xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“กี้ร์”-แกนนำ นปช. จบเห่ ส่วน “นายใหญ่” ยังสบายดีนะจ๊ะ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เวรกรรมไล่ล่าตามมาทันตาเห็นสำหรับ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปช. ที่ทำตัวยิ่งใหญ่คับแผ่นดิน ไม่มีสำนึกในสิ่งที่ไม่ควรทำกับประเทศชาติในโอกาสที่ไทยเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่เมืองพัทยา และผลของการก่อความไม่สงบ ปิดล้อมโรงแรมที่ประชุมของกลุ่มนปช. จนส่งผลให้คณะผู้นำประเทศต่างๆ ต้องรีบเผ่นหนีในคราวนั้น ได้รับการตัดสินคดีเป็นที่สุดแล้ว

โดยศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตัดสินจำคุกหัวโจกคนสำคัญ “กี้ร์” - อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง พร้อมพวก เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา

บรรยากาศในวันที่ 11 กันยายน 2562 ที่ศาลจังหวัดพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช.กับพวกรวม 13 คน เป็นจำเลย ในข้อหาร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงานที่ไม่ให้มีการชุมนุมเกินกว่า 10 คนขึ้นไป และ พ.ร.บ.จราจร พ.ศ.2522 นั้น ปรากฏว่า มีเพียงนายศักดา นพสิทธิ์ จำเลยที่ 10 มาศาลเพียงคนเดียว

เป็นวันพิพากษาคดีที่ตัวป่วนปากดีอย่าง “กี้ร์” หนีหน้าแจ้งศาลว่าป่วยด้วยโรคบ้านหมุน ซึ่งเป็นคำอ้างที่ศาลว่าฟังไม่ขึ้นไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงจนต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษา และเป็นวันที่ไม่มีเงาหัวของบรรดาแม่ยกมาห้อมล้อมแห่แหนเหมือนเคย

ในวันนั้น ทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน ให้เหตุผลว่าจำเลย 2 คนป่วยพร้อมแสดงใบรับรองแพทย์ยืนยัน ส่วนจำเลยอีก 3 คน ไม่ได้รับหมายนัด แต่ศาลไม่เลื่อนนัด สั่งอ่านคำพิพากษาทันที โดยใช้เวลาราว 5 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ

คำพิพากษาของศาลฎีกา ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำเลย 12 คน จำคุกคนละ 4 ปี ในข้อหาร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน

จำเลยในคดีทั้ง 12 คน ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง หรือกี้ร์, นายนิสิต สินธุไพร, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวรชัย เหมะ, นายวันชนะ เกิดดี, นายพิเชฐ สุขจินดาทอง, นายศักดา นพสิทธิ์, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายนพพร นามเชียงใต้, นายสำเริง ประจำเรือ, นพ.วัลลภ ยังตรง และนายสิงทอง บัวชุม

ส่วนนายสมยศ พรหมมา หรือนายสมญศฆ์ พรมมา ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เพราะเห็นว่าเป็นเพียงผู้ร่วมชุมนุม

หลังจากศาลจังหวัดพัทยา อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา นายศักดา นพสิทธิ์ ถูกคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษพัทยาทันที

ขณะเดียวกัน ศาลให้ออกหมายจับจำเลยทั้ง 8 คน ที่ไม่มาศาล และให้ออกหมายนัดใหม่ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ เพื่อมาฟังคำตัดสินของศาลฎีกาอีกครั้ง ในวันที่ 31 ตุลาคม 2562เวลา 09.00 น.

ทันทีที่ศาลมีคำตัดสิน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็ขยับรับทันที โดย พล.ต.ท.สมพงศ์ ชิงดวง ผบช.สตม.เปิดเผยถึงกรณี 12 แกนนำ นปช. ที่ไม่ไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีล้มประชุมอาเซียนซัมมิต เมื่อปี 2552 ว่า การที่ไม่ไปฟังคำพิพากษาศาล เข้าข่ายมีพฤติกรรมหลบหนี จึงได้สั่งขึ้นบัญชีดำแกนนำ นปช.ทั้ง 12 คนห้ามออกนอกประเทศ

สำหรับความเป็นมาของคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10-11 เม.ย.2552 นายอริสมันต์ อดีตแกนนำ นปช.กับพวกเข้าปิดล้อมหน้าโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ต เมืองพัทยา ซึ่งกำลังจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนแล้วบุกเข้าในโรงแรมเพื่อยื่นหนังสือประท้วงต่อตัวแทนอาเซียนจนการประชุมต้องล้มเลิก ต่อมาเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีผู้ร่วมกระทำความผิดส่งพนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยารวม 13 คน ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง หรือกี้ร์, นายนิสิต สินธุไพร, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวรชัย เหมะ, นายวันชนะ เกิดดี, นายพิเชฐ สุขจินดาทอง, นายศักดา นพสิทธิ์, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์, นายนพพร นามเชียงใต้, นายสำเริง ประจำเรือ, นายสมยศ พรหมมา, นพ.วัลลภ ยังตรง และนายสิงทอง บัวชุม โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา กระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าว

ผลสะเทือนจากคดีนี้ นอกจากกลุ่มแกนนำ นปช. จะหมดอนาคตทางการเมือง เพราะติดชนักต้องโทษจำคุกในคดีอาญาถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ห้ามลงรับสมัคร ส.ส. ยาวนานยิ่งกว่าถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเสียอีก หลายคนที่เป็นนักการเมืองก็ต้องถือว่าจบเห่กันไป

ในส่วนของ ส.ส.ฝั่งรัฐบาลที่เข้า “โปรย้ายค่าย” อย่าง พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภารัตน์ ที่ย้ายจากค่ายเพื่อไทย ซึ่งเวลานี้มีสถานะเป็น ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องพ้นสภาพการเป็น ส.ส. ในที่สุด เพราะคำตัดสินของศาลฎีกา ออกมาชัดแล้วว่าโดนลงโทษด้วย

ถึงแม้ว่าเวลานี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะบอกว่า เมื่อศาลฎีกายังไม่ได้อ่านคำพิพากษาในส่วนของ พ.ต.ท.ไวพจน์ ก็ยังไม่ถือว่าพ้นสภาพ ส.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถไปจับตัวได้ ต้องรอให้ศาลฎีกา อ่านคำพิพากษาในวันที่ 31 ตุลาคม 2562 นี้เสียก่อน ถ้าในวันดังกล่าวศาลฎีกาอ่านว่าผิดจะพ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ในตอนนั้น

อันที่จริงคำชี้แจงของนายวิษณุ คงเป็นเพียงการต่อลมหายใจออกไปอีกนิดหน่อย อย่างน้อยๆ ฝั่งรัฐบาลก็จะได้เตรียมพร้อมลงสนามชิงชัยในจังหวัดกำแพงเพชรมาทดแทน พ.ต.ท.ไวพจน์ ที่มีอันเป็นไปจากคดีนี้

แต่ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ นปช. หรือ ส.ส.โปรย้ายค่าย ก็ขอให้ก้มหน้ารับกรรมอย่างที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เชิญชวนเข้าคุกชดใช้กรรมทุกเม็ดให้หมดสิ้นกันไปเลยดีกว่า ตามที่นายชูวิทย์ กล่าวเอาไว้ว่า “เวรกรรมมีจริง วันนี้ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี แกนนำ นปช. ที่บุกล้มงานประชุมอาเซียนซัมมิท เมื่อปี 2552 ทำกันถึงขนาดผู้นำต่างชาติเผ่นหนีแทบไม่ทัน ขายหน้าเขาไปทั่วโลก จำเลย 12 คน มาศาลแค่คนเดียว อีก 11 คน นั่งรอฟังที่ไหนไม่รู้ อย่างนี้เขาเรียกว่า “ฟังลับหลัง” หากเห็นว่าโทษเบา ก็มอบตัวรับโทษ แต่หากโดนโทษหนัก ก็ต้องหนีตัวใครตัวมัน ส่วนที่เป็น ส.ส. ก็ไม่รอด พ้นสภาพ ส.ส. เดินเข้าคุกทันที ถึงหนีไปได้ แต่ก็หาความสุขไม่มี สู้เดินยืดอกรับโทษอย่างลูกผู้ชายดีกว่า เมื่อยืนกราน “ทำเพื่อประชาชน” ก็ต้องโทษทางอาญาเพื่อประชาชน กล้าเดินหน้าเข้าคุก ยังดีกว่าพี่บุญทรงที่ได้เลข 4 นำเหมือนกัน แต่เป็นสองหลัก 48 ปี นี่เลขหลักเดียว แค่ 4 ปีเท่านั้น”

“ถามคนที่เคยติดคุก ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังศาลตัดสิน หูจะอื้อ ตาจะลาย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สับกุญแจใส่มือ จูงเดินขึ้นรถเรือนจำไปติดคุกเหมือนคนไร้วิญญาณกันทั้งนั้น อย่างผมเคยมีประสบการณ์มาแล้วหลายครั้ง ถึงแม้จะรู้ตัวว่าติดแน่ แต่ก็เดินหน้าชื่นอกตรมขมใจเข้าคุกทุกครั้ง ไม่เคยคิดหนี”

แถมนายชูวิทย์ ยังตบท้าย “ขอเชิญชวนให้อีก 11 คน มาติดคุกกันดีกว่า โทษแค่ 4 ปี ติดจริงคงไม่เกิน 2 ปี เดี๋ยวก็ได้ออกมากอดลูกกอดเมียใช้เงินแล้ว ผมจึงเชื่อว่าคงกำลังตัดใจร่ำลาลูกเมียกันอยู่ เช่นเดียวกับ “ฮีโร่ของมวลมหาประชาชน” ที่เคยบอกว่ายอมเป็นกบฏเพื่อชาติ ขอเป็นขี้ข้าประชาชน หากวันใดวันหนึ่งที่ไปสุดทาง ศาลฎีกาตัดสิน หวังว่าคงไม่หลบไปฟังลับหลัง กล้ายืนเต็มขาหน้าบัลลังก์ ฟังคำพิพากษาให้หมดเวรหมดกรรมไป”

นอกจากคดีบุกอาเซียนพัทยาแล้ว อย่าลืมว่าวันข้างหน้ายังมีคดีที่แกนนำ นปช. รอลุ้นในวันที่ 23 กันยายนนี้ ซึ่งศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 4 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้โทษจำคุกเหลือ 2 ปี 8 เดือน มีรายชื่อจำเลย ประกอบด้วย นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ แกนนำ นปช. อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ถูกศาลฎีกา พิพากษาในคดีแพ่งให้ร่วมกันชดใช้แก่โจทก์จำนวน 19.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมๆ แล้วร่วม 30 ล้านบาท จากคดีที่ถูกผู้อยู่อาศัยและนักธุรกิจในย่านราชปรารภได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 และมีการระบุว่าเหตุการณ์วางเพลิงในช่วงเวลานั้นเกิดจากคำพูดยุยงส่งเสริมของบรรดาจำเลยดังกล่าว

บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่บรรดา แกนนำ นปช. คงต้องก้มหน้าชดใช้กรรม “ชุดใหญ่” ส่วน “นายใหญ่” ที่พวกเขาสู้ถวายหัวให้ แม้จะเป็น “สัมภเวสีหนีคุก” และยังหาทางกลับบ้านไม่เจอ แต่ก็ต้องบอกว่า “ชีวิตสบายดีและมีเงินใช้ไม่ขาดมือนะจ๊ะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น