ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่”
คำคำนี้คือเป็นถ้อยคำ “อมตะ” ที่ “ยืนหนึ่ง” สำหรับเรื่องราวของ “ความศรัทธา” ที่แต่ละปัจเจกบุคคลมี “ความเชื่อ” ที่แตกต่างกันไป และเป็นคำที่ “ลงตัว” ที่สุดในวิถีของสังคมไทยที่ “พุทธกับไสย(ศาสตร์)” มักไปด้วยกันอย่างแยกไม่ออก
เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจกับการที่ “นักการเมือง” ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ด้วยการนำ “พระเครื่อง” และ “วัตถุมงคล” มาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงบัญชีทรัพย์สิน
นี่ไม่ใช่ “เรื่องใหม่” หากแต่เป็น “เรื่องเก่า” ที่พบเห็นกันมาเป็นเวลาช้านาน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่กลายเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” ของการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินเที่ยวนี้อยู่ที่ 2 นักการเมือง
คนแรกคนไทยรู้จักกันดีในช่วงหลังๆ เพราะพี่แกมักสร้างวีรกรรมให้เป็นภาพจำเสมอๆ นั่นคือ “เต้พระราม 7” นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
“เสี่ยเต้” แจ้งพระเครื่องเอาไว้หลายรายการ ประกอบด้วย พระร่วงหลังรางปืน จ.สุโขทัย เลี่ยมทองคำ 2 บาท มูลค่า 12,000,000 บาท, พระสมเด็จไกเซอร์ เลี่ยมทองคำ 2 บาท มูลค่า 30,000,000 บาท, พระพุทธชินราชใบเสมา เลี่ยมทองคำ 2 บาท มูลค่า 2,540,000 บาท, พระสมเด็จวัดระฆัง เลี่ยมทองคำ 1 บาท มูลค่า 40,020,000 บาท, พระรอดลำพูน เลี่ยมทองคำ 1 บาท มูลค่า 10,020,000 บาท, พระคงลำพูน เลี่ยมทองคำ 1 บาท มูลค่า 320,000 บาท , พระลือหน้ามงคล เลี่ยมทองคำ 1 บาท มูลค่า 420,000 บาท, พระยอดธง มูลค่า 2,000,000 ล้านบาท, พระพิฆเนศโบราณ เลี่ยมทองคำ 1 บาท มูลค่า 320,000 บาท และครุฑทองคำ ทองคำ 0.5 บาท มูลค่า 10,000 บาท
แต่ไฮไลท์ของ “เสี่ยเต้” อยู่ตรงที่ “กริ่งปวเรศทองคำ” ซึ่งเขาแจ้งมูลค่าเอาไว้สูงถึง 50 ล้านบาท และกลายมาเป็นข้อถกเถียงเพราะไม่เคยปรากฏในวงการพระเครื่องมาก่อนว่า “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์” แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้สร้าง “กริ่งปวเรศ” อันลือลั่น จะเคยสร้าง “เนื้อทองคำ” มาก่อน
ส่วนคนที่สองก็คือ นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล หัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย ซึ่งได้แจ้งรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เป็น “เหล็กไหล” 2 ก้อน โดยก้อนแรกเป็น “โคตรมหาเหล็กไหล” ที่มีมูลค่ากว่า 700 ล้าน และก้อนที่สองเป็น “มหาเหล็กไหล” มูลค่า 300 ล้านบาท
นอกเหนือจากคำถามว่า เป็น “ของจริง” หรือไม่แล้ว ประเด็นที่ผู้คนถามไถ่กันทั่วประเทศก็คือ เป็นราคาที่ “เวอร์เกินจริง” หรือไม่ และตามมาด้วยคำถามว่าสามารถแจงบัญชีทรัพย์สินในลักษณะนี้ได้จริงหรือ
ทั้งนี้ แม้ “พระเครื่องและวัตถุมงคล” ไม่อาจประเมินค่าได้เหมือนสินทรัพย์อื่นๆ เนื่องจากเป็นเรื่องของ “ความเชื่อ” และ “ความศรัทธา” แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดก็คือคำถามสำคัญที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันว่า จะมีความข้องเกี่ยวกับ “การฟอกเงิน” หรือไม่
แน่นอน ไม่ได้หมายความว่า ทั้ง 2 คนคือนายมงคลกิตติ์และนายคฑาเทพเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หากแต่เป็น “โจทย์ใหญ่” ที่ “ป.ป.ช.” ต้องพึงตระหนักและแสวงหาคำตอบ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต
และดูเหมือน ป.ป.ช.ก็ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวไม่น้อย ดังคำให้สัมภาษณ์ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่บอกว่า“ถือว่าเป็นมิติใหม่ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดย ป.ป.ช. จะจับตาเฝ้าระวังบุคคลกลุ่มนี้เป็นพิเศษ และเตรียมวางกฎเกณฑ์ป้องกันถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินด้วย”
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็ให้ความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจเช่นกันว่า กรณีดังกล่าวข้างต้น เป็นที่สงสัยและวิพากษ์วิจารณ์กันของสังคมไทยเป็นอย่างมากว่า มูลค่าทรัพย์สินต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการสร้างมูลค่าลวงขึ้นมาหรือไม่ มีหน่วยงานหรือองค์กรมาตรฐานใดให้ใบรับรองหรือไม่ หรืออาจเป็นกลเล่ห์ฉลของนักการเมืองที่อาจใช้เป็นข้ออ้างในการฟอกเงินเพื่อผ่องถ่ายทรัพย์สินแบบหลอกๆไปเป็นเงินสดในอนาคต หากมีเงินสดหรือทรัพย์สินอื่นงอกเงยขึ้นมาเกินกว่ารายรับที่พึงมีในขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็จะใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าได้จำหน่ายพระเครื่องหรือวัตถุมงคลดังกล่าวออกไปในราคาแพงตามที่ตั้งมูลค่าไว้ เป็นต้น
ดังนั้น ป.ป.ช. จะต้องมีระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตรวจสอบมูลค่าของทรัพย์สินดังกล่าวของนักการเมือง เพื่อปิดช่องโหว่ของการเลี่ยงบาลีในการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งหากนักการเมืองไม่สามารถแสดงหลักฐานใบรับรองมูลค่าของทรัพย์สินต่างๆได้ ก็สามารถชี้ได้เลยว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อเลี่ยงความจริงที่พึงต้องแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน ม.109 วรรคสาม ประกอบ ม.114 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 ซึ่งอาจมีโทษตาม ม.167 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
การตั้งข้อสังเกตของนายศรีสุวรรณมีความน่าสนใจยิ่ง
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว “วิชา มหาคุณ” อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้แง่คิดเอาไว้ว่า เรื่องพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นของปลอมหรือของจริง ป.ป.ช.ต้องหาข้อมูลว่า ได้มาจากแหล่งใด ยกตัวอย่างกรณี พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิ้น อ้างว่า พระต่างๆ ทางญาติผู้ใหญ่หรือทางตระกูลของท่านแลกเปลี่ยนเป็นประจำ ป.ป.ช.ก็ไม่ได้เชื่อในจุดนั้น เพราะว่าเป็นการอ้างลอยๆ ไม่สามารถหักล้างหลักฐานทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาได้ เป็นตัวอย่างที่ ป.ป.ช.เคยดำเนินคดีมา
เพราะฉะนั้นผู้ใดครอบครองสิ่งใดไว้ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ ถ้าต้องการเอาสิ่งนั้นมาอยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ไม่ว่าจะได้อะไรมาก็ต้องพิสูจน์ความมีมูลค่าของมันให้ได้ด้วย อย่าคิดว่าเอาแต่มาแจ้งอย่างเดียว
ประเด็นก็คือ ถ้าเผื่อมีคนร้องเรียนหรือ ป.ป.ช.ตรวจสอบภายหลังพบว่าเป็นทรัพย์สินผิดปกติหรือเป็นของปลอมก็จะมีปัญหา ประเด็นร่ำรวยผิดปกติก็จะตามมาทันที
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มีความเห็นสอดคล้องกับอาจารย์วิชา โดยระบุไปในทำนองเดียวกันว่า อันดับแรกต้องดูก่อนว่าของนั้นเป็นของจริงหรือไม่จริง มูลค่านั้นบางทีมันแล้วแต่ใจคนจะกำหนด แต่ก็แล้วแต่ว่าเป็นของจริงหรือไม่จริง ถ้าของไม่จริง แล้วไปตีราคาเวอร์เกินไปก็คงไม่ได้ แต่ถ้าของจริงจะตีราคาเวอร์หรือไม่เวอร์ก็ค่อยเอาผู้เชี่ยวชาญมาดู ซึ่งก็เป็นดุลพินิจของป.ป.ช.ว่าจะเชื่ออย่างไร
“ในอดีตเคยมีอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายนิพัทธ พุกกะณะสุต) ที่มีเหรียญรัชกาลที่ 5 และมีการตีราคาขายไป 30 กว่าล้าน แต่ป.ป.ช.ไม่เชื่อในราคานี้ เพราะดูราคาในท้องตลาดแล้วมันไม่ใช่” นายวิษณุกล่าวพร้อมระบุด้วยว่า ถ้าแจ้งเท็จก็ถือว่ามีความผิด
ถ้าพิจารณาจาก “กูรูทางด้านกฎหมาย” ทั้ง 2 คนก็จะพบประเด็นที่น่าสนใจและชวนให้ติดตามไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่า มิติของ “กริ่งปวเรศทองคำ” และ “เหล็กไหล” มีความแตกต่างกัน
กล่าวสำหรับกรณี “กริ่งปวเรศทองคำ” นั้น หลังปรากฏเป็นข่าว และนายศรีสุวรรณได้ร้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบ “เสี่ยเต้พระราม 7” ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า หาก ป.ป.ช. จะขอยึดไว้เพื่อตรวจสอบ ตนเองจะไม่ยินยอมให้ยึดไว้ เพราะกลัวหาย และหากหายตนเองจะแจ้งความจับ ป.ป.ช. ทั้งหมดในข้อหาลักทรัพย์
ส่วนที่นายศรีสุวรรณบอกว่าเป็นการสร้างมูลค่าเกินจริงนั้น “เสี่ยเต้พระราม 7” บอกว่า เป็นเพราะนายศรีสุวรรณไม่มีพระดังกล่าว ซึ่งตอนที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินตนเองยื่นตามหน้าที่ ขนาดสุนัขและกระติกน้ำร้อนยังยื่นเลย หรือจะต้องให้ยื่นภรรยาด้วยหรือไม่ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ จึงขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการฟอกเงิน แต่เป็นการยื่นตามกฎหมาย ดังนั้นหากใครไม่มีก็อย่าอิจฉากัน เรื่องแบบนี้อิจฉากันไม่ได้ อยู่ที่บุญใครบุญมัน คนที่มีบารมีเท่านั้นถึงจะมีได้ครอบครอง
...ดูจากสิ่งที่นายมงคลกิตติ์ชี้แจง เห็นได้ชัดเจนว่า เขามั่นใจใน “กริ่งปวเรศทองคำ” ของเขา แต่คำถามก็คือ กริ่งปวเรศทองคำมีจริงหรือไม่
พระกริ่งปวเรศ เป็นพระที่มีราคาเช่าซื้อกันสูงที่สุดในประเภทพระโลหะ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสร้างด้วยเนื้อนวโลหะ เพื่อประทานแก่เชื้อพระวงศ์ เจ้านายในวังที่สนิทคุ้นเคย หรือผู้ที่เห็นสมควรเท่านั้น
สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 เคยมีดำรัสถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศนี้ว่า ตำราการสร้างพระกริ่งและตำรามงคลโลหะ ที่มีมาแต่โบราณสืบค้นได้ถึงสมัยสมเด็จพระนพรัตนวัดป่าแก้ว
ทั้งนี้ พระกริ่งปวเรศองค์ที่เป็นของจริงนั้น ก็คือองค์ต้นแบบที่ประดิษฐานอยู่ในเก๋งกระเบื้องดินเผาจีนที่อยู่ใน พิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศ เวลามีงานใหญ่จริงๆ ถึงจะได้ชม แถมอยู่ไกลและอยู่ในเก๋งทำให้แทบจะพิจารณาให้ละเอียดไม่ได้
อาจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ปรมาจารย์ด้านพระเครื่องคนสำคัญของไทย ได้บันทึกเรื่องราวของพระกริ่งปวเรศเอาไว้ในหนังสือ PRECIOUS เอาไว้ว่า เป็นพระกริ่งองค์แรกของประเทศไทยโดยจำลองพุทธศิลป์ของพระกริ่งใหญ่จากประเทศจีน โดยสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับพระกริ่งปวเรศก็คือ เนื้อโลหะหรือเนื้อสัมฤทธิ์ ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ได้นำเศษฐานพระพุทธชินสีห์ซึ่งชำรุดจากการเคลื่อนย้ายมาสร้างเป็นกริ่งปวเรศ โดยเทเป็นเบ้าทุบตามทฤษฎีการสร้างพระหล่อในสมัยโบราณ
เช่นเดียวกับ สกลชัย ตั้งธนาเจริญวงศ์ หรือที่รู้จักในชื่อ “ฉ่อย ท่าพระจันทร์” ให้ความเห็นว่า ตามประวัติแน่ๆ มี 12 องค์ที่ได้มีการบันทึกไว้ แต่การสร้างพระไม่ว่าโบราณหรือสมัยนี้ก็แล้วแต่ ส่วนมากจะสร้างเพื่อไว้เผื่อเลือก คิดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 50-52 องค์ โดยเป็น “เนื้อนวโลหะ” หล่อแบบเทโบราณ ไม่มี “เนื้อทองคำ” แม้แต่ “กริ่งปวเรศ 2” ที่สร้างขึ้นในปี 2530 ก็ไม่มีเนื้อทองคำ
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ “เสี่ยอ๊อด- พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เคยจัดงาน “นิทรรศน์ศรัทธาแห่งสยาม” โดยชวนสมัครพรรคพวกนำ“พระเครื่อง-พระบูชา”มาร่วมประมูลในงาน เพื่อนำ“รายได้ส่วนหนึ่ง”ไปสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ยะลา
ไฮไลท์การประมูลวันนั้นอยู่ที่ “พระกริ่งปวเรศ” ที่ว่ากันว่า เป็นองค์ที่มีตำหนิเหมือนองค์ที่ “วัดบวรฯ” ที่สุด .. เจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “เสี่ยอ๊อด” เจ้าของงาน ซึ่งรู้กันดีในวงการว่าครอบครองพระองค์นี้มานานนับ 10 ปี เจ้าตัวยังประกาศ “พุทธคุณ” ด้วยว่า หนุนส่งจนได้เป็น “ผบ.ตร.” ก่อนหน้านั้นด้วย .. เมื่อถึงงานงานใหญ่ที่ตัวเองเป็นโต้โผ ก็เลยตัดใจนำออกมาประมูลเพื่อการกุศล .. ท้ายที่สุดมี “เศรษฐีใจบุญ ”คว้า “พระกริ่งปวเรศ” ไปครอง เคาะราคากันดุเดือดจนไปหยุดที่ 34 ล้านบาท ซึ่งถือเป็น “สถิติใหม่” ด้วยเดิมมีราคาสูงสุดอยู่ที่ 20 ล้านบาทเท่านั้น ..
ตามที่ “บิ๊ก อ๊อด” เล่าประวัติว่า เดิม “พระกริ่งปวเรศ” องค์ดังกล่าว เป็นของ “ผู้ดีเก่าคนหนึ่ง” แล้วขายให้ “เสี่ยต้า บางแค” ก่อนตกมาถึงมือ “เสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์” เจ้าของอาบอบนวดวิคตอเรียซีเครท ที่วันนี้ถูกหมายจับในหลายข้อหา ที่มีมิตรจิต-มิตรใจที่ดีกับ “เสี่ยอ๊อด” จึงปล่อยเช่ากันในราคา 15 ล้าน .. พร้อมกะเกณฑ์ว่า สนนราคาที่ได้ในการประมูลน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน หากต่ำกว่านั้น “บิ๊กอ๊อด ”ก็เคาะราคา 20 ล้าน ประมูลคืนมาเอง พอมี “เศรษฐีใจบุญ” ทุ่มทุนถึง 34 ล้านบาท ก็ “วิน-วิน” กันไป
แน่นอน เรื่องนี้แตกต่างจากกรณี “เหล็กไหล” พอสมควร เพราะปัญหาของเรื่องนี้คือ ใครจะพิสูจน์ได้ว่า เหล็กไหลของจริงเป็นอย่างไร ซึ่งแตกต่างจากกริ่งปวเรศอย่างเห็นได้ชัด
นายคฑาเทพ เปิดเผยถึงที่มาของเหล็กไหลดังกล่าวว่า เมื่อประมาณ 20 กว่าปีแล้ว มีชาวบ้านได้ไปขุดเจอโคตรมหาเหล็กไหลดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะคล้ายช่อ ขนาดความสูง 56 ซม. หน้าตักกว้าง 40 ซม. ชาวบ้านจึงเรียกว่าเหล็กไหลช่อ หรือเหล็กไหลเขาพระสุเมรุ เนื่องจากส่วนยอดของเหล็กไหลมีแท่นคล้ายบัลลังก์ แต่เมื่อนำไปเก็บไว้แต่กลับเกิดเรื่องไม่ดีต่อตนเองและครอบครัว จากนั้นชาวบ้านที่ครอบครองอยู่จึงได้ยกให้ตนเองมาบูชา เพราะเห็นว่าตนเป็นคนชอบทำบุญและศรัทธาในเครื่องรางของขลัง คงจะสามารถครอบครองเหล็กไหลได้
หลังจากนำมาบูชาที่บ้านปรากฏว่าได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับชีวิตของตนเองอย่างมากมายโดยไม่คาดคิดในเวลาไม่นาน และในไม่ถึง 1 ปี ชีวิตตนเองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก เสี่ยงทายขออะไรก็สมหวังตลอด จึงได้ทำพิธีบูชาครั้งใหญ่ ต่อมาพอชาวบ้านทราบข่าวก็ต่างพากันแห่มาขอพรและเสี่ยงทายมากมาย โดยถ้าหากขออะไรแล้วจะได้สมหวังดังใจก็จะทำให้ยกเหล็กไหลขึ้น ถ้าไม่สมหวังก็จะไม่สามารถยกเหล็กไหลขึ้นได้
หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไป ก็มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หลายรายติดต่อมาขอบูชาโคตรมหาเหล็กไหลจากตนในราคา 700 ล้านบาท แต่ตนก็ยังไม่ได้ตอบตกลงขายแต่อย่างใด เพราะตั้งใจไว้ว่าจะเก็บไว้บูชาที่พรรคพลังไทยรักไทยแห่งนี้ นอกจากนี้ ที่บ้านของ นายคฑาเทพ ยังมีเหล็กไหลอีก 1 ชิ้น หรือมหาเหล็กไหล ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกันกับก้อนไหล ขนาดความกว้างประมาณ 15 ซม. และชิ้นนี้ก็มีคนมาเสนอราคาขอซื้อในราคา 300 ล้านบาท และภายในห้องทำงานของ นายคฑาเทพ ยังมีวัตถุมงคลอีกจำนวนมาก ตั้งไว้บูชา รวมถึงอุกกาบาต (อุกามณีดำ) มูลค่า 10 ล้านบาทด้วย
“ฉ่อย ท่าพระจันทร์” ให้ความเห็นว่า ในวงการพระไม่มีการซื้อขายเหล็กไหล ไม่สนใจ ไม่มีการพูดถึง เสียเวลาการคุย เพราะพิสูจน์ไม่ได้ ส่วนที่มีก็ไม่แน่ใจว่า จริงหรือเท็จ หรือหลอกลวง
...ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า นี่คือวิวัฒนาการอันน่าทึ่งของ “นักการเมืองไทย” ซึ่ง ป.ป.ช.ในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ไม่อาจนิ่งเฉยเลยผ่านได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต...