ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มรสุมยังคงสาดซัด “เรือเหล็กลุงตู่” อย่างต่อเนื่อง ราวกับหวังให้พังพาบอับปางกันตั้งแต่ต้นยก
เดิมที “ฝ่ายแค้น - ฝ่ายค้าน” ล๊อกไปที่ “เป้าใหญ่” อย่าง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยพยายามกดดันให้นายกฯเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจี้จุดความอ่อนไหวทางอารมณ์
เหมือนดั่งที่ทำให้นายกฯ “ของขึ้น” มาแล้วในการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา
อีกทางก็งัดเรื่อง “ทางเทคนิค” มาสะกิดแผล เผื่อจะเข้าเป้าเสยปลายคางให้หงายตกเก้าอี้ ทั้งกรณีคุณสมบัตินายกฯที่บดขยี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งโหวตเลือกนายกฯ กระทั่งมาเอาล่อเอาเถิดกับประเด็นถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นประเด็น “ละเอียดอ่อน” เกินกว่าจะพูดได้
แม้จะรู้ดีอีกว่า ยากที่จะทำให้นายกฯตกเก้าอี้ แต่ตามบทบาท “ฝ่ายค้าน” ก็จำต้องค้ำไว้ทั้งกรณียื่นคำร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติผู้เสนอตัวเป็นนายกฯว่าเข้าข่ายเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” หรือไม่ ซึ่งขึ้นแท่นรอชี้ขาดในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 18 ก.ย.62 นี้ ตลอดจนชิงจังหวะยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ที่ทางสภาฯบรรจุเข้าสู่วาระในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมงวดนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อจับ “ทิศทางลม” แล้ว “ลุงตู่” น่าจะฉลุยไม่ยาก จากผลการวินิจฉัยของหลายองค์กรในทั้ง 2 ประเด็นที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นหลังที่ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ไม่รับวินิจฉัยคำร้องที่ส่งต่อมาจาก ผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยระบุเหตุผลสำคัญว่า “ไม่อยู่ในอำนาจตรวจสอบขององค์กรใด”
ใครได้ฟังก็ร้องเสียงหลงว่า “จบแล้ว” แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่มองเช่นนั้น ด้วยการยื่นญัตติขออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ตายตัวว่า ทำได้ “ปีละหน” ขืนตีธงถอยตามทางลมจากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ “เสียของ” ยัง “เสียหน้า” อีกต่างหาก
ตามคิว วันที่ 18 ก.ย.62 นี้ ฝ่ายค้านเองก็รู้เต็มอกว่า พูดได้ไม่ค่อยถนัด และไม่มีผลใดๆ ก็ตาม ก็จำต้องกินดีหมีหัวใจเสือ วาง 15 ขุนพลลุยอภิปรายขยายปมถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน พ่วงไปด้วยการแถลงนโยบายที่ไม่แจงที่มาของงบประมาณ
ในขณะที่จ้องจะล่อไปที่ส่วนยอดอย่าง “นายก ฯลุงตู่” ก็ไม่พลาดที่จะไล่สแกนเป้าอื่นเสริม หมาย “เจาะยาง” ไปที่ระดับ “คีย์แมน” ตัดมือไม้ทำงานของรัฐบาลเป็นหลัก
หวยไปออกที่ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ถูกเข็นออกมาเป็น “ตำบลกระสุนตก” ตั้งแต่เมื่อช่วงก่อนได้รับหารโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรี ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ทั้งคดีความในและนอกประเทศ
ครั้งนั้น “ธรรมนัส” เองก็รู้ตัวว่าตกเป็นเป้า ในฐานะ “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล รวมทั้งผลงานคุมทัพเลือกตั้งที่มีส่วนสำคัญให้พรรคพลังประชารัฐได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล
ซึ่ง “ผู้กองนัส” เองก็รู้แผลตัวเองดี ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีว่าจะถูกโจมตีเรื่องใดบ้าง ซุ่มทำข้อมูลเตรียมไว้ ทั้งเรื่องคดีพัวพันฆาตกรรม เรื่องการถูกให้ออกจากราชการพร้อมถอดยศ หรือคดีเกี่ยวกับยาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย ก่อนเปิดแถลงข่าวชี้แจงทุกประเด็นแบบรวดเดียวจบ พร้อมทั้งยังเปิดหน้าตะเวนออกสื่อย้ำ “ความบริสุทธิ์” ของตัวเองแบบรัวๆ อยู่พักใหญ่
ย้อนไปช่วงนั้นก็ถือว่าเคลียร์คัทตัดจบไปหนนึงแล้ว
หลังเข้าประจำการเป็น “เสนาบดี” บทบาทของ “ธรรมนัส” ในฐานะ “มือประสานสิบทิศ” ที่คอยดูแล “พรรคจิ๋ว” และพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนในฐานะ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ด้วยมีสถานการณ์ให้ลงพื้นที่แก้ไข ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาพืชผลทางการเกษตร ตกต่ำ จนชิงพื้นที่สื่อ ทำแต้มให้รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
อย่าลืมว่า “ธรรมนัส” ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล อดีตคนกันเองของพรรคเพื่อไทย รู้มือกันดีว่าหากปล่อยให้ “เดินสะดวก” คงไม่ส่งผลดีกับการทำงานจองฝ่ายค้าน สำคัญที่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในเขตภาคเหนือ และในภาคอีสาน ที่ รมช.เกษตรฯ รายนี้ลงพื้นที่ไปทำงานอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเป้าหมายไม่เพียงสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาล ยังมองข้ามชอตไปถึงการเลือกตั้งท้องถิ่น และการเลือกตั้งสมัยหน้า ที่ชัดเจนแล้วว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่ “พรรคเฉพาะกิจ” อีกต่อไป
เป็นที่มาก็การพุ่งเป้าถล่ม “ธรรมนัส” ในฐานะ “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาลที่ถูกโหมกระแสอย่าง “ผิดสังเกต” อีกครั้ง
เปิดหัวด้วยรายงานข่าวเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ของ “หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์” ประเทศออสเตรเลีย ในหัวข้อ “จากผู้ร้ายสู่รัฐมนตรี” ที่มีเนื้อหาพุ่งเป้าไปถึงคดียาเสพติด ที่เคยเกิดขึ้นในเมืองซิดนีย์ ของออสเตรเลีย เมื่อปี 2536 ที่ “สื่อแดนจิงโจ้” อ้างข้อมูลจากการสืบค้นว่า “ธรรมนัส” หรือในชื่อเดิม “มนัส โบกพรหม” เคยถูกจับกุมในเดือน เม.ย.2536 และต้องโทษจำคุก 4 ปีที่ประเทศออสเตรเลีย
รายงานข่าวชิ้นนี้อ้างว่าเป็นการสืบค้นของ ไมเคิล รัฟเฟิลส์ บรรณาธิการข่าวอาชญากรรม นายไมเคิล อีแวนส์ บรรณาธิการข่าวสืบสวน ที่ตรวจสอบทั้งที่ศาลซิดนีย์ รวมไปถึงข่าวสั้นคดีอาชญากรรมของฉบับวันที่ 16 เม.ย.2536 ระบุการจับกุมผู้ต้องสงสัย 4 คน เป็นชาวออสเตรเลีย 2 คน และชาวไทย 2 คน หนึ่งในนั้นคือ “มนัส โบกพรหม” อายุ 27 ปี จาก กทม. ฐานสมรู้ร่วมคิดนำเข้าสู่เฮโรอีนรวมน้ำหนัก 3.2 กก. และผู้พิพากษา สั่งคุมขังผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 คนไว้
จากการตรวจสอบประวัติย้อนหลัง “มนัส โบกพรหม” พบว่ามีความเหมือนกันมากกับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ทั้งวันเดือนปีที่เกิด ประวัติรับราชการ
ประเด็นสำคัญคือระบุด้วยว่า “นายมนัสถูกจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ที่เรือนจำเมืองซิดนีย์ หลังให้การรับสารภาพต่อศาล ตามข้อหาสมรู้ร่วมคิดนำเฮโรอีนน้ำหนัก 3 กก.เข้าสู่ออสเตรเลีย”
กลายเป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านสามัคคีกันออกมาทวงถามทั้งในประเด็นคุณสมบัติที่อาจขัดต่อกฎหมาย และในเรื่องภาพลักษณ์ความสง่างามของรัฐมนตรีอีกครั้ง จนถึงขั้นกดดันให้ “ลาออก”
อย่างที่ทราบเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเมื่อช่วงเดือน ก.ค. ภายหลังได้รับโปรดเกล้าดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ “ธรรมนัส” เคยยอมรับว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่รายละเอียดคลาดเคลื่อน เนื่องจากเป็นกรณี “อยู่ผิดที่ผิดเวลา” และเป็นเรื่อง “โอละพ่อ” โดยยืนยันว่า ไม่ใช่คนที่นำเฮโรอีนเข้าออสเตรเลีย ไม่ได้เป็นผู้ผลิตยาเสพติด และไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายแต่อย่างใด เริ่มจากที่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ออสเตรเลีย โดยได้รับคำเชิญจากพี่คนหนึ่งที่ทำงานอยู่ใน ป.ป.ส.ของสหรัฐฯ และเดินทางเข้าออสเตรเลียโดยผ่านการตรวจค้นอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน แต่จนติดร่างแหจากคนที่ขนเฮโรอีน จึงถูกตั้งข้อหารู้ว่ามียาเสพติด แต่ไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเท่านั้น
“ผมมีความโชคร้าย เพราะคนที่ถูกจับนั้น กลับอยู่ที่เดียวกับที่ผมอยู่ด้วย ผมจึงโดนข้อหารู้ว่ามียาเสพติด แต่ไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบ ไม่ได้โดนข้อหาผลิตยาเสพติดและนำเข้ายาเสพติด ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหามาตลอด และถูกคุมขังประมาณ 8 เดือน จนถูกปล่อยออกมาใช้ชีวิตตามปกติในนครซิดนีย์ 4 ปีเต็มๆ ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาประเทศไทย เพราะนายกฯเทศมนตรีนครซิดนีย์ ไม่ต้องการให้คนเอเชียที่ตั้งตัวเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่งอยู่ ผมจึงถูกส่งตัวกลับมา แต่ไม่ได้มารับโทษ”
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ถูก “สื่ออวตาร” พยายามโจมตี เนื่องจากเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล มีบทบาทในการขับเคลื่อนและประสานงาน หากถูกล้มได้ รัฐบาลก็สั่นคลอน เพราะหลายเรื่องที่ได้ประสานงานไว้นั้นถือเป็นความลับที่เขารู้เพียงคนเดียว
เมื่อประเด็นถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง “ธรรมนัส” ก็ได้ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า “เป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนไปทั้งหมดแล้ว โดยเห็นว่าการจะเอาข้อมูลมาเขียนอย่างละเอียดยิบเช่นนั้น ต้องมีที่มาที่ไป โดยตอนนี้รู้หมดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ส่วนการต้องโทษจำคุกนั้น เป็นข้อตกลงระหว่างผมกับศาลรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจของออสเตรเลีย เป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ แต่ที่สื่อมวลชนออสเตรเลียเอามาเขียนนั้น รู้หมดแล้วว่าโยงใยและมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง ตอนนี้รู้ถึงโครงข่ายทั้งหมด และได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการทั้งทางแพ่งและอาญาต่อไป”
จาก “สื่ออวตาร” เมื่อเดือน ก.ค. มาถึง “ขบวนการอีแอบ” ที่ “ธรรมนัส” พูดชัดขึ้นมาเป็นขบวนการดิสเครดิตในเมืองไทยที่อยู่เบื้องหลังการตีพิมพ์ข่าว ที่มีเขียนขึ้นในประเทศไทย แล้วส่งไปให้ผู้สื่อข่าวที่ประเทศออสเตรเลีย
“รู้หมดแล้วใครอยู่เบื้องหลัง รู้ถึงโครงข่ายทั้งหมด หากข้องใจเปิดหน้ามาชกกันเลยดีกว่า ไม่ต้องเป็นอีแอบแบบนี้" คือคำท้าทายของ “ธรรมนัส”
กลายเป็น “เดอะตู่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่โดดออกมา “เคลม” ว่าตัวเขานี่แหละที่เป็นผู้ชี้เป้าให้ “สื่อออสซี่” ไปสืบค้นข้อมูลของ “ธรรมนัส” พร้อมเปิดเกมรุกหนักทันที ด้วยการส่งคนสนิทอย่าง พล.ต.ท.วิศณุ ม่วงแพรสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ซึ่งเคยทำสำนวนคดีฆาตกรรมที่ “ธรรมนัส” เคยตกเป็นผู้ต้องหาเมื่อช่วงปี 2541 ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาถาม “นายกฯประยุทธ์” ถึงกรณีของ “ผู้กองธรรมนัส”ที่ถูกสื่อต่างประเทศขุดคุ้ยว่าเคยถูกคดีค้ายาเสพติดและติดคุก 4 ปีที่ออสเตรเลีย
หมายใจว่าจะขยี้ให้ตายคาสภาฯ แต่กลับกลายเป็นการเปิดฟลอร์ให้ “ธรรมนัส” งัดข้อมูลโต้กลับได้ทุกเม็ด เนื่องจาก “บิ๊กตู่” มอบหมายให้เจ้าตัวมาตอบกระทู้แทน
ตั้งแต่เรื่องที่ “ธรรมนัส” ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่า “ดร.พูลสวัสดิ์ จิราภรณ์” ซึ่ง “ธรรมนัส” ระบุว่า คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลอาญาสั่งยกฟ้องไม่มีลงโทษใดๆ และอัยการก็ไม่อุทธรณ์ประเด็นใดๆ
ทั้งยังหยิบยกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้างมลทินปี 2550 ที่มีการล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่างๆ ได้กระทำก่อนหรือก่อนวันที่ 5 ธ.ค.2550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ ให้ถือว่าผู้นั้นมิถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆ ถือว่าชัดเจนและผมไม่มีความผิด โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่าถูกปลดออกจากราชการข้อหาผิดวินัยอย่างร้ายแรงด้วย
ขณะที่เรื่องราวที่ออสเตรเลียนั้น “ธรรมนัส” งัดเอาบทลงโทษทางกฎหมายของออสเตรเลียขึ้นมาชี้แจงว่า โทษการนำเข้า-ส่งออกเฮโรอีน โทษต่ำสุดคือ 10 ปี แต่หากเป็นเฮโรอีนจำนวนตามข่าวคือ จำคุกตลอดชีวิต การนำประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตี สะท้อนว่าไม่เคยศึกษากฎหมายของประเทศออสเตรเลียก่อน
“คดีนี้ไม่มีคำพิพากษา แต่เป็น Plea Bargaining (แปล : การต่อรองคำรับสารภาพ) โดยในขณะนั้นตนเป็นเด็กตัวเล็กๆ จากบ้านนอกจังหวัดพะเยา ภาษาอังกฤษยังไม่รู้เรื่องเลย จะไปเป็นมาเฟียที่ออสเตรเลียได้อย่างไร ผมไม่เคยรับสารภาพว่าขนยา ค้ายา หากเป็นข้อเท็จจริงไปเอามาเลยว่ารับสารภาพตรงไหน การต่อรองคำรับสารภาพ ผมไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนอะไรเลย ผมถูกกักขัง 8 เดือน หลังจากนั้นส่งไปทำงานที่ฟาร์มผู้ต้องขังของเด็กเกเร ตกเย็นก็กลับไปนอนที่เจ้าหน้าที่ให้นอน ใช้ชีวิตอยู่ถึง 4 ปี อัยการของเมืองซิดนีย์ ผู้พิพากษาท้องถิ่นบอกว่า ผมต้องมีหน้าที่เป็นพยานให้ผู้ต้องหาอีกคนที่เป็นฝรั่ง ซึ่งเมื่อครบ 4 ปี ผมไม่อยากกลับ อยากใช้ชีวิตครอบครัว แต่เมื่อรัฐบาลเขามีนโยบายให้กลับ ผมก็กลับโดยไม่มีคดีติดตัว ยืนยันว่าผมอยู่ 4 ปี ในฐานะพยาน โดยคดีนี้ท้ายสุดผู้ต้องหาที่เป็นฝรั่งยกฟ้อง ลองคิดดูว่าอะไรเป็นอะไร” คือคำกล่าวของ “ธรรมนัส” ในวันนั้น
เป็นที่มาของคำชมเชยจาก “บอสตู่” ว่า ได้ติดตามฟังการชี้แจงแล้วก็เห็นว่า “ธรรมนัส” ชี้แจงเป็นเหตุเป็นผล ส่วนเรื่องคุณสมบัติตามกฎหมายนั้นก็มีคณะทำงานในการตรวจสอบคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกคน และสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ศาล อัยการ ซึ่งทุกคนก็ผ่านมาทั้งหมด ถึงจะแต่งตั้งขึ้นมาได้ เพราะถ้าคุณสมบัติไม่ผ่าน ก็คงไม่ผ่านตั้งแต่แรก
ขณะที่ พล.ต.ท.วิศณุ ม่วงแพรสี ก็ดูเหมือนว่ายังไม่ยอมแพ้ เตรียมทำเรื่องในนามสภาฯ ยื่นไปยังศาลประเทศออสเตรเลียเพื่อขอคัดคำพิพากษาออกมาให้รู้แจ้งแดงแจ๋กันไปข้างหนึ่ง เพราะลำพังแค่เรื่องจากสื่อคงทำอะไรไม่ได้สักกี่มากน้อย ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร
อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่องนี้แล้ว อีกประเด็นของ “ธรรมนัส” ที่ถูกขุดขึ้นมาก็คือ กรณี วุฒิการศึกษา ของ “ธรรมนัส” ที่เพจ DSI LA ซึ่งระยะหลังผลงานไม่น่าเชื่อถือนำเสนอออกมา และคนที่ออกมาตะครุบเหยื่อไม่ใช่ใคร เป็น “เสรีพิศุทธ์”คนเดิม
ในประเด็นนี้ “ผู้กองธรรมนัส” หอบหลักฐานทั้งวิทยานิพนธ์ และใบแสดงผลการเรียน(ทรานสคริปต์) มายืนยันว่าจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ยูนิเวอร์ซิตี้ ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นสถาบันที่กระทรวงศึกษาธิการของรัฐแคลิฟอเนียร์ให้การรับรองว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ถูกต้อง และมีเครือข่ายทั่วโลก
โดยระบบการเรียนคล้ายกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือไม่ต้องไปนั่งเรียน ถึงเวลาสอบก็จะมีอาจารย์มาสอบ ทำวิจัย และวิทยานิพนธ์ ซึ่งวิทยานิพนธ์ที่ทำจะต้องเอาไปประกาศในวารสารสำคัญ คือวารสารยูโรเปียน ถ้าใครที่ทำวิจัยแล้วไม่ได้เอาไปประกาศไว้ในวารสารยูโรเปียนของสหรัฐ ถือว่าปริญญาปลอม
“สรุปอีกครั้งหนึ่งว่าการได้ปริญญาของผมไม่ใช่มาจากประเทศฟิลิปปินส์ แต่มาจากสหรัฐฯ และสำคัญที่สุดผลงานวิจัยจะต้องมีรายชื่อผู้ให้ข้อมูลหลัก คนแรกคือนายพูลสิน วรินรัตน์ อดีตประธานองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)พะเยา ซึ่งตอนนี้เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และยังมีคุณอัครา พรหมเผ่า ซึ่งเป็นน้องชายของผม และเป็นรองนายกฯอบจ.พะเยาอยู่ในเวลานั้น และยังมีอาจารย์บุญส่ง เมืองกรุง ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา นายธีรศักดิ์ สิทธิชัยกิจ เป็นเลขานุการหอการค้าจังหวัดพะเยา”
“ทุกอย่างมีที่มาที่ไปหมด ไม่ใช่ว่าไปซื้อมาจากฟิลิปปินส์ และการจบปริญญาเอกของผมมีทรานสคริปต์ยืนยันว่าเกรดที่ผมได้มีเกรดอะไรบ้างชัดเจน และที่มีการนำภาพมหาวิทยาลัยที่เป็นตึกแถวมาโพสต์นั้นคือที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประเด็นอยู่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยปลอม ยืนยันว่าเป็นคนละที่กับที่ผมเรียน แถมยังมีการเปลี่ยนถ้อยคำของมหาวิทยาลัยทำให้เขาเสียหายมาก”ร.อ.ธรรมนัสยืนยันพร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยสไตล์นักเลงภูธร กล้าเปิดหน้าท้าชน ไม่หลบเข้ามุมอย่างที่อีกฝ่ายคาดไว้
เรียกว่า “ยิ่งทุบยิ่งหวาน” ก็คงจะใช่
และเอาเข้าจริง สมมติว่า “ธรรมนัส” เพลี่ยงพล้ำและมีอันต้องหลุดจากเก้าอี้ทางการเมือง เขาก็ยังคงเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล เป็นมือประสานสิบทิศที่มีบทบาทสำคัญอยู่ “เบื้องหลัง” เหมือนเดิม...นะจะบอกให้.