ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ระยะเวลา11 เดือนของปีงบประมาณ 2562 กรมศุลกากรยึดสินค้าแบรนด์เนมเลี่ยงภาษี รวมมูลค่ากว่า 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2561 มูลค่ารวม 70 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นธุรกิจ “หิ้วแบรนด์เนม” อย่าง นาฬิกา กระเป๋า เสื้อผ้า น้ำหอม รองเท้า แว่นตา ฯลฯ สามารถสร้างรายได้ให้กับ “นักหิ้ว” อย่างเป็นกอบเป็นกำ
และเหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใด เพราะสินค้าที่แอบหิ้วเข้ามานั้นไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ราคาถูกกว่าใน “ชอป” อยู่หลายบาท
ทั้งนี้ “นักหิ้วแบรนด์เนม” มีหลากหลายกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่คือลูกเรือของสายการบิน “แอร์โฮสเตส -สจ๊วต” ทั้งหิ้วมาขายเองและขายส่งให้ร้านสินค้าแบรนด์แนม ถูกจับกุมเป็นข่าวเป็นระยะๆ ดังเช่น กรณีการจับกุมแอร์โฮสเตส การบินไทย เดินทางกลับมาจากประเทศอิตาลี ลอบขนสินค้าแบรนด์ดังหลายชนิดหลบเลี่ยงภาษีเข้าไทย โดยซุกซ่อนสินค้าไว้ตามร่างกาย หรือกรณีสจ๊วตลักลอบนำเข้าบุรี่ไฟฟ้า ที่เป็นข่าวครึกโครมก่อนหน้านี้ไม่นาน
สำหรับเรื่องอื้อฉาว “แอร์ฯ สาว” ผู้ลักลอบนำเข้าสินค้าแบรนด์เนม เป็นผลพวงจากมาตรการกวาดล้างพนักงานที่ขนส่งสินค้าผิดกฎหมายหรือนำสินค้าหนีภาษีเข้าประเทศ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หลังจากมีการยืนยันและได้แจ้งเบาะแสให้ศุลกากรตรวจจับ
นายสุธีรัชต์ ศิริพลานนท์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายบริการบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทยฯ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการติดตามดูพฤติกรรมของพนักงานที่น่าสงสัยและประสานงานกับศุลกากรอย่างต่อเนื่อง พร้อมช่วยแจ้งเบาะแสให้ศุลกากรทราบเพื่อตรวจจับ ซึ่งบทลงโทษของบริษัทฯ โทษสูงสุดคือไล่ออก
อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรกำหนดให้นำเข้านำสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ได้มูลค่ารวมกันไม่เกิน 20,000บาท หากมูลค่าเกินกว่านั้น จะต้องผ่านด่านศุลกากร “ช่องสีแดง” เพื่อทำการเสียภาษีให้ถูกต้อง ทั้งนี้ หากเดินเข้า “ช่องสีเขียว” ซึ่งเป็นช่องที่หมายถึงไม่มีของสำแดงเสียภาษีนำเข้า และหากถูกตรวจพบว่ามีการนำเข้าสินค้ามาเกินจะส่งผลให้ถูกยึดสินค้าดังกล่าวทันที
นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า คนไทยที่เดินไปเที่ยวต่างประเทศและหิ้วสินค้าแบรนด์เนมกลับเข้ามาในประเทศมูลค่าเกิน 20,000 และไม่ยอมเสียภาษีให้ถูกต้องมีเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าที่ผ่านมากรมศุลกากรจะเข้มงวดในเรื่องนี้ก็ตาม
ที่ผ่านมากรมศุลกากรเฝ้าระวังการนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาเกินมูลค่าและไม่เสียภาษี โดยสุ่มตรวจสายการบินเป้าหมาย เช่น สายการบินที่มาจากยุโรปในประเทศที่เป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง หรือสายการบินที่มาจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งพบว่ามีการหิ้วนำสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาเกินกฎหมายกำหนดจำนวนมาก
สำหรับการจับกุมลูกเรือสายการบินลักลอบขนสินค้าแบรนด์เนมเพื่อมาจำหน่าย กรมศุลกากรได้ร่วมกับสายการบินต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการในการสืบทราบเบาะแสของผู้กระทำผิดลักษณะดังกล่าว ส่งผลให้สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้เป็นระยะๆ ทั้งนี้ มีการตรวจสอบลูกเรือสายการบินโดยจัดช่องสีเขียวและสีแดง ให้ลูกเรือสำแดงว่ามีสินค้าต้องเสียภาษีหรือไม่ เช่นเดียวกับผู้โดยสารทั่วไป
นายธาดา ชุมไชโย ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร กล่าวว่ายอดจับกุมสินค้าแบรนด์เนมที่หลีกเลี่ยงภาษีในปีงบประมาณ 2561 ทั้งสิ้น 60 ล้านบาท ขณะที่ยอดการจับกุม ช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (1 ต.ค. 2561 - 3 ก.ย. 2562) รวมกันราว 90 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมากรมศุลกากรจะมีรางวัลนำจับมอบให้แก่ผู้ที่ชี้เบาะแสในสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าที่นำมาประมูลขายได้ และสินค้าที่มีการจับกุมได้ทั้งหมดนั้นจะนำเข้ากระบวนการประมูล
นายธาดา เปิดเผยถึงผลเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ประจำเดือน ส.ค. 2562 พบว่ามีการกระทำความผิด 2,869 คดี ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 252 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคดีจากการลักลอบ 18.4 เปอร์เซ็นต์ และคดีจากการหลีกเลี่ยง 81.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมูลค่าจากการกระทำความผิดในกรณีลักลอบจะมีราว 55.3 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการตรวจสอบและจับกุมผู้ลักลอบขนสินค้าหนีภาษีปัจจุบันใช้ระบบบริหารความเสี่ยงสุ่มตรวจจับ ไม่มีการตรวจค้น 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากอาจจะกระทบต่อการเดินทางของผู้ใช้บริการที่สนามบิน อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1 ปี 2563 กรมศุลกากรได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเครื่องเอ็กซเรย์ค่อมสายพาน 23 เครื่อง มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท มาติดตั้งภายในสนามบินคาดการณ์ว่าจะตรวจสอบจับกุมการลักลอบขนสินค้าหนีเสียภาษี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร เผยความคืบหน้าการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์คร่อมสายพาน 23 เครื่อง จะเริ่มติดตั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมใช้งานภายในต้นปี 2563 รองรับการสแกนกระเป๋าเดินทางใต้ท้องเครื่องบินได้ทุกใบ เพื่อตรวจสอบสินค้าต้องห้าม สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ยาเสพติด รวมถึง สินค้าแบรนด์เนมราคาแพง เข้าข่ายต้องสำแดงเสียภาษี การใช้งานของเครื่องเอ็กซเรย์เพื่อสแกนกระเป๋าได้ทุกใบ ช่วยแก้ปัญหาธุรกิจ พรีออร์เดอร์ผ่านตลาดออนไลน์ หรือรับหิ้วสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีมาขายในประเทศ โดยไม่ต้องสุ่มตรวจเปิดกระเป๋าเหมือนในอดีต
“ผู้ที่นำเข้าสินค้าราคาแพงต้องมีจิตสำนึกในการเสียภาษี และต้องรู้ตัวว่าควรต้องสำแดงสินค้าเพื่อเสียภาษีหรือไม่ กรมไม่ได้กังวลว่าจะเกิดดราม่า เมื่อทำเรื่องที่ถูกต้อง ยอมรับสิ่งที่ทำ ซึ่งกรมอนุโลมให้สามารถนำของติดตัว ซึ่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาในไทยได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อคน”
วิธีการทำงานของเครื่องเอกซเรย์คร่อมสายพาน ใช้เทคโนโลยี AI ในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและวิเคราะห์ภาพถ่ายเอกซเรย์สินค้า เพิ่มความสามารถตรวจจับสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าหนีภาษี ของเครื่องเอกซเรย์ฯ จะสแกนภาพสิ่งของในกระเป๋าที่ผ่านสายพาน100 เปอร์เซ็นต์ จะแสดงเครื่องหมายหากพบสิ่งของต้องห้ามที่ตามโปรแกรมไว้ เช่น ยาเสพติด ชิ้นส่วนสัตว์ป่า ตามบัญชีอนุสัญญาไซเตส รวมทั้ง สินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ที่รับพรีออเดอร์จากต่างประเทศ หรือ พกของใช้ติดตัวมูลค่าเกิน 20,000 บาท ที่มีลักษณะเชิงพาณิชย์ เรียกว่าหากมีสิ่งของต้องสงสัยเครื่องจะโชว์สัญลักษณ์เตือนทันที
“อัตราภาษีศุลกากร หากเป็นการนำเข้านาฬิกาเข้ามา เสียอากรนำเข้า 5 เปอร์เซ็นต์ และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ แต่หากเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเสีย 30 เปอร์เซ็นต์ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งปกติหากไปซื้อเมืองนอกก็ได้รับการคืนภาษี 20 เปอร์เซ็นต์ อยู่แล้ว ก็เข้ามาเสียในประเทศเพิ่มอีก10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้มาก” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าว
อย่างไรก็ตาม การคุมเข้มจับตาเรื่องสินค้าเลี่ยงภาษีของภาครัฐ ส่งผลให้ผู้กระทำผิดเปลี่ยนรูปแบบจากรับหิ้วสินค้าเข้ามาโดยตรง เป็นการใช้เครือข่ายรับสินค้าหลายช่วง ซึ่งท่านอธิบดีฯ กระซิบว่า ได้ตระเตรียมสายข่าวพร้อม
สำหรับ ปีงบประมาณ 2563 กรมศุลกากรได้รับมอบหมายให้เพิ่มยอดการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 110,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากประมาณการรายได้ตามเอกสาร ปีงบฯ 2562 จำนวน 100,000 ล้านบาท โดยใช้เทคโนโลยีและมาตรการป้องปรามเข้มข้นขึ้น
นอกจากนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังสั่งการให้กรมศุลฯ เชื่อมระบบออนไลน์ข้อมูลกับร้านปลอดภาษีในเมือง เพื่อตรวจสอบข้อมูลจำนวนสินค้าว่าตรงกับการจัดเก็บรายได้ภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรหรือไม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ
เมื่อภาครัฐ “เอาจริง” แบบนี้ ก็คงต้องติดตามว่า บรรดา “นักหิ้ว” เขาจะปรับเปลี่ยนรูปแบบในการ “หิ้ว” อย่างไร ที่สำคัญคือภาครัฐจะ “จับได้ไล่ทัน” หรือไม่.