ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อาการไม่สู้ดี รายของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าค่ายอนาคตใหม่
หลังจากที่เคยถูกสปอตไลท์สาดส่องมาตลอดตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ จนมาพีคสุดๆในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ต่อเนื่องมาถึงเป็นแคนดิเดตนายกฯสู้กับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ
แต่พลันที่ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” เข้าประจำการในตำแหน่ง สภาผู้แทนราษฎรทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ บทบาทของ “ธนาธร” ก็มีแนวโน้มเป็น “กราฟหัวทิ่ม” แม้จะมีสถานะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ถูก “แช่แข็ง” อยู่
ด้วยยังติดพัน “คดีหุ้นสื่อ” การถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่เป็นบริษัทด้านสื่อสารมวลชน ในช่วงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จนอาจเข้าข่ายมี “คุณสมบัติต้องห้าม” ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
ส่งผลให้ “ธนาธร” ตกรถ ยังไม่ได้ไปวาดลวดลายในสภาผู้แทนราษฎรเสียที
แม้จะพยายามใช้สถานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งใช้ความโดดเด่นจากช่วงหาเสียง ลงพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งในนามส่วนตัว และร่วมกับ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อเลี้ยงกระแสตัวเอง และตีปี๊บการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ตาม แต่ก็แค่ “เวทีคู่ขนาน” ที่สู้ความน่าสนใจของ “การเมืองบนกระดาน” ทั้งในรัฐบาล หรือในสภาฯไม่ได้
ไม่เท่านั้น “ตี๋เอก” ยังมี “ชนักปักหลัง” อีกอื้อ หลายคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาล นอกเหนือจากคดีหุ้นสื่อที่ตัวเองประวิงเวลาการยื่นข้อมูลต่อศาล ทำให้ถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตัดสินชี้ขาดได้ คดียุบพรรคจากข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองที่มีผู้ร้องไว้ต่อศาล
หลังเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก็ยังถูกเปิดโปงด้วยว่า ที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคยประกาศทำ “Blind Trust” ให้สถาบันการเงินมีชื่อเสียงเข้ามาจัดการทรัพย์สินของตัวเองกว่า 5 พันล้านบาท ในช่วงที่ตัวเองดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน คุยเขื่องว่าเป็นการวาง “มาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง” นั้น
มันเป็นเรื่องโอละพ่อ
หรือที่เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกหน กรณีที่ “เสี่ยเอก” ปล่อยกู้พรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาทเพื่อนำไปใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ที่เคยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขัดกฎหมายพรรคการเมือง 2560 ที่อาจส่งผลถึงขั้นยุบพรรค ที่อาจทำให้ “ค่ายสีส้ม” ปลิดปลิวไปก่อนวัยอันควร
จึงจับได้ไล่ทันไม่ยากว่าที่ “ธนาธร” ต้องเร่งเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็เพราะรู้ดีว่า เป็นกติกาที่ทำให้ตัวเขาเองพลิ้วไม่ออก หากรื้อกติกาได้ โอกาสที่จะถูกเอาผิดก็น้อยลงไปด้วย
ไม่เพียงผลทางสถานะการเมือง แต่น่ากลัวตรงคดีอาญาที่จะตามมามากกว่า
แล้วยังบังเอิญมี “เอกสารลับ” ที่เชื่อมโยง “ไอ้โม่งคนดัง” ในฐานะ “ผู้ว่าจ้าง” กับล็อบบี้ยีสต์ และกลุ่มม็อบหลายสัญชาติต่อต้าน “บิ๊กตู่” ในขณะเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วย
เป็นเค้าลางของ “โมเดลโลกล้อมไทย” ที่เจ้าของตำรับนามว่า ทักษิณ ชินวัตร เคยงัดมาใช้ในยามจนตรอกนั่นเอง
“ธนาธร” มวยออกอาการ-เตะถ่วงหุ้นสื่อ
ก่อนวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ไม่นาน “สำนักข่าวอิศรา” ได้เปิดประเด็นว่า “ธนาธร” ครอบครองหุ้นของ บริษัท วีลัค-มิเดีย จำกัด ซึ่งเป็นหุ้นสื่อสารมวลชน
โดยมีข้อมูลว่า บริษัทดังกล่าวเพิ่งมาเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือหุ้น ในส่วนของ “ธนาธร” และ “มาดามวิ” รวิพรรณ ภรรยา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 ก่อนวันเลือกตั้ง ส.ส. เพียง 3 วัน หลังวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ซึ่งอาจเข้าลักษณะต้องห้ามลงสมัคร ส.ส.
อย่างไรก็ดี “เสี่ยเอก” ได้แสดง “ความมั่นใจ” กรณีนี้มาโดยตลอด และระบุว่าได้โอนหุ้นดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 ก่อนวันรับสมัคร ส.ส.อย่างแน่นอน
ความมั่นใจของ “ธนาธร” ยังสะท้อนผ่านการที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหาและเรียกเจ้าตัวเข้าชี้แจงเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน 2562 ซึ่งวันนั้น “ธนาธร” พร้อมด้วยเนติบริกรคู่ใจ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ หอบเอกสารลังใหญ่ที่ระบุว่ามีทั้งหมด 26 รายการ เข้าชี้แจงต่อ กกต.
แต่หลังจากนั้น กกต.ก็ยังเดินหน้ายื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก่อนที่เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีมติเอกฉันท์ รับคำร้องขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือครองหุ้นในบริษัทวี-ลัค มีเดียจำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจสื่อเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ซึ่งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6 )ประกอบมาตรา 98 (3) ไว้พิจารณาวินิจฉัย
พร้อมกันนี้ยังมมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ให้ “ธนาธร” ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ภายหลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง ก็ดูเหมือน “ความมั่นใจ” ของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะหดหายไปในทันที เพราะได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอขยายเวลาชี้แจงในคดีหุ้นบริษัทวี-ลัค ออกไปอีก 30 วัน จากเดิมที่ศาลกำหนดให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ทั้งๆที่เคยขนเอกสารลังใหญ่ไปชี้แจงกับ กกต.เมื่อปลายเดือนเมษายนมาแล้ว
ไม่เท่านั้นขณะนี้ก็ยังไม่ถึงกำหนดระยะเวลา 30 วัน “ธนาธร” ยังมีการขอขยายเวลายื่นคำชี้แจง ครั้งที่ 2 ไปอีก 15 วัน แต่รอบนี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าระยะเวลาที่ได้ขยายให้เพียงพอแล้ว
ดูเหมือน “ธนาธร” จะไม่ได้เดือดร้อนใจอยากเข้าไปทำงานในฐานะ ส.ส. และยังพยายาม “เตะถ่วง” คดีนี้อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
เมื่อถึงเดดไลน์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 ฝ่ายกฎหมายของพรรคอนาคตใหม่ จึงได้นำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ของ “ธนาธร” จำนวน 3 ลัง ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
จนมาวันที่ 4 กันยายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งไม่รับคำร้อง “ธนาธร” ที่ขอเพิกถอนคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ทำให้เจ้าตัวอดเข้าสภาฯต่อไป จากนั้นไม่กี่วัน ก็มี “กระแสข่าว” ในทำนองว่า “ธนาธร” สนใจที่จะลงรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่คาดว่า จะมีขึ้นช่วงต้นปี 2563 เนื่องจากประเมินแล้วว่า คงหมดโอกาสในการเข้าไปทำหน้าที่ ส.ส.จากกรณีหุ้นสื่อนั่นเอง
พอจะ “จับทาง” ได้ว่า “ข่าวตั้งใจหลุด” นี้เป็นเพียง “เสียงขู่” จากพรรคอนาคตใหม่ ไปถึง “ผู้มีอำนาจ” ว่า หากสถานะ ส.ส.ของ “เสี่ยเอก” มีอันเป็นไปเมื่อใด ก็พร้อมเบนเข็มลงมาเล่น “สนามเล็ก” ที่ “ค่ายสีส้ม” เป็นเจ้าของบัลลังก์ป๊อปปูลาร์โหวตแห่งเมืองหลวง ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
กาง กม.พรรคการเมือง - เขียนชัดห้ามกู้เงิน
ประเด็นถือหุ้นสื่อสร่างซาไป ในระหว่างรอศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ขาด ก็มีควันหลงเปิดขุมทรัพย์ ส.ส. รอบสุดท้าย หลัง “ธนาธร” และอีกหลาย ส.ส.ยื่นขอขยายเวลาการชี้แจงต่อ กกต. ก่อนมาเปิดเผยพร้อมกันเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า “พ่อของฟ้า-ธนาธร” ย่อมถูกจับตามองเป็นพิเศษ ในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินกว่า 5.6 พันล้านบาทนั้นถือว่าไม่ได้เซอร์ไพรส์ เพราะอย่าลืมว่าก่อนจะมาถือสมญา “พ่อของฟ้า” เขาคนนี้เคยมีฉายา “ไพร่หมื่นล้าน” ที่สะท้อนจากพอร์ตลงทุนของ “เครือไทยซัมมิท” ที่ “อาตี๋เอก” ดูแล ที่มีมูลค่ามหาศาลกว่าทรัพย์สินที่แจ้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลายเท่าตัว
แต่ก็มีประเด็นหนึ่งเก่า โผล่มาให้เหลากันใหม่ เมื่อในรายการ “เงินให้กู้ยืม” นั้น “เสี่ยเอก” กรอกข้อมูลว่า ปล่อยกู้ให้แก่พรรคอนาคตใหม่ 2 ครั้ง รวมกว่า 191 ล้านบาท
กลายเป็น “ใบเสร็จ” เป็นทางการ หลังจากที่ “ธนาธร” เคยพูดด้วยวาจาไว้ที่ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นหนี้ตัวเองอยู่ประมาณ 110 ล้านบาท เนื่องจากระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคไม่สามารถระดมทุนหาเงินได้ทันเวลาสำหรับการหาเสียง โดยมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นอุปสรรค
ย้อนไปอีกหน่อย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ เคยหล่นคำสัมภาษณ์ไว้ว่า พรรคได้กู้ยืมเงินจำนวน 250 ล้านบาท มาจากหัวหน้าพรรค โดยมีการทำสัญญากู้ยืนเงินและคิดดอกเบี้ยชัดเจน
น่าสนใจว่า ตัวเลข 110 ล้านบาทที่ไปจ้อกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หรือตัวเลข 250 ล้านบาทของโฆษกพรรค กลับไม่ตรงกับ 191 ล้านบาทที่แจ้งไว้กับ กกต.
มองในแง่ดี อาจเป็นเพราะความหลงลืมตามประสา “คนรวย” ที่จำยอดหนี้ไม่ได้ คงไม่ได้แจ้งบัญชีไม่ตรงความจริงแต่อย่างใด
คำถามมีว่า เงินกู้ 110 ล้านบาท หรือ 250 ล้านบาท หรือ 191 ล้านบาท ที่ “เสี่ยเอก” ให้พรรคอนาคตใหม่กู้นั้น ผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 หรือไม่
เพราะใน มาตรา 62 ของกฎหมายฉบับดังกล่าว กำหนดให้พรรคการเมืองมีรายได้จาก 7 ทาง คือ 1.เงินทุนประเดิมตามมาตรา 9 วรรคสอง 2.เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรค การเมืองตามที่กำหนดในข้อบังคับ 3.เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง 4. เงิน ทรัพย์สินและประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรค การเมือง 5. เงิน ทรัพย์สินและประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการบริจาค 6.เงิน อุดหนุนจากกองทุน และดอกผล และ 7.รายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมืองเท่านั้น ไม่สามารถจะมีการสนับสนุนทางอื่น นอกจากที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดได้
ดูเหมือนว่า “เงินกู้ยืม” จะไม่เข้าข่ายรายการใดๆ เลย
ไม่เพียงเท่านั้น กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตรา 87 กำหนดให้การดำเนินกิจการของพรรค ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของพรรค และสมาชิก และค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรค ให้ใช้จ่ายเงินที่มาจากรายได้ ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
หากจะอ้างว่าเป็นการบริจาค ก็ติดมาตรา 66 (1) ของกฎหมายเดียวกัน ยังห้ามมิให้บุคคลใดบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรค การเมือง มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อปี สอดคล้องกับมาตรา 66(2) ที่ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดซึ่งมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทต่อปีด้วย
โดยเรื่องนี้ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 และได้เคยเข้าให้ข้อมูลต่อ กกต. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 เท่านั้น
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า กกต.จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเป็นระยะๆ หลังล่วงเลยมาจะเข้าเดือนที่ 5 อยู่รอมร่อ
เอาเข้าจริง ประเด็นนี้ “เดอะป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ และ “เนติบริกร” ของพรรคอนาคตใหม่ ก็เคยออกมาชี้แจงแล้วว่า พรรคการเมืองกับการกู้เงินจึงเป็นเรื่องปกติ กรณีนี้ไม่ใช่นายธนาธรครอบงำพรรค แต่มีสถานภาพที่ให้กู้เงินได้ และได้ศึกษากฎหมายทั้งหมดพบว่าพรรคการเมืองในต่างประเทศเป็นหนี้ธนาคารแทบทั้งนั้น ส่วนประเทศไทยมีกฎหมาย (พ.ร.ป.พรรคการเมือง) ควบคุมรายได้ของพรรคอยู่ แต่เงินกู้ไม่มีระบุไว้
พร้อมยกตัวอย่างว่า พรรคการเมืองหลายๆพรรคในไทยก็มีรายการกู้เงินเช่นกัน ทั้ง “ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา-ชาติพัฒนา-ประชาธิปัตย์”
สิ้นเสียง “ปิยบุตร” ไม่นาน ทำเอาตัวแทนพรรคการเมืองที่ถูกเอ่ยถึงต่างออกมา “สอนมวย” รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน เป็นแถวว่า เงินกู้ที่ปรากฏในรายงานประจำปีของแต่ละพรรคการเมืองนั้น เพราะ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 นั้นอนุญาตในรายการ “รายได้อื่น”
แต่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เขียนไว้ต่างกัน ไม่มีรายการ “รายได้อื่น” อีกแล้ว
กลายเป็นอีกปมร้อนที่ทำให้ “ธนาธร” และพลพรรคอนาคตใหม่ “คอพาดเขียง” อาจถึงขั้นถูกยุบพรรค ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะได้
รอแค่ กกต.จะหยิบขึ้นมาพิจารณา และส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญให้เชือดเมื่อใด
แถทำ Blind Trust ที่แท้แค่ “สร้างภาพ”
อีกเรื่องที่งอกออกมา หลังเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ “ธนาธร” ที่ถูก “เจ้าเก่า” อย่างสำนักข่าวอิศราตั้งข้อสังเกตอีกแล้วว่า “ธนาธร”แจ้ง ป.ป.ช. ถึงทรัพย์สินในส่วนของเงินลงทุนรวมของภรรยา กว่า 3.2 พันล้านบาท
แต่ไม่ยักจะมี “หมายเหตุ” ถึงการทำบันทึกตกลง “Blind Trust” ที่ครั้งหนึ่ง “ท่าน ส.ส.ธนาธร” เคยแถลงข่าวใหญ่โตว่า ให้สถาบันการเงินมีชื่อเสียงเข้ามาจัดการทรัพย์สินของตัวเองกว่า 5 พันล้านบาท ในช่วงที่ตัวเองดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน
แล้วยังคุยเขื่องว่าเป็นการวาง “มาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง” เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บังคับ
แต่จากการขุดคุ้ยของ “สำนักข่าวอิศราฯ” พบว่ามีหนังสือรับรองจากบริษัทหลักทรัพย์ในส่วนของ “มาดามวิ” รวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของธนาธร แค่จิ๊บๆ 24 ล้านบาทเท่านั้น หาใช่ 4-5 พันล้านบาท อย่างที่ “เสี่ยเอก”เคยเคลมเอาไว้
ก็เลยมีคนร้องทักว่า “แหกตา” กันหรือเปล่า หรือถ้าเปลี่ยนใจไม่ทำ “Blind Trust” เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินให้งอกเงยด้วยตัวเอง แบบที่ “นักธุรกิจการเมือง” มักทำ ก็น่าจะแจ้งให้สาธารณชนทราบเหมือนตอนที่แถลงข่าวใหญ่โต
ไม่ควรปล่อยให้ “ติ่งอนาคตใหม่” หรือ “นุ้งฟ้า” ทั้งหลาย เข้าใจว่า “พ่อเอก” ยังคง “มาตรฐานสูงส่ง” เหนือกว่าใคร
พอ “ลูกพี่” โดนถล่ม ก็เป็นคิวของ “ปิยบุตร” ก็ออกมาสวมบท “เนติบริกรน้อย” ตามแบบฉบับปรมาจารย์ วิษณุ เครืองาม ที่ “เดอะป๊อก” เพิ่งอภิปรายถล่มในสภาฯ
โดย “ปิยุบตร” ชี้แจงว่า การทำ “Blind Trust” เป็นความประสงค์ของ “ธนาธร” ไม่มีข้อกฎหมายใดกำหนด เพื่อสร้างมาตรฐานความโปร่งใส
“เพียงแต่ว่าตอนนี้ นายธนาธรได้เป็น ส.ส. ที่ยังไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของ ส.ส. เนื่องจากถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ถ้าวันใดศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้อง และให้นายธนาธร ปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ตอนนั้นก็จะมีอำนาจในการเป็น ส.ส. และทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อนั้นนายธนาธร ก็โอนทรัพย์สินให้กับ Blind Trust”
จริงทั้งหมด ทั้งเรื่องกฎหมายไม่ได้บังคับ ส.ส. หรือกรณีที่ “ธนาธร” ยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนฯ
ทว่าเมื่อกาง “เอ็มโอยู” ที่ “ทั่นเอก” เคยโชว์กับสื่อมวลชน ก็ปรากฏว่า มีเขียนไว้ชัดเจนว่า “ขณะที่ลูกค้าดำรงสมาชิกภาพเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” บริษัทหลักทรัพย์ไม่สามารถทำอะไรได้บ้าง
การ “ดำรงสมาชิกภาพเป็น ส.ส.” นั้นย่อมแตกต่างจากการ “ปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.” เพราะหากดูเฉพาะการ “ดำรงสมาชิกภาพเป็น ส.ส.” ของ “ตี๋เอก” นั้นต้องถือว่า “สมบูรณ์อย่างเป็นทางการ” แล้ว
เพราะได้ผ่านการรับรองจาก กกต. แม้จะมีประเด็นถือหุ้นสื่อที่อาจทำให้ขาดคุณสมบัติ ส.ส.ก็ตาม เข้าทำนอง “ปล่อยก่อน สอยทีหลัง” นั่นเอง ไม่เท่านั้นก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วว่า “ธนาธร” ได้ร่วมปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งพร้อมกับเพื่อน ส.ส.เกือบ 500 ชีวิต ในการประชุมสภาฯครั้งแรก
หากจำกันไม่ได้ ก็ต้องฟื้นความจำให้ว่า “ธนาธร” ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ก่อนถูก ปู่ชัย ชิดชอบ ประธานในที่ประชุมขณะนั้น เชิญออกจากห้องประชุม หลังแจ้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ “ตี๋เอก” ก็วางสคริปต์มาล่วงหน้า ใช้ห้องประชุมสภาฯ "สร้างดรามา" ปั้นภาพตัวเองเป็น “วีรบุรุษ” อย่างไรอย่างนั้นเลย
ดังนั้นหากยึดตาม “เอ็มโอยู” ที่ “ธนาธร” เซ็นแล้วเอามาตีปี๊บ ก็ชัดเจนว่า “Blind Trust” ต้องเริ่มทำงานแล้ว
จู่ๆจะมาบอกว่า ก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่ ส.ส.อย่างที่ “ ปิยบุตร” อ้างก็กระไรอยู่
เพราะการที่ “ธนาธร” จะได้ทำหน้าที่ ส.ส.หรือไม่นั้น ไม่ได้มีผลต่อ “อิทธิพล” ของอดีตผู้บริหารไทยซัมมิทให้มากน้อยขึ้นแต่อย่างใด ด้วยในวันนี้สถานะของ “ธนาธร” ไม่ใช่แค่ “ส.ส.หัวเดียวกระเทียมลีบ” แต่เป็นทั้ง “หัวหน้าพรรค” และยังเป็น “เจ้าหนี้” ของพรรคอนาคตใหม่ ที่มี ส.ส.ในมือตั้ง 80 ชีวิต
หากคิดในแง่ร้าย ใช้แค่เสียงเดียวของ “ธนาธร” คงไปไขว่คว้าหาผลประโยชน์อะไรไม่ได้มากนัก แต่ถ้าใช้เสียงทั้งหมดของพรรคอนาคตใหม่กว่า 80 เสียง ต้องบอกว่ากระหึ่มระดับ “ใหญ่คับประเทศ”
ระดับนี้แล้วไม่ต้องเข้าสภา แล้วคอยเป็น “คนสั่งการ” อยู่นอกสภาฯ เลี่ยงระบบตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ “เสี่ยเอก” ไม่ปลื้มเป็นทุนยังจะดีกว่า
ส่วนเรื่อง Blind Trust ก็ควรทำให้ชัดเจน อย่า “ลักปิดลักเปิด” จนถูกโห่ฮาว่าที่แท้ก็แค่ “สร้างภาพ”
“ไอ้โม่ง” พึ่ง “ล็อบบี้ยิสต์” ถล่มไทย
อีเว้นท์สำคัญประจำเดือนกันยายนของทุกปี การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ (United Nations General Assembly - UNGA) ซึ่งปีนี้เป็นครั้งที่ 74 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน 2562 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ตามคิว “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่พลาดเดินทางไปร่วมประชุม ในฐานะผู้นำประเทศที่มาจาก “รัฐบาลเลือกตั้ง” หลังจากที่ในช่วง 5 ปี ยุค คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปบ้างไม่ไปบ้าง ด้วยมักถูกทวงถามหาการเลือกตั้งในประเทศไทย จนตอบไม่ถูก
ด้วยสถานะ “นายกฯจากการเลือกตั้ง” ทำให้รอบนี้ “เดินสะดวก” เป็นที่ยอมรับของผู้นำนานาชาติ ที่เข้ามาทักทายพูดคุยอย่างไม่ขาดสาย ต่างจากสมัยหัวหน้า คสช.ชัดเจน
ก่อนที่ “บิ๊กตู่” จะเดินทางไป ฝ่ายความมั่นคงไทย ก็ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า จะมีกลุ่มผู้มาชุมนุมประท้วง ในระหว่างปฏิบัติภารกิจที่นครนิวยอร์ก เหมือนเช่นทุกครั้งที่สวมหมวกหัวหน้า คสช.ไปเข้าร่วมร่วม โดยพบว่ามีความเคลื่อนไหวผ่านเว็บไซต์และเฟซบุ๊กของกลุ่มคนเสื้อแดงในสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงสื่อสังคมออนไลน์ที่สนับสนุน ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พี่น้องอดีตนายกฯหลบหนีคดี ที่ปรากฏว่ามีการนัดหมายปลุกระดมมาเป็นระยะๆ
แล้วก็เป็น “เดอะขวด” สุนัย จุลพงศธร อดีต ส.ส.เพื่อไทย ที่หลบหนีคำสั่งเข้ารายงานตัวต่อ คสช.ไปอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ที่ได้ประกาศว่า “พี่น้องคนไทยที่รักประชาธิปไตยในนิวยอร์ก เตรียมต้อนรับคุณประยุทธ์แล้ว" พร้อมตีปิ๊บป้ายโฆษณาบนอาคารร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนน 45th Street ตัดกับถนน 2nd Ave บนเกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ใกล้กับที่ทำการสหประชาชาติขึ้นมาแสดง
เป็นป้ายระบุข้อความ "UNITED NATION GENARAL ASSEMBLY : DON’T LET DEMOCRACY DIE IN THAILAND!" ซึ่งแปลเป็นไทยว่า "การประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ : อย่าปล่อยให้ประชาธิปไตยตายในประเทศไทย" โดยระบุชื่อเว็บไซท์เจ้าของป้ายนี้ว่า ThaiDemocracyNow.org
นอกจากนั้นยังปรากฏข้อความคล้ายกันบนป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ ในบริเวณใกล้เคียงกันอีกอย่างน้อย 2 ป้าย มีข้อความว่า "Restore Democracy in Thailand now! We Need Your Help!" หรือ "คืนประชาธิปไตยให้ประเทศไทยเดี๋ยวนี้! เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!"
แต่ปรากฏว่าถึงเวลาจริง “สุนัย” กลับแจ้งแฟนคลับว่า ต้องเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 1 สัปดาห์ ส่งผลให้ผู้ที่ไปคอยต้อนรับ “ลุงตู่” มีแต่ผู้สนับสนุน ไม่ได้มี “ม็อบต้าน” อย่างที่คาด ขณะเดียวกัน “กลุ่มเรดยูเอสเอ” ที่เคยเป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหวยามที่ “ประยุทธ์” ไปเยือนแดนลุงแซม มาปีนี้กลับไม่มีบทบาทใดๆ
จนเกือบจะเสร็จสิ้นภารกิจอยู่แล้ว “บิ๊กตู่” เพิ่งมาเจอ “กลุ่มต่อต้าน” จะจะในระหว่างกล่าวปาฐกถากับ Asia Society ที่พบว่ามี ผู้แฝงตัวมานั่งฟังก่อนชูป้ายประท้วง ก่อนถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในงานเชิญตัวออกจากห้อง ทันที
ก่อนที่เฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ของ “สาวโบว์” ณัฏฐา มหัทธนา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง จะออกมาเฉลยว่า กลุ่มคนที่ไปประท้วง “บิ๊กตู่” นั้นนำโดย “สาวนัช” นัชชชา กองอุดม อดีตนักศึกษา และนักกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการชู 3 นิ้ว กลางห้างดังใจกลางเมือง จนถูกเชิญไปปรับทัศนคติ ซึ่งขณะนี้ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกมาร่วมประท้วง “นายกฯตู่” ได้ 5 ชีวิต
การปรากฏกายของ “สาวนัช” ที่ขึ้นชื่อว่า “ขาประจำ” ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แปลกที่การประท้วงหนนี้ “กร่อย” ผิดปกติ ขากการมีส่วนร่วมจาก “คนเสื้อแดง” ที่เคยเป็นแกนหลักอย่างสิ้นเชิง
ที่คึกคักกว่าคงเป็นการประท้วงที่หน้าโรงแรมพลาซ่า แอทธินี ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานที่พักของ “บิ๊กตู่” และผู้นำประเทศอื่นๆ ปรากฏว่ามีกลุ่มผู้ประท้วงที่ใช้ชื่อว่า ThaiDemocracy Now ราว 25-30 คนใส่เสื้อหลากสีลายธงชาติไทยพร้อมชื่อกลุ่ม มาถือป้ายประท้วงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่เป็นธรรมและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ด้านข้างของโรงแรม ในขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้ง “บิ๊กตู่” เดินทางไปประชุมที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติแล้ว
ซึ่งกลุ่ม ThaiDemocracy Now ก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่ติดป้าย “อย่าปล่อยให้ประชาธิปไตยตายในประเทศไทย” บนเกาะแมนฮัตตันนั่นเอง
แต่เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามไปสอบถามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่ถือป้ายเกี่ยวกับประเทศไทยทั้งหมด พบว่า “ไม่ใช่คนไทย-พูดไทยไม่ได้” ก่อนจะสืบทราบว่า ส่วนใหญ่เป็นชาว “เม็กซิโก-เปรู” ที่อ้างว่ามาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยยอมรับเต็มปากว่า “ไม่รู้จักประเทศไทย” เสียด้วย
เมื่อเข้าไปสำรวจเว็บไซต์ ThaiDemocracyNow.org พบว่า เป็นขององค์กรที่ชื่อว่า "คณะกรรมการเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย" หรือ Committee for Human Rights and Democracy in Thailand ระบุเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในประเทศไทย
แต่เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อมูลไม่มาก ดูคล้ายกับเป็น “เว็บไซต์ใหม่” และเมื่อดูจาก “สำนวนภาษา” แล้วพอสรุปได้ว่า อาจจะไม่ใช่ “คนไทย” เป็นผู้ดำเนินการด้วย
เช่นเดียวกับแฟนเพจเฟซบุ๊ก “Thai Democracy Now” ที่เชื่อมต่อไปจากเว็บไซต์ดังกล่าว ก็ปรากฏว่าเพิ่งก่อตั้งและโพสต์เนื้อหาได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
จังหวะเดียวกันก็มี “เอกสารหลุด” ฉบับหนึ่ง เป็นสัญญาระหว่าง “นักการเมืองไทยชื่อดัง” กับองค์กรที่ชื่อ “APCO Worldwide LLC” ลงนามกันเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2562 ที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา วอชิงตัน ดีซี โดยมีข้อความสำคัญระบุถึง Scope of work (Service) หรือ ขอบเขตงาน (บริการ) ว่า
“Mutually agreed amount of stakeholder engagement and strategic communications services within the United States to foster better awareness in the United States of the political and social landscape in Thailand”
หรือแปลเป็นไทยว่า “ช่วยให้ข้อมูลกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และให้บริการคำปรึกษาทางยุทธศาสตร์และสื่อสารให้กับทางสหรัฐอเมริกา เพื่อเสริมสร้างความระแวดระวังระหว่างสหรัฐอเมริกาในด้านการเมือง และภาคสังคมในประเทศไทย”
สัญญาดังกล่าวยังระบุห้วงเวลาดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 10,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 300,000 บาทไทย ตลอดสัญญา 6 เดือน มูลค่า 60,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1,800,000 บาทไทย
โดยเมื่อตรวจสอบ “APCO Worldwide LLC” พบว่า “เป็นบริษัทด้านประชาสัมพันธ์ ให้คำปรึกษา และสนับสนุนการสื่อสารช่วยให้องค์กรภาครัฐ และเอกชนชั้นนำ” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ล็อบบี้ยิสต์” นั่นเอง
“APCO Worldwide LLC” มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานอยู่ในเมืองใหญ่ทั่วโลกทั้งที่ปักกิ่ง, บรัสเซลล์, ดูไบ, เบอร์ลิน,โตเกียว, เซี่ยงไฮ้, มิลาน, ลอนดอน, นิวเดลี และที่ “กรุงเทพมหานคร” ด้วย เป็นต้น
หากสัญญาฉบับดังกล่าวเป็น “จริง” ก็เท่ากับยืนยันว่า “นักการเมืองไทยชื่อดัง” ซึ่งที่ผ่านมามักเดินทางไปต่างประเทศทั้งสหรัฐฯ-ยุโรป บ่อยครั้ง เพียง “เคลม” ว่านานาชาติให้การยอมรับในตัวเองและชาวคณะ มีการใช้บริการ “ล็อบบี้ยิสต์” เพื่อประสานงานฝ่ายการเมืองในต่างประเทศ และตีปิ๊บประเด็นประชาธิปไตยในประเทศไทยตามที่เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้
เมื่อ ธนาธร ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นเอกสารจริง ก็พอจะอนุมานได้ว่า “APCO Worldwide LLC” ที่มีระยะเวลาจ้างงาน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 น่าจะมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยกับแคมเปญ “Thai Democracy Now” ที่เพิ่งเริ่มดำเนินการไม่นาน เพราะเป็นห้วงเวลาที่ประจวบเหมาะกันแบบพอดิบพอดี
จริงเท็จและเกี่ยวข้องกันอย่างไรไม่รู้ได้ เพราะคงมีแต่ “เจ้าตัว” เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ไจ เพียงแต่ต้องบอกว่า เห็นผลงาน “วางบิล” แบบนี้ “คนจ้าง” คงชีช้ำไม่น้อย เพราะอีเวนท์ที่อุตส่าห์ทุ่มทุนลงไป กลายเป็นที่ขบขันไปทั่วโลก จนอยากยืมวรรคทอง “How Dare You - คุณกล้าดียังไง” สุนทรพจน์ของสาวน้อย “เกรตา” บนเวทีสหประชาชาติ ที่สะกดคนทั้งโลก มาถาม “นักการเมืองไทยชื่อดัง” ว่า กล้าดียังไง ถึงเอาชื่อเสียงประเทศไทยปู้ยี้ปู้ยำในเวทีโลก