการปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูและเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณที่อมตะของพวกเขาเอง การเชื่อมโยงระหว่างชาวยิวและความชั่วร้าย จึงมิใช่เป็นการสร้างขึ้นใหม่โดยนาซี หากแต่มีรากลึกถึงยุคกลาง ที่ชาวยิวถูกกำหนดและจำกัดให้อาศัยและตั้งถิ่นฐานเฉพาะในบางพื้นที่ และกีดกันออกจากสังคม

การต่อต้านชาวยิวมีความเข้มข้นมากขึ้นในศตวรรษที่ ๑๙ อันเป็นผลมาจากการขยายของลัทธิชาตินิยมและจักรวรรดินิยมของประเทศในยุโรป การสร้างลัทธิเชื้อชาตินิยมยุคนี้มีการนำวิทยาศาสตร์เทียมมาอ้างอิง เช่น แนวคิดลำดับชั้นของเชื้อชาติ ที่ระบุว่าเชื้อชาติที่สร้างสรรค์คือพวกผิวขาว ซึ่งเรียกว่า เผ่าอารยัน ขณะที่ชาวยิวถูกระบุว่าไม่มีการสร้างสรรค์ ความคิดเกี่ยวกับอารยันได้ถูกเผยแพร่สู่เยอรมัน และชนชั้นของเยอรมันยุคนั้นเชื่อว่าการพัฒนาวัฒนธรรมทั้งมวลของเยอรมันมาจากเผ่าอารยัน ขณะที่ชาวยิวถูกทำให้เป็นแพะรับบาปต่อความเสียหายทั้งปวงของเยอรมัน

ฮิตเลอร์ได้จำแนกเชื้อชาติในโลกออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือ ชาวอารยัน ซึ่งเป็นเชื้อชาติที่เป็นนายเหนือเชื้อชาติทั้งปวง เป็นผู้วางรากฐานและสร้างวัฒนธรรม และผู้สร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าในโลกนี้ ทั้งศิลป ดนตรี วรรณกรรม และปรัชญาหรือความคิดทางการเมือง กลุ่มที่สองคือ ผู้ใช้ทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเชื้อชาติที่สามารถใช้ความคิดและสิ่งประดิษฐ์ของชาวเยอรมันได้ แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใดได้ และกลุ่มสุดท้ายคือชาวยิว ซึ่งฮิตเลอร์อธิบายว่าเป็นผู้ทำลายวัฒนธรรม ต่อต้านและทำลายสิ่งที่ทรงคุณค่าและสร้างสรรค์ของชาวอารยัน

นาซีมองชาวยิวเป็นสิ่งชั่วร้ายและเป็นปรปักษ์ที่ต้องถูกกวาดล้างให้หมดสิ้น ในสงครามโลกครั้งที่สองนาซีได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเป็นจำนวนมากประมาณ ๖ ล้านคน และแม้ว่านาซีจะล่มสลายไปแล้ว แต่ลัทธิเชื้อชาตินิยมมิได้หายไป หากแต่ยังดำรงอิทธิพลทางการเมืองไม่น้อยอยู่ในหลายประเทศ

สำหรับประเทศไทย มีร่องรอยของการแนวคิดฟาสซิสต์แบบอิตาลีมาใช้ในยุคที่มีจอมพลป. เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้นโยบายรัฐนิยม และการเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย เป็นต้น สำหรับในปัจจุบันความคิดแบบฟาสซิสต์ในสังคมไทยมิได้หายไป หากแต่มีการแปลงรูปปรับลักษณ์และกำลังก่อตัวอย่างช้า ๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น