xs
xsm
sm
md
lg

3 ทรยศ- จึงต้องยื่นถอดถอน

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
พรรคเดโมแครตใช้เวลานานมากในการชั่งน้ำหนักจะเดินหน้าขับเคลื่อนถอดถอนปธน.ทรัมป์ ตั้งแต่นาทีแรกที่เขาเข้าทำเนียบขาว ด้วยพฤติกรรมและท่าทีของปธน.ทรัมป์ และทีมงานที่ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับรัสเซียเป็นพิเศษ พร้อมๆ กับการเปิดโปงการติดต่อใกล้ชิดระหว่างทีมงามของทรัมป์ ทั้งในช่วงหาเสียงและหลังชนะเลือกตั้ง

เพราะรัสเซียคือประเทศที่คุกคามสหรัฐฯ ในลำดับต้นๆ (จนเมื่อปีนี้เองที่จีนแซงหน้ามาเป็นอันดับหนึ่ง) โดยเฉพาะจากที่อดีตปธน.โอบามา ได้ตัดความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการเมือง หลังการเข้าครอบครองคาบสมุทรไครเมีย พร้อมๆ กับการยึดครองเกือบครึ่งประเทศยูเครน โดยช่วยเหลือสนับสนุนฝ่ายกบฏยูเครนนั่นเอง

วันส่งท้ายปี 2016 (ปีเลือกตั้งปธน.ที่ทรัมป์ชนะ) รัฐบาลทรัมป์ได้ขับเนรเทศเจ้าหน้าที่รัสเซียที่ทำงานด้านสืบราชการลับในสหรัฐฯ ถึงเกือบ 40 คน ในข้อหาด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งต่อมาได้มีการเปิดเผยว่า ทีมงานข่าวกรองและความมั่นคงของรัสเซีย ได้ร่วมมือ (หรือสมคบ) กับทีมงานหาเสียงของทรัมป์ (ที่อาจรวมถึงการรู้เห็นเป็นใจของทรัมป์ เพราะเขาเป็นผู้บริหารกิจการที่รวบอำนาจอยู่แล้ว) ที่ชี้ช่องให้ทีมทะลุทะลวงเจาะข้อมูลของรัสเซีย เพื่อล้วงเอาความลับในการติดต่อของฮิลลารี กับทีมงานหาเสียงของเธอ (ซึ่งก็ไม่ต่างกับกรณี Watergate ที่นิกสันทำกับพรรคเดโมแครตในปี 1973)

ช่วงต้นปี 2017 ที่ทรัมป์เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ทรัมป์ต้องปลดพลโทไมเคิล ฟลินน์ ที่ปรึกษาความมั่นคงคนแรกของเขา เพราะทำงานใกล้ชิดกับรัสเซีย ขนาดนั่งติดกับปูตินในงานฉลองการก่อตั้งสื่อ Russia Today

ทั้งลูกชายทรัมป์ก็มีหลักฐานการเดินทางไปรับข้อมูล Dirt (ความโสโครก) ของฮิลลารีจากทีมรัสเซีย และส่งข้อมูลนี้ผ่านไปถึง Julian Assange เพื่อเผยแพร่ทาง Wikileaks จนทำเอาฮิลลารีคะแนนลดฮวบ เพียงไม่กี่วันก่อนการลงคะแนน ที่เธอไม่มีโอกาสอธิบายต่อสาธารณชนได้ทัน

นำมาสู่การกดดันจากพรรคเดโมแครตที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งกลางเทอม (2018) ซึ่งที่ชนะได้เสียงข้างมากในรัฐสภาล่างก็เพราะความเหลวแหลกของการบริหารทำเนียบขาวของปธน.ทรัมป์ ที่ทั้งเหยียดผิว, สร้างวาทกรรมเกลียดชังทุกๆ วัน, สร้างความแตกแยกทั่วทุกจุดในสหรัฐฯ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไม่ละอายใดๆ กับอาณาจักรทรัมป์ ทั้งโรงแรม, สนามกอล์ฟที่ข้าราชการอเมริกันจะเดินทางไปพักเมื่อทำภารกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งปธน.ทรัมป์เองก็เลือกที่จะไปใช้บริการรีสอร์ตของทรัมป์ที่มาร์-อาลาโก-(ฟลอริดา) ให้เป็นทำเนียบขาวในฤดูหนาว (ที่ฟลอริดาจะอุ่นกว่าที่ดี.ซี.) จนถึงรับรองแขกบ้านแขกเมืองระดับปธน.สี จิ้นผิง และนายกฯ อาเบะ ที่นั่นด้วย แทนที่จะใช้ Camp David ที่ไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดิน มิหนำซ้ำภาษีของประชาชนอเมริกันต้องจ่ายเพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างมหาศาล เวลาทรัมป์ไปพักที่มาร์-อาลาโก-หรือต้อนรับแขกเมืองที่นั่น-โดยกิจการทรัมป์รวยเอาๆ จากภาษีของประชาชน

พอเดโมแครตเข้ามาตั้งหลักเป็นเสียงข้างมากในสภา ก็เดินเรื่องขอข้อมูลจากอัยการพิเศษ Robert Mueller ที่ได้รับมอบให้ไปสอบว่า ทรัมป์และทีมงานได้ทำผิดกฎหมายความมั่นคงหรือไม่ ที่ติดต่อกับรัฐบาลรัสเซียซึ่งใช้เวลาสอบสวนอยู่นานถึงปีครึ่ง

รายงานของ Mueller ออกมาแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไม่กล้าฟันธงว่า ทรัมป์ทำผิดกฎหมายความมั่นคง แต่เลี่ยงไปสรุปว่า ก็ไม่ได้แสดงว่าทรัมป์บริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มที่

ประกอบกับเศรษฐกิจยังเดินหน้าขยายตัวเฟื่องฟู (เริ่มขยายตัวจากติดลบมากๆ สมัยบุชผู้ลูก แล้วมาเงยหน้าสมัยโอบามา-เรื่อยมา) ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนไม่อยากให้มีการขับเคลื่อนถอดถอนปธน. ทั้งๆ ที่หลักฐานในรายงานของ Muller มีหลายตอนที่ค่อนข้างชัดว่าทีมทรัมป์ร่วมมือกับรัสเซีย เพียงแต่ Mueller มีข้อจำกัดในการสืบสวนไต่สวนและจะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมต่อ

ฝ่ายนำเดโมแครต โดยประธาน Nancy Pelosi ที่เพิ่งเข้ามาเป็นประธานสภาล่าง เมื่อธันวาคมปีที่แล้วนี้เอง...เธอถูกกดดันจาก ส.ส.หญิงชายหน้าใหม่ของเดโมแครตที่หน้าใหม่ไฟแรง ต้องการให้สภาล่างเดินหน้ายื่นเรื่องถอดถอนทรัมป์ในเรื่องร่วมมือกับรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง 2016 และพฤติกรรมผลประโยชน์ทับซ้อนมากมายของทรัมป์ รวมทั้งทำให้ชาติแตกแยก

แต่แนนซี ประธานสภาล่างกลับไม่เห็นด้วยที่จะเดินหน้าถอดถอนทรัมป์ เพราะ ส.ส./ส.ว.ของเดโมแครตหลายคนยังจำเหตุการณ์ปี 1998 ที่ปธน.คลินตัน ถูกยื่นเรื่องถอดถอนจากสภาล่างที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก และประธานสภาล่างคือ Newt Gingrich ซึ่งได้ดำเนินการไต่สวนสอบสวนกินเวลาเกือบ 1 ปี และคะแนนเสียงให้ถอดถอนคลินตันผ่านสภาล่างฉลุย แต่มาตกม้าตายในวุฒิสภา โดยคลินตันได้ตัดหน้าออกทีวีขอโทษต่อชาวอเมริกันว่า เขาปกปิดความลับในตอนให้การกับคณะลูกขุนใหญ่ ว่าเขาไม่มีเพศสัมพันธ์กับนักศึกษาฝึกงานที่ห้องรูปไข่

การถอดถอนปธน.จะทำได้ก็โดยวุฒิสภาเท่านั้น และจะต้องได้คะแนนถึง 2 ใน 3 ต่างกับการถอดถอนในสภาล่างซึ่งเป็นชั้นต้น (ต้องการคะแนนแค่เกินครึ่งหนึ่งในสภาล่างเท่านั้น)

ผลการยื่นเรื่องถอดถอนคลินตัน กลับตาลปัตร เพราะการเลือกตั้งหลังคลินตันรอดการถอดถอน ปรากฏ ส.ส./ส.ว.พรรคเดโมแครตกลับได้คะแนนเสียงเพิ่มเข้าสภามากมาย และคลินตันก็ยังพ้นตำแหน่ง (หลังวาระ 2) ด้วยคะแนนนิยมถึงกว่า 70% ขณะที่ประธาน Gingrich กลับตกอับไม่ได้เป็นประธานสภาต่อไปในวาระ 2 ด้วยซ้ำ

แต่การที่มีข้าราชการดีๆ ของอเมริกาได้ทำเรื่องถึงหน่วยงาน National Intelligence Agency (กิจการข่าวกรองแห่งชาติ-เพิ่งตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์ 911) เล่าถึงปธน.ทรัมป์ติดต่อกับปธน.ยูเครน เพื่อแลกเปลี่ยน (quid pro quo) ให้ยูเครนไปหา Dirt ของอดีตปธน. Joe Biden และลูกชาย (นั่งอยู่ในคณะกรรมการพลังงานของยูเครน) เพื่อแลกกับงบช่วยเหลือทางทหารที่อเมริกาได้ตั้งงบไว้ถึง $250 ล้าน (แต่ทรัมป์สั่งให้ชะลอส่งมอบงบนี้) เพื่อขอแลกข้อมูลของ Biden ข้าราชการที่ยังปิดชื่อนี้ ได้ฟันธงไปว่า เป็นการเอาผลประโยชน์ของชาติไปต่อรองกับยูเครน; เพื่อให้ยูเครนปลอดภัยจากรัสเซีย และอยู่กับฝ่ายตะวันตก) มาแลกกับผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวของทรัมป์ สำหรับการเลือกตั้งปี 2020 นี้

ในที่สุด ประธานแนนซี ก็ออกมาแถลงว่า ปธน.ทรัมป์มีความผิดมหันต์ ในการทรยศต่อคำสาบานตน (ที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ), ทรยศต่อความมั่นคงแห่งชาติ และทรยศต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของการเลือกตั้ง... จึงสมควรให้มีการไต่สวนสอบสวน (โดยกรรมาธิการ 6 ชุดของสภาล่าง) เดินหน้าถอดถอนเขาออกตำแหน่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น