xs
xsm
sm
md
lg

400 ปี - ทาสแอฟริกัน สร้างเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

อดีตประธานาธิบดีทอมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้เขียนรัฐธรรมนูญอเมริกัน
ขณะที่เหตุการณ์ที่ฮ่องกงพัฒนาสู่ความรุนแรงยิ่งขึ้น จนบทบรรณาธิการของสำนักข่าวซินหัวถึงกับใช้ประโยคว่า “การเริ่มต้นของจุดจบ-The Beginning of the End” ของการประท้วงรุนแรงของหนุ่มสาวชาวฮ่องกง ที่การเรียกร้องได้ยกระดับไปสู่สิทธิในการเลือกตั้งตรงสำหรับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง รวมทั้งการเลือกตั้ง ส.ส.ในสภา LegCo โดยตรงทุกที่นั่ง...และจะจบแบบที่ปารีสที่ผู้ชุมนุมเริ่มลดจำนวนลง ขณะที่รัฐบาลก็ยอมถอยเลิกแผนเพิ่มภาษีน้ำมันดีเซล...และประธานแคร์รี่ แลม ถึงกับเอ่ยในเทปที่หลุดออกมา (โดยเธอจงใจให้หลุดออกมาหรือไม่ เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายดีขึ้นก็ได้) ว่า เธอคิดว่าเป็นความผิดพลาดของเธอ ซึ่งเธอก็ได้พยายามจะลาออก แต่ถูกทางการปักกิ่งห้ามเอาไว้ รวมทั้งการประเมินของเธอว่า ปักกิ่งจะไม่ใช้ความรุนแรงอย่างเทียนอันเหมิน และให้ทางการฮ่องกงจัดการกับผู้ประท้วงได้เต็มที่

และขณะที่สภาเวสมินเตอร์ และรัฐบาลของนายกฯ บอริส จอห์นสัน กำลังเชือดเฉือนงัดกลเม็ดทางการเมืองออกมาฟาดฟันข่มขู่กันในวันนี้ (อังคารที่ 3 กันยา) ว่าใครจะกะพริบตาก่อนกัน ระหว่างฝ่ายค้านและกบฏของพรรคอนุรักษนิยม ที่เสนอกฎหมายให้รัฐบาลยืดเวลาออกจากอียู (Brexit) จนถึงปลายปีนี้ เพื่อเจรจาหาข้อตกลงกับอียูให้ได้ในการออกจากอียู และพร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลก็ขู่ว่า ถ้ากบฏของพรรคอนุรักษนิยมไปยกมือให้ฝ่ายค้าน จะถูกไล่ออกจากพรรค และในการเลือกตั้งครั้งหน้า (ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจ) พวกเขาจะไม่ถูกเสนอให้ลงสมัครในนามพรรคอีกต่อไป

ซึ่งโอกาสที่นายกฯ บอริสจะยุบสภาก็มีสูงมาก โดยเขาดูมั่นใจว่า เขาจะได้ชัยชนะนำพา ส.ส.เข้ามาได้มากกว่าจำนวนปริ่มน้ำที่เป็นอยู่ขณะนี้

นักวิเคราะห์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ต่างกำลังติดตามสถานการณ์ทั้งสองอย่างใกล้ชิดว่า จะออกมาในทิศทางใด โดยทั้งสองเหตุการณ์ต่างก็มีผลพวงกระทบ (impact และ repercussion) ต่อภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเช่นกัน

ช่วงนี้จึงขอนำเสนอเรื่องคนแอฟริกันอเมริกันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของสหรัฐฯ ปัจจุบันมีจำนวน 13% ของประชากรทั้งหมด และยังไม่สามารถลืมตาอ้าปากทัดเทียมคนผิวขาว ซึ่งเป็นผู้ทำร้ายทารุณบังคับข่มเหงนำบรรพบุรุษของชาวแอฟริกันอเมริกันข้ามน้ำข้ามทะเลด้วยความลำเค็ญ มาเป็นทาสในไร่เพาะปลูกของชาวอาณานิคม (ของอังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน) ในแผ่นดินสหรัฐฯ ปัจจุบัน

ในช่วงวันที่ 23-25 สิงหาคมนี้เอง เป็นช่วงการรำลึกถึงเหตุการณ์สะเทือนใจเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ที่ชาวแอฟริกันชาย-หญิงจำนวน 20 คน ถูกทารุณและบังคับจับมาจากราชอาณาจักรแองโกลา ขึ้นเรือของชาวดัตช์มาขึ้นท่าที่รัฐเวอร์จิเนีย ที่เป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ โดยมีบันทึกที่อ้างอิงได้ชัดเจนว่า ทาส 20 คนแรกนี้ถูกนำมาขายให้แก่เจ้าของไร่นาที่เพาะปลูกฝ้าย, ใบยาสูบ และอ้อย...ทาสทั้ง 20 คนนี้ได้มีการตั้งชื่อเป็นแบบอังกฤษ เช่น แอนโทนี, แมรี ฯลฯ และถูกขายแยกย้ายกันไปเป็นทาสของคนอังกฤษที่ทำการเพาะปลูกที่ต้องการทาสมาเป็นแรงงานในไร่นา และพวกทาสจะใช้นามสกุลของเจ้านายเป็นที่มาของการสืบค้นรากของลูกหลาน ทาสที่เป็นคนแอฟริกันอเมริกันในปัจจุบัน ที่สามารถสืบค้นไปถึงต้นตระกูลปู่ย่าตาทวดของตนที่อยู่ในไร่ของชาวผิวขาวเจ้าของทาส ก็ด้วยนามสกุลนี้เอง

นั่นเป็นปี ค.ศ. 1619 (หรือพ.ศ. 2126 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงต้นๆ ของกรุงศรีอยุธยา)...ซึ่งจาก 20 คนแรกก็มีบันทึกถึงการค้าทาสที่ได้ขยายเติบโตอย่างรวดเร็วตามความต้องการแรงงานทาสตามไร่นาทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐฯ ในปัจจุบัน

สินค้าเกษตรทั้งฝ้าย, อ้อย, ยาสูบ จะถูกส่งไปยังอาณานิคมทางตอนเหนือของสหรัฐฯ เพื่อไปทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เป็นผืนผ้า, น้ำตาล และบุหรี่ แล้วส่งไปขายในยุโรปจากแรงงานทาสที่ขยายจากตอนใต้ของสหรัฐฯ ไปยังดินแดนทางตอนกลาง และเหนือของสหรัฐฯ ด้วย

จริงๆ แล้ว การค้าทาสมีมานานกว่า 400 ปี เพราะที่สหรัฐฯ นั้นเริ่มต้นเมื่อ 400 ปีมาแล้ว แต่ที่ยุโรปได้เริ่มมีนานกว่า 400 ปีด้วยซ้ำ โดยประเทศล่าอาณานิคมของยุโรป ทั้งโปรตุเกส, ดัตช์, สเปน, ฝรั่งเศส และอังกฤษ ต่างมีอาณานิคมในอเมริกาเหนือ, กลาง และอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นดินแดนเมืองขึ้นที่ต้องการแรงงานทาสมาทำการเกษตรกรรม โดยเฉพาะในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ได้เริ่มการค้าทาสโดยพ่อค้าชาวโปรตุเกส, ดัตช์, สเปน ได้จับตัวชาวแอฟริกันมาจากหลากหลายประเทศทั้งไนจีเรีย, เคนยา, แองโกลา ฯลฯ นำมาเป็นทาสแก่นักธุรกิจตระกูลใหญ่ๆ ของยุโรปที่มีไร่นาในดินแดนอาณานิคมที่อเมริกากลาง และใต้

สำหรับการระดมทุนในการจัดหาเรือเพื่อไปกว้านจับทาสในแอฟริกา รวมทั้งความเสี่ยงที่เรือจะเจอมรสุมหรือถูกปล้นโดยโจรสลัด, หรือการป่วยเจ็บตายของทาสในระหว่างการเดินทางที่ยากเข็ญยิ่ง นักเดินเรือจะไประดมทุนในลอนดอนเมื่อ 500 ปีที่แล้ว

ต่อมา นิวยอร์กก็เป็นแหล่งระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรเพื่อไปซื้อเรือและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง...ไปจับทาสมาจากแอฟริกา...แล้วนำทาสมาขาย...แล้วนำผลิตภัณฑ์เกษตรขึ้นไปแปรรูปที่ตอนเหนือของสหรัฐฯ...ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจะนำไปขายที่ยุโรป แล้วนำเรือวนกลับไปจับทาสกลุ่มใหญ่ที่แอฟริกา วนเวียนกันเป็น 3 เหลี่ยมแห่งความชั่วร้ายนี้เอง

การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงมีส่วนสำคัญยิ่งที่เกิดมาจากแรงงานทาสที่เริ่มเพียง 20 คนเมื่อ 400 ปีมาแล้ว

หลังจากทาสชุดแรก 20 คนที่เหยียบเวอร์จิเนียอีก 160 ปีต่อมา ทาสแอฟริกันก็มีส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาตลอด จนถึงสงครามประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ ออกจากอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1776 ซึ่งคนผิวดำก็เป็นแรงงานทั้งหมดที่สร้าง “ทำเนียบขาว” และในคำประกาศรัฐธรรมนูญของผู้เขียนรัฐธรรมนูญอเมริกันคือ นายทอมัส เจฟเฟอร์สัน (ต่อมาเป็นประธานาธิบดีต่อจากปธน.จอร์จ วอชิงตัน) ก็ไม่คิดว่าทาสผิวดำเป็น “คน” เพราะทาสผิวดำไม่อยู่ในข่าย “All Men are created equal” ทั้งๆ ที่ทอมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นชาวเวอร์จิเนีย และมีภรรยาคนหนึ่งเป็นทาสในเรือนเบี้ยด้วย ซึ่งปัจจุบันลูกหลานของอดีตปธน.เจฟเฟอร์สัน ที่เกิดจากนางทาสนั้น ก็ได้มีการพบปะชุมนุมครอบครัวกันอยู่เนืองๆ ที่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษที่เวอร์จิเนีย

ตอนนี้มีการจัดทัวร์ที่นิวยอร์กเพื่อพาลูกทัวร์ชมตลาดค้าทาสที่อยู่ติดกับถนน Wall Street โดยถนนนี้แต่ก่อนไม่มีกำแพง แต่ก็ด้วยแรงงานทาสที่นั่นแหละที่สร้างกำแพงเพื่อกั้นตลาดทุน (ที่ซื้อขายหุ้นจากกิจการในสหรัฐฯ ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของทาสผิวดำในแทบทุกกิจการในสหรัฐฯ ในอดีต) ออกจากตลาดค้าทาส จึงเรียกถนนนี้ว่า ถนนกำแพง (Wall Street) นั่นเอง

พันธบัตรที่ซื้อขายรวมทั้งการกู้ยืมเงินธนาคารในกิจการต่างๆ ของนิวยอร์กในสมัยก่อนเลิกทาส จะระบุจำนวนทาสในครอบครองว่าเป็นสินทรัพย์ของเจ้าของกิจการ และถ้ากิจการเกิดล้มละลาย ธนาคารผู้ปล่อยกู้จะยึดทาสของกิจการนั้นมาเป็นสมบัติของธนาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารยักษ์ในปัจจุบัน (เช่น JP Morgan Chase ฯลฯ) ซึ่งบางแห่งเช่น JP MC ได้ออกมายอมรับในปี 2005 ว่า ได้เข้าครอบครองทาสของบริษัทลูกหนี้ที่ล้มละลาย

รวมทั้งสถาบันการศึกษาใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ตอนนี้ก็ได้ออกมายอมรับถึงการซื้อหุ้นของกิจการที่นับจำนวนทาสในครอบครองเป็นสินทรัพย์ และมีหลายสถาบันเป็นตลาดค้าทาสในอดีตจนต้องออกมากล่าวขอโทษต่อบทบาทในอดีต

และในการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ในปีหน้านี้ กำลังมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักในหมู่ผู้สมัครพรรคเดโมแครต ที่จะผลักดันกฎหมายการชดเชยแก่ชาวแอฟริกันอเมริกัน ที่เป็นลูกหลานทาสที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโหดเหี้ยมเป็นร้อยๆ ปี ซึ่งรูปแบบการชดเชยยังถกเถียงกันอยู่ว่า จะออกมาเป็นรูปใด? เช่น การอุดหนุนด้านการศึกษา, หรือสวัสดิการต่างๆ รวมทั้งทุนสำหรับการทำธุรกิจด้วย เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น