ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ในภาพรวมไม่มีอะไรน่าห่วง ทุกอย่างจะผ่านพ้นปัญหาไปได้ แม้จะมีปัญหาจุกจิกเข้ามาวุ่นวาย แต่นายกฯจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้ รวมถึงการชี้แจงประเด็นถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ เพราะดวงของนายกฯ ในภาพรวมก็ดี จะดูแลบ้านเมืองยาวไปอีก 2 สมัย”
เป็นคำทำนายของ ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล หรือ “ซินแสภานุวัฒน์” ที่เพิ่งมารับตำแหน่ง ข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
แม้จะเหมือนคำอวย แต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็อมยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้แค่ว่า “ไม่สงสารฉันบ้างเหรอ”
ด้วยหากเป็นดั่งคำทำนาย ก็จะทำให้ “ลุงตู่” จะได้อยู่ยาวอีก 2 สมัยเต็มๆ หรือ 8 ปี นับรวม 5 ปีที่ผ่านมาในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สิริรวม 13 ปีเลยทีเดียว
ฟังดูเหลือเชื่อพอสมควร แต่ก็ใช่ว่า จะเป็นไปไม่ได้
ตามคิวที่ก่อนหน้านี้ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดดลงสนามเต็มตัว ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ประกาศลั่นกรองรบ ตอนเข้ารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ว่า จะอยู่ให้ครบเทอม
นั่นหมายความว่า 4 ปีต้องมีแน่!
ขณะเดียวกัน ก็ได้พูดในที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะที่พวกผู้สมัคร ส.ส.ที่สอบตก ว่า อย่าเพิ่งไปไหน จะดูแล หางานให้ทำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า
ยิ่งตอกย้ำให้เห็นเป้าหมาย รัฐบาลไม่ได้หวังแค่จะอยู่ครบเทอม แต่หมายถึงจะลุยต่อในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย ตามคิวที่แกนนำพรรคเริ่มขยับทำพื้นที่ เปิดพลังดูดภาค 2 ดึงอดีต ส.ส. นักการเมือง จากฝ่ายตรงข้ามเข้ามาเป็นระยะๆ
ต่อให้หมอดู หรือซินแส ไม่ต้องทำนาย ก็จะเห็นไทม์ไลน์ว่า รัฐบาลเอาต่อแน่ ยิ่งการให้ “บิ๊กป้อม” ลงมาคุม ส.ส.ในพรรคเอง
งานนี้ไม่ใช่แค่ “พรรคเฉพาะกิจ” แต่จะเป็น “สถาบันการเมือง”
2 สมัยไม่ยาก แต่ไม่ครบ 8 ปี
แต่ “ซินแสภาณุวัฒน์” อาจจะเปิดตำราโหราศาสตร์เพียงเล่มเดียว จนลืมเปิดรัฐธรรมนูญ เพราะในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในมาตรา 158 บัญญัติไว้ชัดว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง”
ซึ่งในตอนร่างรัฐธรรมนูญเคยมีการพูดประเด็นนี้กันกว้างขวาง ว่าคำว่า 8 ปีนี้ จะนับรวมตั้งแต่ปี 2557 ที่ “บิ๊กตู่” เริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ กระทั่งได้บทสรุปว่า จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้
โดยรัฐธรรมนูญประกาศใช้วันที่ 6 มิถุนายน 2560 เท่ากับอายุการเป็นนายกรัฐมนตรีของ “บิ๊กตู่” เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันนั้น กระทั่งสิ้นสภาพในวันที่ 8 มิถุนายน 2562 และจากวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จนถึง ณ วันที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน
ถึงปัจจุบัน “บิ๊กตู่” ดำรงตำแหน่งนายกฯ ไปแล้วประมาณ 2 ปี กับร่วมๆ 5 เดือน เหลือโควตาอีกประมาณ 6 ปีเท่านั้น กรณีที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ติดต่อกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ “บิ๊กตู่” สามารถอยู่ครบเทอมได้ถึงปี 2566 หรือ 4 ปี โดยไม่มีอุบัติเหตุอะไร หรือไม่ชิงประกาศยุบสภาไปเสียก่อน หากจะได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกฯอีกครั้ง จะเหลือโควตาอีกแค่ 2 ปีเท่านั้น
ตามคำทำนายอันหวานชื่นของ “ซินแสภาณุวัฒน์” โหราจารย์ด้านฮวงจุ้ย จึงถูกครึ่งเดียว คือเป็นได้ 2 สมัย ด้วยมี “นั่งร้านพิเศษ” อย่าง “บทเฉพาะกาล” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 272 ที่กำหนดว่า “ในระหว่าง 5 ปีแรก” นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ส.ว. ทั้ง 250 คน มีสิทธิ์ในการร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย
หมายความว่าผู้มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ จะประกอบไปด้วย ส.ส. จากการเลือกตั้ง 500 คน และ ส.ว. จากการแต่งตั้งอีก 250 คน รวมแล้ว 750 คน นั่นแปลว่าผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ จะต้องได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของ “สภาร่วมของ ส.ส. และ ส.ว.” หรือก็คืออย่างน้อย 376 เสียงนั่นเอง
เท่ากับว่า หากรัฐบาลประยุทธ์ 2 อยู่ครบเทอม 4 ปี หรือไม่ครบเทอมก็ตามแต่ หากมีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีอีกกี่ครั้งในช่วงเกือบ 5 ปีนับจากนี้ “ส.ว. 250 เสียง” ก็ยังสามารถโหวตได้
อย่างไรก็ดี การเป็นนายกฯ 2 หรือ 3 สมัย ของ “นายกฯตู่” คงไม่ครบ 8 ปี ตามการตีความมาตรา 158 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งถึงเวลานั้นเชื่อแน่ว่าจะมีการวาง “ทายาทนายกฯ” สำรองไว้แล้ว
สำคัญที่ว่า จะอยู่ยาวได้ขนาดนั้น ผลงานต้องเปรี้ยงปังด้วย แม้ว่าในห้วงแรกของรัฐบาลใหม่จะยังไม่ปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ที่ยังไม่เห็นวี่แววกระเตื้องขึ้นก็ตาม
แต่เชื่อว่า “ตัวช่วย” อย่าง “นักการเมืองอาชีพ” จะช่วยเข็นนโยบายให้เปรี้ยงปังได้มากขึ้น หลุดจากข้อจำกัดสมัยเป็น คสช.มากขึ้น ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับเรื่องประชานิยมบ้าง เพราะเน้นเรื่องคะแนนนิยม และฐานเสียง ดังเช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่คนมองว่า หาเรื่องแจกเงินฟรี แต่ประชาชนชอบ
ขณะเดียวกัน นโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล ที่หวังเพิ่มคะแนนนิยม ต่างแย่งกันคลอดเพื่อสร้างผลงาน ไว้ต่อยอดในการเลือกตั้งครั้งหน้า คนที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดคือ ประชาชน
ฝ่ายค้านไม่แข็ง รัฐบาลยิ้มกริ่ม
ส่วน “ตัวแปรสำคัญ” อย่าง “ฝ่ายค้าน” ซึ่งที่ผ่านมาสามารถพลิกสถานการณ์ได้ มาวันนี้ต้องยอมรับว่า การที่ “ประชาธิปัตย์” ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องตรวจสอบมาเป็นฝ่ายรัฐบาลเสียเอง ทำให้ไม่ค่อยเข้มข้น
7 พรรคฝ่ายค้านวันนี้ “ไม่แข็ง” เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวหลักๆ พวกเก๋าเกม ของพรรคเพื่อไทยสอบตก เพราะพิษรัฐธรรมนูญ ทำให้พวกที่อยู่ในสภาเป็นเพียงหมาก เบี้ย ชั้นเชิงสู้ไม่ได้ ทำให้การทำงานไม่เข้มข้น
ส่วน “พรรคอนาคตใหม่” ที่หลายคน คาดหวังว่า จะทำการเมืองใหม่ๆ หลุดกรอบเดิมๆ ถึงตรงนี้ ถือว่า หลายคนประเมินสูงเกินไป เพราะติดหล่มการเมืองแบบเก่าเข้าไปแล้ว
ส.ส.ส่วนใหญ่ ของพรรคอนาคตใหม่ ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก สปอร์ตไลต์ส่องแต่บรรดาแกนนำพรรค ไม่ว่าจะเป็น”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกกุล - พล.ท.พงศกร รอดชมภู - พรรณิการ์ วานิช - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขณะที่พวก ส.ส.เขต ที่หลุดเข้ามาเป็น ส.ส.ได้ หายเงียบ ประชาชนแทบจะไม่เห็นหน้า ไม่รู้จัก ชนะมาเพราะกระแสพรรคล้วนๆ
ตอนนี้พรรคอนาคตใหม่ กำลังถูกตั้งคำถาม และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงบทบาทที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเพื่อเป้าประสงค์ตัวเองมากเกินไป จนถูกค่อนแคะว่า ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
ในขณะที่ภาคอีสาน และภาคเหนือหลายพื้นที่ กำลังจมน้ำ แต่พรรคอนาคตใหม่ กลับไปจัดเวทีดีเบตเพื่อหาตัวผู้สมัครนายก อบจ.อยู่ที่ จ.นนทบุรี ต่างกับรัฐบาลที่ถูกมองว่า ไม่มีผลงาน บรรดารัฐมนตรี และ ส.ส.ต่างอยู่ในพื้นที่กันหมด
หรือย้อนกลับไปกว่านั้น ตอนที่อีสานยังแล้งๆ อยู่ หลายคนคาดหวังว่า “ธนาธร” ผู้ที่มีภาพหลุดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตจิปาถะ กินง่าย อยู่ง่าย จะอยู่ในพื้นที่ แต่ไม่มีเลย พรรคอนาคตใหม่ มัวแต่จัดเวทีสัมมนา และรณรงค์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นปัญหาของนักการเมืองมากกว่าประชาชน
หลายคนคาดการณ์กันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า “พรรคอนาคตใหม่” จะไม่ได้เท่าเดิม เพราะประชาชนรู้จักเพียงแค่แกนนำ แต่ ส.ส.ที่ได้เข้าสภาเพราะกระแสพรรคจะหายไป เนื่องจากในพื้นที่ชาวบ้านไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหัว ในสภาก็ไม่ค่อยได้ขึ้นพูด
อีกทั้งเมื่อพวกผู้สมัคร ส.ส.จากไทยรักษาชาติกลับมา จะชิงพื้นที่คืน เพราะคะแนนส่วนใหญ่ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ ล้วนมาจากพวกเขาที่ยกให้ทั้งนั้น
ในส่วนของการตรวจสอบในสภา ก็ถือว่า ยังไม่ได้โชว์ผลงานโดดเด่นอะไร การต่อสู้จะเป็นในแง่หลักการ และเรื่องแท็กติกทางกฎหมาย แต่เรื่องอื้อฉาว เรื่องคอร์รัปชั่น จากฝ่ายบริหาร “พรรคอนาคตใหม่” ยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่า ทำงานเชิงลึกได้
พอๆ กับพรรคเพื่อไทย วันนี้ที่ไม่มี “มือตรวจสอบ” แบบอาชีพ นอกจากหยิบฉวยจากประเด็นข่าวเอามาต่อยอดเพื่อสร้างกระแสในสังคม มันเลยทำให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ไม่เหนื่อยมาก
หนำซ้ำ แนวโน้ม ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน จะหันมาแปรพักตร์เข้ากับฝ่ายรัฐบาลก็มีจำนวนมาก หลายคนเริ่มอ่านเกม มองอนาคตกันแล้วว่า ถึงเวลาต้องเอาตัวรอด
พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่วันนี้ ไม่มีเงินดูแลลูกพรรค ปล่อยให้ควักกระเป๋ากันเอง ทั้งที่เป็นฝ่ายค้าน ไม่มีรายได้ แถมวันนี้ยังมะรุมมะตุ้มอยู่กับการจ้องล้มรัฐบาล ด้วยเหตุผลที่ยังไม่ถึงขั้นกับเป็น “เงื่อนไข” โอกาสที่ “บิ๊กตู่” จะตีตั๋วยาวมีสูง นั่นเท่ากับว่า ถ้ายังอยู่ในสภาพแบบนี้ มีสิทธิ์อดตาย
ครั้นจะเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่มีกระสุนดินดำให้ แต่ละคนเพิ่งหมดไปกันคนละก้อนโต หากต้องควักเพิ่มอีกในเร็ววัน คงต้องเอาที่ดินไปจำนองกันเพิ่ม
ประเมินสถานการณ์ นับวันเสียงเสถียรภาพรัฐบาลจะมีมากขึ้นด้วยซ้ำ จากการที่ ส.ส.ต้องเอาตัวรอด หาหลักใหม่ที่ดูแลได้
”ป้อม-ป๊อก” ดันระบอบ 3 ป.ไร้เทียมทาน
ไม่ใช่แค่โหงวเฮ้งของ “บิ๊กตู่” เท่านั้นที่ดี แต่ “ซินแสภาณุวัฒน์” ยังทำนายทายทักไปถึงอีก “2 ป.” คือ “บิ๊กป้อม” และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ดีทั้งคู่
จะว่าอวยก็เหมือนอวย จะว่ามีตรรกะก็มีตรรกะ เพราะตั้งแต่ “บิ๊กป้อม” ลงมาคุมทัพพรรคพลังประชารัฐด้วยตัวเอง ปัญหาภายในพรรคที่มีก่อนหน้านี้ก็เบาบางลงไปเยอะ
เรื่องกลุ่มก๊กแทบจะหายไป ขณะเดียวกัน ยังสามารถรับฟังสารทุกข์สุขดิบปัญหาของสมาชิกพรรคได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผ่านแกนนำอีกทอด เหมือนแต่ก่อน ซึ่งมีความใกล้ชิดมากกว่า
ซึ่งเสถียรภาพของพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะค้ำยัน “เรือเหล็ก” ลำนี้ การได้มีพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์มา ทำให้เห็นเนื้องาน และปัญหาด้วยตัวเอง
โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่ปล่อยให้บรรดาแกนนำพรรคดูแลกันเอง เอาเด็กใครเด็กมันลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่สุดท้ายไม่ได้เกรดเอมาลงสมัคร ทำให้บางพื้นที่ที่น่าจะได้กลับแพ้
หรือการ “อมเงิน” ให้ข้อมูลผิดๆ ว่า พื้นที่นี้มีความหวัง เบิกกระสุนดินดำไปเยอะ แต่สุดท้ายแพ้ไม่เป็นท่า ปัญหานี้น่าจะหมดไปได้
นอกจากนี้ การที่ “บิ๊กป้อม” หุบขา เหลือแค่เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เก้าอี้เดียว โดยไม่ได้กำกับดูแลทหาร และตำรวจ ทำให้สถานภาพ “ตำบลกระสุนตก” ลดลงไปเยอะ
ไม่มีใครมาจ้องจับผิด “บิ๊กป้อม” เหมือนแต่ก่อน สปอร์ตไลต์เล็งไปที่ “บิ๊กตู่” และนักการเมืองทั้งหมด หน้าตาจึงแจ่มใสมากขึ้น
พอๆ กับ “บิ๊กป๊อก” อีกหนึ่งกำลังสำคัญ ที่จะทำให้คำนายนายกฯ 2 สมัยของ “บิ๊กตู่” เป็นจริงได้ เพราะได้คุมกระทรวงมหาดไทยแบบลากยาวตั้งแต่ปี 2557 จนปัจจุบัน
ท้องถิ่นถือกุญแจดอกสำคัญ ที่สร้างฐานเสียงให้กับพรรคพลังประชารัฐ “บิ๊กป๊อก” มีข้อมูลว่า ตรงไหนเป็นอย่างไร ควรจะเพิ่มหรือเติมอะไร เพื่อให้เป็นผลดีกับรัฐบาล
แม้จะมีพรรคร่วมรัฐบาล เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยถึง 2 คน คือ “นิพนธ์ บุญญามณี” กับ “ทรงศักดิ์ ทองศรี” แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในกระทรวง
ไม่ปล่อยให้มีใครซอกแซก เอาไปหาผลประโยชน์ สร้าง “กฎเหล็ก” ทุกโครงการต้องผ่านสายตารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก่อน ซึ่งแม้จะมีคนมองว่า กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยไม่แบ่งงานให้กับคนอื่นๆ แต่ในแง่ดีคือ ทุกอย่างจะอยู่ในสายตา ไม่สร้างปัญหาให้กับรัฐบาล
เรื่องทุจริตมีกล่าวหากันมาประปราย แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง “ข้อกล่าวหาลม” ที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง “บิ๊กป๊อก” จะชี้แจงได้
เรียกว่า “พี่ใหญ่” ดูแลฝ่ายการเมือง “พี่รอง” ดูแลกลไกท้องถิ่น 2 สิ่งที่เป็น “ต้นทุน” สู่ความสำเร็จในการเลือกตั้ง การจะต่อวีซ่าให้น้องเล็กอย่าง “บิ๊กตู่” จึงไม่เหนือบ่ากว่าแรง
อยู่แค่ว่า ในระหว่างนี้จะต้องควบคุมโครงการรัฐต่างๆ ให้ดี ให้อยู่ในรูปในรอย ไม่ปล่อยให้มีการทำแบบประเจิดประเจ้อ เพราะทุกคนจะลากโยงเข้าหา “บิ๊กตู่” ทั้งหมด
ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ในการควบคุม ใครจะออกนอกลู่นอกทาง เจอมาตรการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมกันแล้วหลายเรื่อง.