xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รถไฟความเร็ว “เสียว” เสียวทั้ง “ซีพี” เสียวทั้ง “รัฐบาล”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เข้า “โค้งสุดท้าย” แล้ว! สำหรับ “โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” คือ “ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา” ที่ทำเอาบรรดา “ตัวละคร” ที่เกี่ยวข้อง “เสียว” กันไปทั่ว ทั้ง “ฝ่ายรัฐและฝ่ายเอกชน” จนต้องเลื่อน “เส้นตายการลงนามเซ็นสัญญา” ออกไปเป็นวันที่ 25 ตุลาคม 2562

ก็จะไม่ “เสียว” ได้อย่างไร เพราะถ้าหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันจะส่งผลกระเทือนกับ “บิ๊ก โปรเจกต์” อย่าง “โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ อีอีซี ที่ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจและประธานอีอีซี”หมายมั่นปั้นมือจะฝากผลงานทิ้งไว้ให้ลูกหลาน “ล้มไม่เป็นท่า” ได้

เช่นเดียวกับ “ทีมภูมิใจไทย” นำโดย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแท็กทีมกับรัฐมนตรีคู่ใจ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องปวดหัวอยู่ไม่น้อยว่า “ทีม CPH” บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพีที่มีพันธมิตรอย่าง ช.การช่าง-อิตาเลียนไทยฯ และ บริษัท ไชน่า เรลเวยส์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชัน จำกัด จากประเทศจีน จะ “หงายไพ่” อะไรออกมาหลังจาก “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” ผู้เป็น “บิ๊กบอส” ตัดสินใจลงมาเล่นเองโดยพุ่งเป้าไปที่ประเด็น “ความเสี่ยง” ที่กลุ่มซีพีต้องแบกรับ

ด้วยสาเหตุจากการที่นายศักดิ์สยาม รุกไล่ CPH ไม่หยุดยั้ง ทั้งขีดเส้นให้รีบเซ็นสัญญาทั้งที่ปัญหาการส่งมอบที่ดินยังเคลียร์ไม่จบ ทั้งขู่จะริบเงินประกันซอง 2 พันล้าน ทั้งยังจะขึ้นแบล็กลิสต์ห้ามเข้าประมูลงานของรัฐหากยังเยื้อต่อและถอนตัว จนเป็นที่น่าสงสัยว่ามีอะไรในกอไผ่หรือไม่ อย่างไร

เบื้องหน้าเบื้องหลังของความหวาดเสียวคราวนี้ มี “อะไรทับซ้อน” หรือไม่ “เสี่ยหนู” คงรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ “น้ำท่วมปาก” แล้วก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆว่า “เจ็บลิ้นไก่ ไม่พูดเยอะ ขอเชิญ CPH ถือปากกาด้ามเดียวมาเซ็นสัญญากัน 25 ตุลาคมนี้...”

ดูทรงแล้ว “เสี่ยหนู” คง “กลัดกลุ้ม” กับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น้อยด้วยข้อจำกัดกับการทำงานที่ “ไม่ได้ดั่งใจ” ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ก่อนที่ปัญหาจะถูก “เคลียร์” และทำท่าว่าจะ “จบดีล” เป็นที่เรียบร้อยแล้วแบบ “แฮปปี้เอนดิ้ง” เหลือเพียงแค่การจรดปากกาเซ็นในวันที่ 25 ตุลาคมนี้เท่านั้น

ถอดรหัสสัญญาณ “เจ้าสัวธนินท์”
หลังการ “เร่ง” ของ “ศักดิ์สยาม”
ฉากหน้างานระดับช้างชนช้าง เดิมพันสูง ที่กำลังสู้กันระดับโลกต้องจารึกไว้ในตำนานการพัฒนาเส้นทางรถไฟไทย ทำให้เจ้าสัวแสนล้าน ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ต้องออกโรงถือธงนำเอง

เจ้าสัวธนินท์พูดตอนหนึ่งในงานเปิดตัวหนังสือ “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว” ที่เมืองทองธานี ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า โครงการนี้มีความเสี่ยง แต่ที่ซีพีเลือกเข้ามาลงทุนเพราะมองเห็นโอกาสว่ามันจะสำเร็จได้ ถ้ารัฐบาลมีความเข้าใจ

“เรื่องนี้เรื่องของรัฐบาล เรื่องเศรษฐกิจแท้ ๆ ไม่ใช่เรื่องของประชาชน เขาตั้งชื่อว่า PPP (ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและเอกชน หรือ Public Private Partnership) คือรัฐร่วมกับเอกชน เอาจุดเด่นมาบวกกัน แล้วมาลบจุดอ่อนของรัฐบาล แต่พอ TOR (เงื่อนไขการประกวดราคา) เขียนแล้วไม่ใช่ รัฐบาลต้องมาร่วมรับผิดชอบด้วยกันกับเอกชน ถ้าเสี่ยง สองคนต้องมาเป็นคู่ชีวิตเลยนะ เสี่ยงด้วยกัน ถ้าจะล่มก็ต้องล่มด้วยกัน ไม่ใช่เอกชนมาเสี่ยง รัฐบาลไม่เสี่ยง นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของประเทศชาติเลย”

ทุกถ้อยคำต้องถือว่าไม่ธรรมดา ทั้งไม่บ่อยครั้งนักที่เจ้าสัวธนินท์ จะออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะ และยังพูดชัดเจนถึงข้อเรียกร้องที่ฝ่ายเอกชนต้องการให้รัฐบาลเข้าร่วมแบกรับความเสี่ยงกับเมกะโปรเจกต์มูลค่ามหาศาล 2.24 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญในการต่อยอดการลงทุนไปยังโครงการลงทุนต่อเนื่องอื่นๆ ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่วาดฝันจะปลุกปั้นเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก

นี่จึงไม่ใช่เป็นแค่การลงทุนของเอกชนแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นเดิมพันอนาคตเศรษฐกิจของประเทศไทย ตามที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ หมายมั่นปั้นมือด้วย จะปล่อยให้เอกชนลอยคอเพียงลำพัง เสี่ยงเอง เจ็บเอง ตายเอง คงไม่ใช่

ต้องไม่ลืมว่า กลุ่มซีพี มีประสบการณ์ในการลงทุนโครงการการวางเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานของประเทศไทย ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ที่มีมูลค่าการลงทุนนับแสนล้านมาแล้วตั้งแต่ปี 2535 จนนำมาสู่การพลิกโฉมหน้าวงการโทรคมนาคมของไทยในวันนี้ ดังนั้น จุดเสี่ยงในการทำสัญญาโครงการกับภาครัฐจึงเป็นเรื่องซีพีรู้ดีและรู้ด้วยว่าจะหาทางปิดจุดเสี่ยงนั้นอย่างไร

จุดเสี่ยงที่เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของโครงการไฮสปีดเทรนฯ อยู่ตรงที่เจ้าสัวธนินท์ว่า “เงื่อนไขทีโออาร์ที่เขียนแล้วมีบางอย่างที่ไม่ใช่” คงหนีไม่พ้นการส่งมอบพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เจ้าของโครงการ ที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ

เดิมฝ่ายเอกชนคงเข้าใจว่า จะมีการส่งมอบหรือมีความชัดเจนว่าจะส่งมอบพื้นที่ให้ได้ทั้ง 100% ก่อนลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินโครงการตามกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 5 ปี นับจากวันลงนามในสัญญา แต่เอาเข้าจริง ร.ฟ.ท.กลับไม่สามารถรับปากได้ว่าจะส่งมอบพื้นที่ได้ครบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ อีหรอบนี้ขืนผลีผลามรีบเซ็นสัญญาไปก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่ทางเลือกของกลุ่ม CPH แน่

อันที่จริง ปัญหาใหญ่ดังกล่าว “ทีมลุงตู่” รู้ดี ดูจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือคณะกรรมการอีอีซี ครั้งที่ 9/2562 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นประธาน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ที่ได้ข้อสรุปว่า ปีแรกที่ลงนามในสัญญา รัฐบาลจะส่งมอบที่ดินให้ได้ 70% ส่วนที่เหลืออีก 18 เดือน จะรับทราบความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการย้ายระบบสาธารณูปโภค ทั้งท่อก๊าซฯ ท่อน้ำมัน ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้าแรงสูง ฯลฯ ออกไปว่าทำเสร็จหรือไม่ ถ้าพื้นที่ส่งมอบไม่ทันทำให้การก่อสร้างล่าช้าก็จะเปิดโอกาสให้ขยายเวลาโดยเอกชนไม่ถูกปรับงานล่าช้า
แผนผังเส้นทางรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน
พินิจพิจารณาแล้วฟังดูเหมือนจะดี ขยายเวลาให้ ไม่ถูกปรับงานล่าช้า แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นคำสัญญาที่หาจุดจบไม่เจอ ถ้าส่งมอบพื้นที่ไม่ทันก็ไม่ปรับไม่ใช่คำตอบสำหรับการลงทุนที่ดีแน่ เพราะถ้าขีดเส้นตายไม่ได้ว่าส่งมอบพื้นที่ได้ครบ 100% เพื่อให้การก่อสร้างคืบหน้าเสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดได้เมื่อไหร่ สำหรับเอกชนแล้วความไม่แน่นอนอย่างที่ว่าถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะถ้าการส่งมอบที่ดินมีปัญหา แผนการก่อสร้างก็จะยืดเยื้อ นั่นหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ความเสี่ยงก็สูงตาม โอกาสขาดทุนก็มาก ความเสี่ยงทางการเงินก็ทบเท่าทวี

ถามว่าความเสี่ยงระดับไหนที่บิ๊กบอสใหญ่ของกลุ่มซีพีกล้าได้-กล้าเสี่ยง เจ้าสัวธนินท์ กล่าวถึงเรื่องนี้ในวันงานเปิดตัวหนังสือ “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว” ดังกล่าวว่า “เสี่ยงได้ แต่ต้องไม่ให้ล้มละลาย” โดยจะลงทุนก็ต่อเมื่อประเมินแล้วได้ 70% เสี่ยง 30% เพราะไม่มีอะไรที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทว่าหากโครงการใหญ่มากถึงขั้นทำให้ซีพีล้มได้ เจ้าสัวไม่เอาแน่นอน

“ผมไม่เอา แม้ว่าเสี่ยง 10 ผมก็ไม่เอา เราไปหาเรื่องทำไมและเวลาเสี่ยงต้องเสี่ยงแล้วต้องไม่ล้มละลาย อย่าเล่นอะไรที่เกิน เพราะเสี่ยงแล้ว ไม่มีใครกล้ารับรอง มันเกิดอุบัติเหตุ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ทำใหญ่ยิ่งใหญ่ยิ่งเสี่ยงสูง ถ้าทำใหญ่แล้วเกินความสามารถล้มละลายได้” เจ้าสัวธนินท์ พูดถึงหลักการบริหารงานที่ยึดถือ ซึ่งก็เป็นคำตอบที่มีนัยอยู่ในตัวเองว่า กลุ่ม CPH มีจุดยืนเช่นใดสำหรับโครงการไฮสปีดเทรนฯ

วิเคราะห์ดูแล้ว โครงการนี้กลุ่มซีพีมีความเสี่ยงสูงจริงอย่างที่ว่า เพราะโอกาสขาดทุนมีค่อนข้างสูง หรือกว่าจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนก็กินเวลาอยู่ประมาณ 30 ปีหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่า รัฐค้ำประกันจำนวนผู้โดยสารหรือไม่

ที่สำคัญคือ อันที่จริงแล้วการเจรจาต่อรองของพาร์ทเนอร์ธุรกิจถือเป็นปกติวิสัยของการร่วมลงทุนไม่ว่าจะเป็นระหว่างเอกชนด้วยกันเอง หรือระหว่างรัฐกับเอกชน เพื่อให้โครงการเดินหน้าไปได้ด้วยดี ซึ่งโครงการนี้ นายกรัฐมนตรีก็ให้นโยบายมาแล้วว่าให้ไปดูแผนการส่งมอบพื้นที่ ขอให้ดำเนินการโดยไม่เป็นภาระของเอกชน ทว่า พอมาถึงบทที่มีข้อเสนอจาก CPH ขอให้รัฐบาลพิจารณาร่วมรับความเสี่ยงด้วยกัน นายศักดิ์สยามกลับมีท่าทีแข็งกร้าว งัดข้อกฎหมายออกมายัน ยืนกรานเอกชนต้องรับความเสี่ยงไปแต่ฝ่ายเดียว

นายศักดิ์สยาม บอกชัดเลยว่า กรณีที่นายธนินท์ขอให้รัฐบาลร่วมรับความเสี่ยงกับภาคเอกชนในการลงทุนด้วยว่า “เป็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของท่าน” แต่รัฐบาลจะต้องดำเนินการตามกฎหมายและเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารการคัดเลือกเอกชน  (Request for Propasa : RFP) ซึ่งได้พูดถึงไว้ในข้อ 50.1 ว่า ผู้ยื่นเสนอจะต้องรับภาระความเสี่ยง ....  

ความเสี่ยงสำหรับพื้นที่ที่จะใช้ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมทั้งสิ้น 4,421 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ก่อสร้าง 3,571 ไร่ และพื้นที่เวนคืน 850 ไร่ เบื้องต้น ร.ฟ.ท..อ้างว่า มีความพร้อมส่งมอบพื้นที่ 3,151 ไร่ หรือคิดเป็น 88% ของพื้นที่ทั้งหมด ในจำนวนนี้ รวม 100 ไร่ ของที่ดินมักกะสันจากทั้งหมด 150 ไร่ และ 25 ไร่ของที่ดินบริเวณศรีราชา จ.ชลบุรี

แต่ในจำนวนพื้นที่ที่ยังไม่สามารถให้ความชัดเจนว่าจะส่งมอบให้นั้น มีอุปสรรคสำคัญ 2 กรณีหลักๆ คือ ที่บุกรุก 210 ไร่ มีผู้บุกรุก 513 ราย พื้นที่เช่า 83 สัญญา และพื้นที่ที่ยังมีสาธารณูปโภคสำคัญๆ ที่รื้อย้าย-รื้อถอนได้ยาก ทั้งเสาไฟฟ้าแรงสูง 16 จุด, ระบบบำบัดน้ำเสียใต้คลองบางซื่อ, ท่อน้ำมัน-ท่อก๊าซบริเวณคลองแห้งและโค้ง ถ.พระราม 6, ท่อน้ำมัน บจ.ท่อส่งปิโตรเลียมไทย (แทปไลน์) ช่วงลาดกระบัง กม.68 มุ่งหน้าอู่ตะเภา เป็นแนวยาว 40 กม., ท่อก๊าซ ปตท.หน้าวัดเสมียนนารี-สนามบินดอนเมือง 11 กม., ท่อส่งน้ำ-ท่อระบายน้ำของ กทม.บริเวณสามเสน และรางรถไฟสายตะวันออก ที่คาดว่าจะใช้เวลาส่งมอบพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

ร.ฟ.ท.ในฐานะเจ้าของโครงการและผู้รับผิดชอบในการส่งมอบพื้นที่ ตลอดจนประสานงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคที่กีดขวางแนวเส้นทางก่อสร้างเข้าใจปัญหานี้ดีจึงเสนอให้มีการลงนามในสัญญาให้ทันกำหนดระยะเวลายืนราคาในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ไปก่อน แต่ยังไม่ส่งหนังสือให้เริ่มต้นทำงาน (notice to proceed : NTP) เพื่อเลื่อนเวลาการนับหนึ่งของโครงการออกไปก่อน เนื่องจากมีการกำหนดกรอบว่าจะต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี และกำหนดเปิดให้บริการปี 2567

แต่ฝ่ายเอกชนกลุ่ม CPH ก็ไม่อาจรับข้อเสนอดังกล่าวได้ เนื่องจากมีผลกระทบในเรื่องการลงทุนที่ต้องแบกรับความเสี่ยงมากขึ้นจากเดิม ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่คาดที่ว่าจะใช้เวลาส่งมอบพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 3 ปี นั้น เอาเข้าจริงแล้วไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อออกไปอีกยาวนานแค่ไหน

ต้องไม่ลืมว่าโครงการนี้เป็นรูปแบบของการร่วมทุน PPP net cost แต่กว่าที่รัฐจะเข้ามาร่วมเสี่ยงลงเงินลงทุนด้วยก็ตั้งแต่ปีที่ 6 ต่อเนื่องไปเป็นเวลา 10 ปี ที่จะต้องแบ่งจ่ายเงินอุดหนุน 117,227 ล้านบาทที่กลุ่ม CPH เสนอ พร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท หรือปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท นั่นหมายความว่าว่า 5 ปีแรกในช่วงการก่อสร้าง เอกชนต้องรับภาระความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนในการส่งมอบพื้นที่ เพิ่มความเสี่ยงของโครงการ จนต้องไปเผชิญกับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไปด้วย

ในมุมมองของ CPH ก่อนตัดสินใจเข้าร่วมประมูล ก็ย่อมรับรู้ได้ถึงความเสี่ยงของโครงการ ดังที่นายธนินท์ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่ก็เชื่อว่าหากรัฐบาลเข้าใจและอำนายความสะดวกโครงการก็จะไปได้ ถึงสามารถเสนอราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งถึง 6 หมื่นล้านบาท คิดเป็นไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของโครงการ ภายใต้ความเสี่ยงต่างๆ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขณะที่การเจรจาหาทางปิดความเสี่ยงทั้งส่งมอบพื้นที่ ซึ่งโยงไปถึงความเสี่ยงด้านการลงทุนและด้านการเงิน นายศักดิ์สยาม และนายอนุทิน รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม ออกมากดดันให้มีการเร่งลงนามในสัญญาโดยเร็ว

แถมขู่ด้วยว่าถ้า CPH ไม่ลงนามในสัญญา ทิ้งงานหรือถอนตัว ก็จะถูกขึ้นบัญชีดำ ริบเงินประกัน และจะเรียกกลุ่มกิจการร่วมค้า BSR (BSR Joint Venture) เอกชนผู้เสนอวงเงินขอให้รัฐสนับสนุนคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่ 169,934 ล้านบาท เกินจากกรอบที่ ครม. อนุมัติไว้ที่ 119,425 ล้าน เป็นจำนวน 49,969 ล้านบาท มาเจรจาทันที โดยกลุ่ม CPH จะต้องจ่ายส่วนต่างที่เกินกรอบดังกล่าวด้วย

“ยืนยันว่าหากวันที่ 15 ต.ค.62 ผู้รับงาน คือ กลุ่ม CPH ยังไม่มาลงนามในสัญญาก็จะต้องถูกริบหลักประกันซอง ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขนี้ไว้ในข้อ 56.3 ของ RFP ส่วนจะมีการขึ้น Black list หากกลุ่ม CPH ไม่มาลงนามตามกำหนดได้หรือไม่นั้น ได้มอบหมายให้ นายชยธรรม์ พรหมศร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในฐานะกรรมการคัดเลือกโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่อย่างไร” นายศักดิ์สยาม ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อครั้งที่ “เคลียร์กันยังไม่ลงตัว”

ก่อนที่จะมีการดีเลย์ต่อเวลาออกไปอีก 10 วัน เพราะเงื่อนไขจากบอร์ดร.ฟ.ท. ลาออกยกชุด โดยนายศักดิ์สยาม บอกว่า “การลงนามตามกำหนดการเดิมในวันที่ 15 ต.ค.นี้จะส่งผลให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะทันที เนื่องจากหากไม่มีบอร์ดร.ฟ.ท. สัญญาจะไม่มีผลผูกพันกับร.ฟ.ท.จากกรณีดังกล่าว จึงถือเป็นสิทธิที่ผู้ว่าจ้าง คือ ร.ฟ.ท.สามารถที่จะแจ้งเลื่อนวันเซ็นสัญญาได้ สาเหตุมาจากความจำเป็น และสั่งการให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ จัดทำหนังสือไปแจ้งกลุ่ม CPH ในกำหนดการลงนามสัญญาใหม่วันที่ 25 ต.ค.นี้อีกครั้งแล้ว”
 
เจรจาหนักก่อนจะ “ดีลกันลงตัว”
                แน่นอน การยืดเวลาลงนามในสัญญาออกไปสิบวัน อาจดูไม่นานนัก แต่เชื่อเหลือเกินว่า น่าจะเป็นระยะเวลาที่ทำให้เรื่องจบลงอย่างที่ “ทุกฝ่าย” ต้องการ และเคลียร์ปัญหา “ความเข้าใจระหว่างกัน” ไปได้

“ขอย้ำว่า ถ้าโครงการนี้ไม่เกิด จะกระทบกับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน”

ฟังน้ำเสียงนายอนุทินก็รับรู้ได้ว่าเขาตระหนักถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า ถ้าล่มจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นพันธมิตรร่วมลง “เรือเหล็ก” ด้วยกันมาตั้งแต่แรก

ต้องยอมรับว่า นายอนุทินเป็นผู้ที่รู้รายละเอียดเงื่อนไขของโครงการนี้ดีที่สุดคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ในฐานะรองนายกฯ กำกับกระทรวงคมนาคม แต่เป็นในฐานะที่เป็นทายาทและอดีตผู้บริหารใหญ่ของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ที่เรียกกันคุ้มปากว่า “ซิโน-ไทย” บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่มีรายได้ติด 1 ใน 3 ของประเทศ

เพราะฉะนั้นนายอนุทินก็คงรับทราบถึง “ข้อจำกัด” ในการเดินหน้าอภิมหาโครงการแสนล้านนี้ในทุกแง่มุม

เป็นที่ทราบกันว่า หากกลุ่ม CPH ผู้ชนะประมูลเลือก “ยกธงขาว” ถอนตัวจากโปรเจกต์นี้ “ส้มหล่น” ไปที่กลุ่ม BSR ก็จะถูกเรียกเข้ามาเจรจากับภาครัฐแทน โดยสามารถยืนราคาเดิมที่เคยยื่นประมูลไว้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนต่างหากมีการดำเนินโครงการนั้น กลุ่ม CPH ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

หลายคนอาจมองว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย STEC คือหนึ่งในพันธมิตรกลุ่ม BSR ที่ประมูลแพ้กลุ่ม CPH ในโครงการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่เสนอราคาไปสูงกว่าถึง 5 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่มองกันได้ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปดูคำให้สัมภาษณ์ของเขาที่บอกว่า “รู้สึกยินดีมากที่ได้กลุ่ม CPH เข้ามาประมูลเพราะเสนอต่ำกว่าราคากลาง และต่ำกว่าคู่แข่งถึงประมาณ 5 - 6 หมื่นล้านบาท ราคาแบบนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว” ก็คงอนุมานได้ว่า กลุ่ม BSR ไม่น่าจะปรารถนาที่จะต่อยอด

ที่สำคัญคือ เชื่อเหลือเกินว่า “เสี่ยหนู” ไม่ต้องการให้โครงการไฮสปีดเทรนต้องกลายเป็น “แพะ” ที่ทำให้ให้แผนพัฒนา EEC ล้มไปทั้งกระดาน รวมไปถึงหากเรียกกลุ่มกิจการร่วมค้า BSRมาเจรจาและไม่สามารถเจรจากันได้ และไม่ยอมลงนามในสัญญา BSR ก็จะถูกยึดเงินค้ำประกันและโดนแบล็คลิสต์ไม่ต่างอะไรจากกลุ่มซีพีเช่นกัน

นอกจากนี้ การที่นายอนุทินเร่งรัดและทำให้มีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้นได้ ก็เท่ากับเป็นผลงานชิ้นโบแดงให้กับพรรคภูมิใจไทยอีกต่างหาก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อนุทิน ชาญวีรกูล
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ธนินท์ เจียรวนนท์
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ
เมื่อกระแสอื้ออึงด้วยข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างพ่อค้า-นักการเมือง “เสี่ยหนู” จึงจำต้องโพสต์ระบายในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมาว่าด้วยประโยคเด็ด “ชีวิตดีแล้ว มั่นคงมาก ไม่จำเป็นต้องเอื้อธุรกิจของครอบครัวหรือของใคร” ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ไม่พูดเยอะ เจ็บลิ้นไก่”

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างดูเหมือนจะ “ดีลลงตัว” ก่อนถึงกำหนด “เส้นตาย” หลังจากมีการประชุม “คณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)” เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 โดยมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุมด้วย

และคณะอนุกรรมการฯ มีมติ “เห็นชอบ” แผนการส่งมอบพื้นที่สำหรับก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน พร้อมตั้งคณะทำงานส่งมอบพื้นที่โดยมี “ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ”ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน และจะมีการเสนอให้คณะกรรมการอีอีซี ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้การก่อสร้างโครงการไฮสปีดเทรน เชื่อม 3 สนามบินเดินหน้าต่อได้ตามแผน โดยจะมีการเซ็นสัญญากับกลุ่มซีพี ซึ่งชนะการประมูลในวันที่ 25 ต.ค. นี้

ศักดิ์สยามชี้แจงแถลงไขด้วยว่า คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมโครงการดังกล่าว ได้ทำหนังสือส่งไปยังกลุ่มบริษัทซีพี เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา ให้เข้ามาทำการเซ็นสัญญากันในวันที่ 25 ต.ค. นี้ โดยเลขาธิการคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ประสานไปยังกลุ่มซีพีอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ซึ่งทางกลุ่มซีพีได้ยืนยันว่าพร้อมที่จะเข้ามาเซ็นสัญญาตามกำหนดเวลา

สำหรับปัญหาที่คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ต้องเห็นชอบ ได้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยได้มีการตั้งคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. ชุดใหม่ตามกฎหมายแล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นชอบ ส่งให้กระทรวงคมนาคมดูแล้ว หลังจากนั้นได้ส่งเรื่องให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการ ร.ฟ.ท.. ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการประชุม เพราะมีอำนาจตามตำแหน่ง และในวันที่ 15 ต.ค. นี้ จะเสนอรายชื่อคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. ชุดใหม่ให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบ

หลังจากแต่งตั้งคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการร.ฟ.ท. จะประชุมทันที เพื่อรับทราบการดำเนินการเซ็นสัญญาโครงการไฮสปีดเทรนด์เชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะไม่มีปัญหา เพราะคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. มีหน้าที่รับทราบเท่านั้น เพราะถ้าคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. ไม่มีมติรับทราบ จะทำให้ผู้ว่า ร.ฟ.ท.ไม่มีอำนาจในการเซ็นสัญญาผูกพันในโครงการดังกล่าวได้ และเมื่อคณะกรรมการ ร.ฟ.ท. รับทราบแล้ว ก็จะเสนอเรื่องการเซ็นสัญญากับกลุ่มซีพี ให้ ครม. เห็นชอบในวันที่ 22 ต.ค. 2562 ก่อนเดินหน้าตามแผนการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จภายในปี 2567-2568 หรือ 5 ปีข้างหน้า

“ทุกฝ่ายต้องการจะทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว เพียงแต่ทำให้กระบวนการมันถูกต้อง ด้านเอกชนเองก็อยากลงนาม ยืนยันว่าไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทุกคนอย่างให้โครงการนี้สำเร็จ แต่เงื่อนไขอยู่ที่ว่าการส่งมอบพื้นที่มีความจำเป็น หากไม่มีการกำหนดเวลาชัดเจน รถไฟฟ้ากับสนามบินจะไม่เชื่อมกัน เอกชนจะมีปัญหา เพราะเป็นโครงการร่วมทุนไม่ใช่จ้างทำ ตอนนี้คุยกับฝ่ายเอกชนแล้ว ถ้าเป็นไปตามนี้ก็สามารถลงนามได้”นายศักดิ์สยาม กล่าว

ฟังความจาก “ศักดิ์สยาม” แล้วก็สรุปได้ว่า ทุกอย่าง “เคลียร์จบ” โดยเฉพาะปัญหา “การส่งมอบพื้นที่” ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้การลงนามมีอันต้องชะงักงันและกลายเป็นภาพความขัดแย้งที่ทำให้ “เสียวกันทั้งประเทศ”

เกี่ยวกับเรื่อง “การส่งมอบพื้นที่” นั้น “คณิศ แสงสุพรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดว่า การส่งมอบพื้นที่โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน สามารถดำเนินการได้แล้ว 72% ประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่ 1. ระยะทางระหว่างสถานีพญาไท-สถานีสุวรรณภูมิ ระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิ้งก์ พร้อมส่งมอบพื้นที่ได้ทันที 2. ระยะทางระหว่างสถานีสุวรรณภูมิ-สถานีอู่ตะเภา ระยะทาง 170 กิโลเมตร คณะทำงานส่งมอบพื้นที่จะสามารถดำเนินการส่งมอบพื้นที่ทั้งหมดได้ภายใน 1 ปี 3 เดือน ทำให้ระยะทางตั้งแต่สถานีพญาไท-สถานีอู่ตะเภา เปิดให้บริการได้ในปี 2566-2567 3. สถานีพญาไท-ดอนเมือง ระยะทาง 22 กิโลเมตร เป็นส่วนที่ดำเนินการได้ยากที่สุด เพราะมีต้องมีการเคลื่อนย้ายระบบสาธารณูปโภค เกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวง 8 หน่วยงาน คาดว่าจะใช้เวลาในการส่งมอบพื้นที่ 2 ปี 3 เดือน ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2567-2568

“การส่งมอบพื้นที่ทั้งหมด ทางผู้ชนะการประมูลได้รับทราบเงื่อนไขดังกล่าวหมดแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหาใด ๆ ในการเซ็นสัญญา เพราะว่าทุกหน่วยงานอย่างให้โครงการนี้เกิดขึ้น เพราะหากสร้างสนามบินเสร็จแล้วแต่รถไฟไม่เสร็จจะทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อมต่อได้” นายคณิศย้ำซึ่งน่าจะหมายความว่า “เคลียร์จบ” แล้ว

ก็เป็นอันว่าปัญหา “รถไฟฟ้าความเร็วเสียว” ที่ทำเอา “เสียวกันทั้งประเทศ” ก็น่าจะจบลงแบบ “แฮปปี้เอ็นดิ้ง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และรอเพียงแค่พิธีกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้น เพราะเชื่อเหลือเกินว่า “กลุ่มซีพี” ไม่น่าจะเสี่ยงที่จะล้มกระดานด้วยต้องแบกรับความเชื่อมั่นที่มีต่อองค์กร พันธมิตร โดยเฉพาะพันธมิตรจาก “จีน” ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันโครงการนี้

แต่การจะเซ็นวันที่ 25 ตุลาคม ตามที่คณะกรรมการฯ กำหนดไว้หรือไม่ หรือจะเลื่อนออกไปอีกก็มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะ “เส้นตายจริงๆ” คือวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยืนราคา


กำลังโหลดความคิดเห็น