xs
xsm
sm
md
lg

นักเจรจา-มาแทนโบลตัน

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำ โรเบิร์ต โอไบรเอน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่  มาพบปะกับผู้สื่อข่าว
ขณะที่ศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรกำลังพิจารณาว่า รัฐบาลของนายกฯ บอริส จอห์นสัน เข็นพระราชกฤษฎีกาให้ปิดสภาชั่วคราวถึง 5 อาทิตย์ (ก่อนการเปิดสมัยประชุมที่จะมีการแถลงนโยบายประจำปีของรัฐบาลนายกฯ บอริส) เป็นการกระทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งถ้าศาลสูงสุดตัดสินว่าเป็นการกระทำของรัฐบาลนายกฯ บอริสที่ผิดกฎหมาย ; ก็จะทำให้ต้องเปิดสภาทันทีเพื่อให้ ส.ส.ได้มีการอภิปราญหาทางออกเรื่อง Brexit ; และนายบอริสก็จะมีอาการร่อแร่ในสภา เพราะเขากลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปแล้ว...ขนาดแพ้โหวตในสภามาถึง 6 ครั้งรวดให้แก่ญัตติของฝ่ายค้าน และฝ่ายกบฏจากพรรคของตนเอง ถ้าครั้งนี้แพ้อีกในศาลสูงสุด ก็จะเป็นการแพ้ครั้งที่ 7 ทีเดียว
บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
การรุกคืบของสภาต่อรัฐบาลนายกฯ บอริสครั้งนี้ ช่างมีอะไรละม้ายเหตุการณ์ของสภาไทยขณะนี้ โดยสภาสามัญของอังกฤษพยายามรุกฆาตนายกฯ บอริสว่า ไปทูลเกล้าฯ ถวายรายงานอย่างผิดๆ (หรือโกหก) แด่องค์กษัตรีอังกฤษ ซึ่งทำให้องค์พระประมุขต้องทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยคำเพ็ดทูลของนายกฯ บอริสที่ไม่พูดความจริงจนนำมาสู่การปิดสภาถึง 5 อาทิตย์ก่อนเปิดประชุมแถลงนโยบาย (Queen’s Speech) ซึ่งไม่เคยมีการปิดยาวนานขนาดนี้ในอดีต และเหล่า ส.ส.ที่รุกคืบนายกฯ บอริส มองว่า เป็นการปิดปากสภา-ปิดปาก ส.ส.-ไม่เป็นประชาธิปไตย

และเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นด้วยสำหรับผลการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ในรอบ 5 เดือนของอิสราเอล ที่อาจปราบเซียนอย่างนายบีบี้ (Bibi) หรือท่านนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮูที่ลงทุนยุบสภากะทันหัน หลังจากที่เขาล้มเหลวในการพยายามจัดตั้งรัฐบาลเพราะเสียงไม่พอ (หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน ที่เขาได้เก้าอี้เพียง 35 ที่นั่ง-พอๆ กับฝ่ายคู่แข่งที่ได้ 35 ที่นั่งในสภาที่มี 120 ที่นั่ง)
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล
เขาลงทุนขนาดติดสินบนซื้อเสียงของเหล่าชาวยิวที่ได้อพยพเข้าตั้งรกรากบนที่ดินฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (ดินแดนเวสต์แบงก์) ว่า ถ้าเขา (นายบีบี้) ชนะได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง (จะเป็นครั้งที่ 5) เขาจะผนวกดินแดน 1/3 ของเวสต์แบงก์ให้เป็นของอิสราเอลโดยสมบูรณ์ (แม้จะขัดกับมติ UN-เพราะดินแดนเหล่านี้อิสราเอลได้บุกเข้ายึดครองในช่วงชนะสงคราม 6 วันเมื่อปี 1967 ที่รบชนะประเทศพันธมิตรอาหรับ (ที่นำโดยอียิปต์, จอร์แดน, ซีเรีย, ปาเลสไตน์) และยูเอ็นมีมติให้อิสราเอลต้องคืนดินแดนเหล่านี้ให้กับประเทศอาหรับ)

และถึงขนาดเป็นยิ่งกว่าศรีธนญชัยเสียอีก ที่นายบีบี้ออกทีวีหาเสียงว่า ผลการทำโพลก่อนลงคะแนนเพียงไม่กี่วัน เขาบอกว่าผลโพลแสดงว่าเขาจะแพ้ และที่จะแพ้เพราะฝ่ายชาวอาหรับในอิสราเอลจะพากันขนคนมาลงคะแนนมืดฟ้ามัวดิน แบบครั้งที่แล้ว (เดือนเมษายน) ดังนั้น ชาวยิวที่ตั้งรกรากที่เวสต์แบงก์ก็จะออกมาลงคะแนนให้เขาเป็นแสนๆ คน

ขณะที่เรากำลังรอผลของเหตุการณ์ทั้งสองข้างต้น ก็มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงคนใหม่ที่เข้ามาแทนนายจอห์น โบลตัน (สายเหยี่ยวที่จะใช้กองกำลังทหารอเมริกันเข้าบดขยี้รัฐบาลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามอเมริกา) ซึ่งปธน.ทรัมป์ได้เลือก “นักเจรจา” ชื่อ โรบิร์ต โอไบรเอนที่มีผลงานในการเจรจาต่อรองเพื่อแลกเอาคนอเมริกันที่ถูกจับหรือถูกลักพาตัวในดินแดนต่างประเทศ เช่น ที่เกาหลีเหนือ หรือในอัฟกานิสถาน เป็นต้น

เขาเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศตำแหน่งเคยเป็นทูต และทำงานด้านการเจรจาต่อรองกับกลุ่มก่อการร้ายหรือกลุ่มติดอาวุธที่ได้เคยลักพาตัวคนอเมริกันไปเรียกค่าไถ่

ที่สำคัญคือ นายโรเบิรต์ โอไบรเอน นี้เป็นหัวแก้วหัวแหวนของรมต.ต่างประเทศไมค์ ปอมเปโอ (ที่มีข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า เขาจะมาควบ 2 ตำแหน่งคือ เป็นทั้งรมต.ต่างประเทศ และที่ปรึกษาความมั่นคง) ซึ่งนำใส่พานให้ทรัมป์เพื่อจะได้เป็นคอหอย และลูกกระเดือกเวลาประชุมสภาความมั่นคง

ทรัมป์ออกมาชื่นชมที่ปรึกษาความมั่นคงคนใหม่ เพราะเขาเป็นคนไม่โฉ่งฉ่างออกสื่อแบบนายโบลตัน ที่ชอบออกสื่อและไม่ยอมจะหุบปากเพื่อหว่านล้อมประธานาธิบดีให้คล้อยตามจุดยืนของตน คือ นายโบลตันชอบใช้สื่อมากดดันทรัมป์

แต่นายโรเบิร์ต โอไบรเอน เป็นคนพูดน้อยและไม่ชอบออกสื่อ ซึ่งทำให้ทรัมป์พอใจเพื่อจะไม่มีคนในทีมของตนออกมาวิจารณ์เขา

นอกจากนั้น นายโบลตัน ไม่ชอบทำงานเป็นทีม ต่างกับนายโอไบรเอน ซึ่งเคยอยู่ในทีมของปอมเปโอที่กระทรวงต่างประเทศด้วย

ที่สำคัญคือ นายโอไบรอัน เป็นนักเจรจาอันเป็นคุณสมบัติที่ดูแตกต่างสิ้นเชิงกับนโยบายท้าตีท้าต่อยของนายโบลตัน

ก็เป็นอีกดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนท่าทีหรือนโยบายของทรัมป์แบบ 180 องศา ในช่วงปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ที่คงจะหลีกเลี่ยงการปะทะอย่างดุเดือดเลือดพล่านกับประเทศที่เป็นศัตรูหรือคู่แข่งของสหรัฐฯ เช่น เกาหลีเหนือ หรืออิหร่าน

ไม่เพียงทรัมป์อาจลุ้นลึกๆ อยากสอยรางวัลโนเบล (ที่เขาชวดไปในปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ไปพบกับผู้นำเกาหลีเหนือถึง 2 ครั้ง 2 ครา) แต่จะเห็นทรัมป์พยายามหันไปสู่การเจรจามากขึ้น อย่างเช่นที่เขาขู่ฟอดๆ หลังเหตุการณ์โดรนนับสิบๆ ลำถล่มบ่อน้ำมันซาอุฯ และเขาขู่ว่า พร้อมลั่นไกปืนที่บรรจุกระสุนเต็มพิกัด (locked and loaded) เพื่อถล่มอิหร่าน...แล้วเปลี่ยนมาถอยว่า ไม่ต้องการสงครามขณะนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น