ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เปิดตัว แกรนด์โอเพ่นนิ่ง กันไปแล้ว
คิวที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ ถือฤกษ์งามยามดี เข้าร่วมประชุมพรรคเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา
เป็นฉากสำคัญเข้าทำนอง “พระยาเหยียบเมือง” ที่ทางพรรคจัดแจงการต้อนรับสมราคา “เจ้าของพรรคตัวจริง” วางคิว ส.ส.สาวน้อย-สาวใหญ่ ตั้งแถวมอบดอกไม้ อบอุ่นชื่นมื่นไปตามเรื่อง
ก่อนเชิญ “ลุงป้อม” ขึ้นหัวโต๊ะ มอบนโยบายแก่ที่ประชุมผ่านสคริปต์ที่ตระเตรียมไว้แล้ว ก็สวมวิญญาณ “ผู้ใหญ่ใจดี” ปลอมประโลม “ส.ต.สอบตก” ไม่ให้ท้อแท้ คิดตีจากพรรคไป รับปากจะหางานให้ทำ เพื่อสร้างผลงาน เลือกตั้งรอบหน้าต้องกลับเข้าสภาฯให้ได้ ไม่เพียงแต่รักษาที่นั่ง ส.ส.ที่มีอยู่ไว้ ต้องให้ได้มากกว่าเดิม กวาดเกินครึ่งของสภาฯ
ส่งสัญญาณ “พลังประชารัฐ” ไม่ใช่ “พรรคเฉพาะกิจ” อย่างที่ถูกค่อนขอดอีกต่อไป
บรรยากาศชื่นมื่นหวานเจี๊ยบ เริ่มออกขมๆ เฝื่อนคอ หลัง “ลุงป้อม” สวมบท “ครูไหวใจร้าย” ออกปากตำหนิปัญหา “เสียงปริ่มน้ำ” ในสภาฯ หลัง “ฝ่ายรัฐบาล” โหวตแพ้ “ฝ่ายค้าน” ถึง 2 หนติดกัน แม้จะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตา แต่มัน “เสียฟอร์ม” กระทบไปถึง “บิ๊กรัฐบาล”
“ในฐานะที่ผมมาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค ก็ขอความร่วมมือสมาชิกที่เป็น ส.ส.เข้าสภาครบๆ” บางช่วงบางตอนที่ “ลุงป้อม” ว่าไว้ในที่ประชุมพรรค
แปลความง่ายๆ ผู้แทนฯพรรคต้องขยันกว่าเดิม ไว้หน้าประธานยุทธศาสตร์บ้าง
แล้วยังไม่อ้อมแอ้มอ้อมค้อม ปิดจุดอ่อน “เสียงปริ่มน้ำ” ที่มีอยู่เต็มจำนวนแค่ 253-254 เสียง กลายเป็น “เสียงจมน้ำ” โหวตแพ้ฝ่ายค้านมา 2 ครั้งซ้อนๆ ก็เลยต้องกดดัน 5 รัฐมนตรี ที่คล่อมเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อีกตำแหน่ง ให้ตัดสินใจ “ไขก๊อก” เปิดทางให้ผู้สมัคร ส.ส.ลำดับถัดไปเข้ามาทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ
ว่ากันว่า “บิ๊กป้อม” ถึงขั้นขานชื่อทีละคน ไล่ตั้งแต่ “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ - “บิ๊กซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม - “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม - สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม - สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คมนาคม
“ตั้น บี สุริยะ สมศักดิ์ สันติ ผมไม่ได้ไล่ ผมไม่ได้ตำหนิใคร แต่ลองเอาไปคิดเองดู” ถอดรหัส ไม่ได้ไล่ คือ ไล่ทางอ้อม เพราะตอนนี้รัฐบาลกำลังประสบปัญหาใหญ่
“เสียงปริ่มน้ำ” ในสภา เป็นปัญหาแรก เพราะบรรดาเสนาบดีไม่ค่อยมีเวลาไปประชุมสภาฯ ซ้ำร้ายบางคนยังมีงานต่างจังหวัด-ต่างประเทศ อนาคตข้างหน้าหากต้องโหวตกฎหมายสำคัญๆ เรื่องคอขาดบาดตายขึ้นมาแล้วมันจะยุ่งไปกันใหญ่ ควรจะให้ “คนมีเวลา” ทำงานในสภาฯจะดีกว่า
ใครเข้าป้าย รัฐมนตรี ไปแล้ว ก็ทำงานฝ่ายบริหารเต็มที่ ไม่ต้องวิ่งไปๆ มาๆ กระทรวงกับรัฐสภา ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นที่อยากจะเป็น ส.ส. ได้อ้าปากลืมตา
หมากนี้ไม่ใช่แค่แก้เกมสภาฯ เท่านั้น อย่างที่รู้กัน “บิ๊กป้อม” เป็น “นักกลยุทธ์” บริหารคน ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา มานักต่อนัก มองข้ามชอตไปไกล งานนี้ถ้ามีคนลาออก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็จะมีที่ว่างให้ดูแลอดีตผู้สมัคร ส.ส.สอบตกที่ต่อคิวกันยาวเหยียด แต่เก้าอี้ก็ไม่พอให้ทำงาน
เทกระโถนตำแหน่งข้าราชการการเมืองไปแล้ว 3 ล็อต ยังมีคนว่างงานในพรรคอีกเพียบ
นั่งหน้าสลอน อยากจะมีตำแหน่งแห่งหนกับเขาบ้าง แต่หาให้ไม่ได้ เพราะตำแหน่งมีปริมาณจำกัด ทั้งที่ “บิ๊กป้อม” อยากเปิดให้ใจแทบขาดในฐานะ “พี่ใหญ่”
หาก 5 รัฐมนตรี ที่ถ่างขาควบเก้าอี้ ส.ส.อีกตำแหน่ง ไขก๊อกผู้แทนกันหมด จะได้โควตาสำหรับพวกตกสำรวจอีกหลายคน
ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 21 - 25 “ยุทธนา โพธสุธน - ชวน ชูจันทร์ - ต่อศักดิ์ อัศวเหม - ภิรมย์ พลวิเศษ - สุรพร ดนัยตั้งตระกูล” รอแสตนด์บายมาตั้งแต่ตั้งรัฐบาลเสร็จใหม่ๆ จนบางรายถอดใจ ไปรับตำแหน่งข้าราชการการเมืองก็หลายคน
หาก 5 เสนาบดีหลบให้ จะเป็นกองกำลังที่เข้าไปเสริมในสภา แบบมีเวลาเต็มๆ สำคัญว่า ไม่ใช่แค่ 5 หลุม 5 เก้าอี้ ส.ส.เท่านั้น แต่ “บิ๊กป้อม” จะยิงนกนัดเดียว ได้ดูแลลูกพรรคอย่างน้อยๆอีก 7 ชีวิต
เพราะนอกจากผู้สมัคร ส.ส. 5 คน ที่ชะเง้อรอจะได้เป็น ส.ส.สมใจ อย่าลืมว่า 2 ใน 5 คือ “ภิรมย์” และ “สุรพร” เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการ รมว.อุตสาหกรรม และกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน ตามลำดับไปหยกๆ
หากมีการลาออกเต็มจำนวน 5 ที่นั่งจริง “ภิรมย์ - สุรพร” ก็ต้องเลือกว่า จะเป็นข้าราชการการเมือง หรือจะลาออกเพื่อมาเอา ส.ส. เพราะเลือกได้ทางใดทางหนึ่ง ถ้าเลือกเป็นส.ส.ต้องลาออกจากตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้ง เท่ากับว่า เก้าอี้เลขานุการ รมว.อุตสาหกรรม กับกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จะว่าง “บิ๊กป้อม” สามารถดูแลพวกผู้สมัคร ส.ส.สอบตกได้อีก 2 คน
แต่ถ้า “ภิรมย์” กับ “สุรพร” กอดเก้าอี้ข้าราชการการเมืองแน่น ก็ต้องสละให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับถัดจากตัวเอง ขึ้นมาแทน นั่นคือ ลำดับที่ 26 อย่าง “ภาคิน สมมิตรธนกุล” และลำดับที่ 27 อย่าง “เสี่ยแด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ” ซึ่งรายหลังได้เก้าอี้เลขานุการ รมว.คลัง ไปแล้ว
จะเป็นห่วงโซ่กระทบไปเรื่อย หาก “ธนกร” ไม่ขอเป็น ส.ส. หวยมันจะไปออกที่ “เสี่ยป้ำ” เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ลูกชาย “เสี่ยฮุก” บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งจะแห้วเก้าอี้ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ดังนั้น หาก 5 เสนาบดีไขก๊อก “บิ๊กป้อม” น่าจะมีระบบป้องกันโหวตแพ้ในสภาที่รัดกุมขึ้น กับดูแลบรรดาลิ่วล้อในพรรค ให้มีงานมีการทำกันหมด
ยกเว้นมีคนอิดออด เพราะบางคนก็กลัวขาลอย บางคนก็หวังใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.เป็น “ยันต์กันผี” โดยเฉพาะ “เสี่ยตั้น-เสี่ยบี” ที่มีคดีกบฏ สมัยชุมนุม กปปส.อยู่ในชั้นศาล หากหัวโกร๋นเหลือแค่รัฐมนตรีตำแหน่งเดียว ใครจะรับประกันความปลอดภัยในอนาคต
ถ้ากั๊กกันอยู่อย่างนี้ เพื่อนๆ น้องๆ ในพรรคก็อด
จังหวะก้าวของ “บิ๊กป้อม” ตลอดจน ข้อสั่งการแรกในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงความสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมายของพรรคในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า “บิ๊กป้อม” อยู่เบื้องหลัง โดยมีฐานบัญชาการอยู่ที่ “มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) อันเป็นที่พำนักของ “ลุงป้อม” ด้วยนั่นเอง
ถือเป็นจังหวะก้าวที่ต้องมองในเชิงกลยุทธ์ เพราะอย่าลืมว่า “ลุงป้อม” ที่ภาพลักษณ์ขณะนี้อาจจะเป็นแค่อดีตนายทหารวัยชราภาพ เป็นคนคน เดียวกับอดีตนายทหารที่ปลุกปั้น “บูรพาพยัคฆ์” ที่เติบโตต่อเนื่อง จนยึดครองการปกครองในกองทัพไทย โดยเฉพาะกองทัพบกมานานนับสิบปี
โดยเฉพาะตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่มีอำนาจทั้งทางการทหาร และมีความสำคัญในการกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศ กลายเป็นตำแหน่งที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ภายในเครือข่ายบูรพาพยัคฆ์ จนกลุ่มอื่นในกองทัพอย่าง “วงศ์เทวัญ” หรือ “รบพิเศษ-เบเร่ต์แดง” ทำได้เพียงรอโอกาส
นายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ ที่เติบโตมาจาก กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เคยสร้างสถิติครองตำแหน่ง “แม่ทัพบก” ติดต่อกันเกือบ 10 ปี ระหว่างปี 2550-2559
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยบารมีของ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ที่มีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อปี 2547-2548 ที่ “บิ๊กป้อม” ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 34 ต่อจาก “บิ๊กตุ้ย” พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร
ครั้งนั้นถือเป็นการผงาดขึ้น ผบ.ทบ.ครั้งแรกของ “นายทหารสายบูรพาพยัคฆ์”
แต่ช่วงสั้นๆเพียงปีเดียวนั้นเอง “บิ๊กป้อม” ในฐานะ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ซึ่งเป็นนายทหารใจกว้าง สร้างคอนเนกชันในกองทัพมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) ต่อเนื่องมาจนถึงเบอร์ 1 กองทัพบก ก็ได้ใช้ทักษะพิเศษในการวางเส้นสนกลใน วางไลน์นายทหารรุ่นน้องๆไว้จน “ผูกขาด” เก้าอี้ ผบ.ทบ.ได้อย่างต่อเนื่อง
แทรกด้วยช่วงสั้นๆ ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก “บิ๊กป้อม” และทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้ว
จากนั้นก็เป็นยุครุ่งเรืองของ “บูรพาพยัคฆ์” โดยแท้ กุมอำนาจในตำแหน่ง ผบ.ทบ.นับสิบปี ตั้งแต่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ระหว่างปี 2550-2553 ต่อด้วย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างปี 2553 - 2557 ที่มีการยึดอำนาจการปกครองจาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” และครองอำนาจต่อเนื่องในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ต่อเนื่องไปถึง “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ปี 2557 - 2558 และ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ปี 2558 - 2559 ล้วนแล้วแต่เป็น “ทีมงานเสือตะวันออก” ทั้งสิ้น
ก่อนจะผลัดยุคมาเป็น “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ที่เป็นนายทหาร “เบร์เร่ต์แดง” และ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ นายทหารสายพิเศษ ที่สามารถไฮบริดได้ทั้ง “วงศ์เทวัญ” และ “บูรพาพยัคฆ์” ได้อย่างลงตัว
แม้ “บูรพาพยัคฆ์” จะสิ้นสุดการผูกขาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. แต่อย่าลืมว่า “พี่น้อง 3 ป.” กล่าวคือ “ป.ประวิตร - ป.ป๊อก (อนุพงษ์) - ป.ประยุทธ์” ก็ได้กุมอำนาจในกระดานที่ใหญ่ขึ้นทั้งในรัฐบาล คสช. ตลอด 5 ปีกว่าที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลเลือกตั้งที่มี พรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนหลัก
การบริหารอำนาจได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเครื่องสะท้อนความสามารถเชิงกลยุทธ์ วางโครงสร้างการใช้บุคลากรที่แยบยลของ “พี่ใหญ่” อย่างแท้จริง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถปรับสมดุลอำนาจใน “ฝ่ายทหาร” มาสู่ “ฝ่ายการเมือง” ได้อย่างแยบยล จนเป็นฐานรากของการก่อร่างพรรคพลังประชารัฐที่สามารถดึง “นักเลือกตั้ง” จากหลากหลายกลุ่มเข้ามาร่วมได้อีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง-นักเลือกตั้งจาก “บูรพาทิศ” ตั้งแต่ จ.ชลบุรี ไปจดขอบชายแดนที่ จ.สระแก้ว อันเป็นพื้นที่อิทธิพลของ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อันเป็นฐานกำลังของ “บูรพาพยัคฆ์” ล้วนแล้วแต่มาสยบ และเป็นขุมข่ายของ “พี่น้อง 3 ป.” แทบทั้งสิ้น
น่าสนใจอย่างยิ่ง ในการที่ “บิ๊กป้อม” เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคและรับตำแหน่งสำคัญในพรรคพลังประชารัฐ บอกเลยว่า “ไม่ได้มาเล่นๆ” ถึงขั้นประกาศ “ผมเป็นนักการเมืองเต็มตัว” แล้ว
“พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ยอมเปลืองตัวขนาดนี้ แสดงว่ามีแผนระยะยาวเอาไว้แล้ว “พลังประชารัฐ” คงไม่ใช่ “พรรคเฉพาะกิจ” อีกต่อไป
สำคัญกว่านั้น “ลุงป้อม” ยังพูดกันโวๆ ต้องอยู่ครบ 4 ปี เลือกตั้งคราวหน้าอย่างต่ำๆ ต้องเท่าทุน 116 ที่นั่ง ที่พรรคพลังประชารัฐได้มาคราวนี้ หรือมากกว่านั้น
ตามคิวที่ไฟเขียว ให้แต่งตั้ง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี เด็กในบ้านป่ารอยต่อฯ เป็นประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่แค่การปลอบใจหลังจากอกหักพลาดเก้าอี้ รมว.แรงงาน แต่กำลังให้ลุยโปรเจกต์ใหญ่ในอนาคต
“เสี่ยเฮ้ง” ในพรรคช่วงนี้กำลังขึ้นหม้อ ตอนนี้ ส.ส.ล้อมหน้าล้อมหลังกันเต็มไปหมด เพราะเป็นพวกใจป้ำ สายเปย์ ควักให้ไม่มีอิดออด ตามประสานักเลงที่ร่ำเรียนวิชามาจาก “กำนันเป๊าะ” สมชาย คุณปลื้ม อดีตผู้ทรงอิทธิพลชลบุรี ที่เพิ่งล่วงลับ ซึ่งสมัยมีชีวิตก็คุ้นเคยกับ “พี่น้อง 3 ป.” ในระดับแนบแน่น
บทบาทของ “เสี่ยเฮ้ง” ชักเริ่มแจ่มชัด หลังไปดึงเอา “เสี่ยลาว” พรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ และอดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ให้มาสวมยูนิฟอร์มพลังประชารัฐ พร้อมประเคนเก้าอี้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีให้จนได้
ขณะที่ล่าสุด ออกโรงชม “ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” และ “ตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากุล” 2 ส.ส.สุรินทร์ ที่ไปโผล่ต้อนรับแถมอวย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระหว่างลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ จนตัวลอยว่า เป็นนักการเมืองน้ำดี ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย
ภาษาการเมืองเขาเรียกว่า “ขายขนมจีบ”
เพราะก่อนหน้านี้เอง “เสี่ยเฮ้ง” ก็เพิ่งจะใช้คอนเนกชั่น ไปชักชวน “เสี่ยลาว” เปลี่ยนใจย้ายขั้วมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐได้ หวังจะไปปักธงใน จ.ศรีสะเกษ หลังเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มีผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคตัวเองเข้าวินสักคน
รอบนี้มาชม “ครูมานิตย์ - ตี๋ใหญ่” 2 ส.ส.สุรินทร์ ที่อยู่ในถิ่นอีสานใต้ เหมือนกับ “เสี่ยลาว” เจ้าถิ่นศรีสะเกษ น่าจะเป็นภารกิจหลักของ “เสี่ยเฮ้ง” ที่ถูกมอบหมายให้ใช้ “พลังดูด” ภาค 2 โดยพุ่งเป้าพื้นที่อีสาน
อย่างที่ทราบกัน ดินแดนแห่งนี้ เป็น “จุดอ่อน” ของพรรคพลังประชารัฐ และ “จุดแข็ง” ของพรรคเพื่อไทย หากจะโค่นพรรคเพื่อไทย ก็ต้องดึงที่นั่ง ส.ส.ในภาคอีสาน มาให้ได้มากกว่านี้
เพราะเลือกตั้งครั้งนี้ยังเจาะไม่ได้ เก็บ ส.ส.แบบแบ่งเขตมาได้ไม่ถึง 10 ชีวิต คนดูแลรับผิดชอบเก่าคือ “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งอีสาน ที่รอบนี้กวาด ส.ส.ได้ไม่ตามเป้า อาจมีคนจ้องจะเขย่าเก้าอี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“เสี่ยเฮ้ง” เองไม่ใช่ ส.ส.อีสาน แต่เป็น ส.ส.ภาคกลาง ที่หนนี้ออร่าออกมากกว่า “บ้านคุณปลื้ม” เพราะประสบความสำเร็จในเขตรับผิดชอบของตัวเอง นั่นคือ เขต 1 - 3 ชลบุรี ขณะที่อีกตระกูลจากจังหวัดเดียวกัน สอบตกแบบกราวรูด
พื้นเพ “เสี่ยเฮ้ง” มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ “เฮียยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) รัฐบาล ที่เป็น ส.ส.อีสาน ซึ่งประสบความสำเร็จมากสุดของพรรคพลังประชารัฐในเที่ยวนี้ เพราะกวาด ส.ส.ใน จ.นครราชสีมา บ้านเกิด “บิ๊กตู่” มาได้เกินเป้า เข้ายกครัวและญาติมิตร จน “นายใหญ่”ประทับใจ
ทุกวันนี้ ทั้งคู่แทบจะตัวติดกัน “วิรัช” เหมือนเป็นเทรนเนอร์ให้ “เสี่ยเฮ้ง” แทบจะทุกเรื่อง และเป็นคนที่ปลุกปั้นดันให้ ส.ส.ชลบุรี ที่แต่ก่อนไม่มีใครรู้จัก มาเป็นคนที่ไปไหนมาไหนมีแต่ลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง ที่สำคัญ ได้เป็นประธาน ส.ส.ของพรรค
ที่สำคัญ “วิรัช-สุชาติ” ยังเข้า - ออกบ้าน “บิ๊กป้อม” ได้เอง ไม่ต้องผ่านแกนนำคนไหน จนมีการกะเก็งกันว่า หนหน้า “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” อาจเปลี่ยนประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งใหม่ มาเป็น “คนใหญ่เมืองโคราช”
เพราะทั้ง “เสี่ยเฮ้ง” และ “วิรัช” ต่างประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา อาจทำให้ “บิ๊กป้อม” ต้องการลองของใหม่ เพื่อกวาด ส.ส.ให้ได้มากกว่าเดิม
ยิ่ง “เสี่ยเฮ้ง” ไปบอกว่า มีคอนเนกชั่นมากมายกับ ส.ส.อีสาน ในพรรคเพื่อไทย คุยกันในภาษานักเลง ยิ่งดูดมาได้เท่าไร โอกาสที่ “วิรัช” จะได้คุมทัพอีสานหนหน้ามีสูง
อ่านได้ว่าคู่หู “วิรัช-สุชาติ” เป็นอีกหนึ่งหมากสำคัญที่ “พี่ใหญ่” ที่หวังใช้เป็นกลยุทธ์ปั้น “พลังประชารัฐ” ให้ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่
สะท้อนว่างานการเมือง ที่ “นักเลือกตั้ง” เคยโหวกเหวกว่าควรให้พื้นที่ “มืออาชีพ” มากกว่านี้ ไม่เพียงแต่ไม่เป็นอย่างที่รีเควสกันไป กลับกันการบังคับบัญชาทั้งหลายในพรรคพลังประชารัฐ และรัฐบาล ก็ยังอยู่ในมือ “3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” อย่างเบ็ดเสร็จ
แน่นอนว่าอำนาจการปกครองประเทศย่อมอยู่ในมือ “บิ๊กตู่-ประยุทธ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
แต่ก็ขาด “บิ๊กป้อม-ประวิตร” ก็ยังคงอยู่ แม้จะถูกจับตามองหลังการตั้ง “รัฐบาลประยุทธ์ เฟส 2” ที่เหลือเพียงตำแหน่งรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว บวกกับกระแสข่าวป่วยไข้ส่วนตัว จนถูกมองว่า “หมดสภาพ” แต่เมื่อ “ลุงป้อม” ขยับก้าวเข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ ก็คงพูดไม่ผิดว่า เป็นหมากเกม “แบ่งกันเดิน” ที่วางไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ลดภารกิจในฝ่ายบริหาร เพื่อให้ “บิ๊กป้อม” มีกำลังเหลือในการบริหารคน ขับเคลื่อนพรรคการเมือง เหมือนดั่งที่เคยทำและประสบความสำเร็จในการปั้นเบรนด์ “บูรพาพยัคฆ์” ผูกขาดครองอำนาจผ่านเก้าอี้ ผบ.ทบ.หลายต่อหลายสมัย
คีย์แมนที่ขาดไม่ได้อีกคน “บิ๊กป๊อก-อนุพงษ์” พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ยังเป็น “เสือซุ่ม” ตามสไตล์ งวดนี้ยังยึดสัมปทาน รมว.มหาดไทย ต่ออีกสมัย หลังใช้เวลากว่า 5 ปี ในสมัย คสช.ครองอำนาจ วางขุมข่ายกำลังผ่านกลไก “กระทรวงมหาดไทย” โดยเฉพาะจุดสำคัญอย่าง “การเมืองท้องถิ่น” ไว้อย่างเสร็จสรรพ ถือเป็นส่วนหนึ่งของผลสำเร็จในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ
ที่ผ่านมา “บิ๊กป๊อก” ค่อนข้างวางตัว ไม่เข้าไปยุ่งกับกิจการพรรคพลังประชารัฐ กระทั่งหลังเลือกตั้งก็ยังเลือกใช้สตาฟท์ชุดเดิม ไม่ได้เปิดโอกาสให้ “คนของพรรค” เข้ามามีส่วนร่วมอย่างที่คาดการณ์กัน
แต่ก็เป็นที่รู้กันดีถึงความสำคัญของ “บิ๊กป๊อก” ที่มีต่อการสานต่ออำนาจของ “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” กันเป็นอย่างดี มิเช่นนั้น “กระทรวงมหาดไทย” คงเสร็จพรรคร่วมรัฐบาลที่จ้องกันตาเป็นมันไปแล้ว แม้จะเสีย “กระทรวงเกรดเอ” อย่าง “กระทรวงคมนาคม - กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ไป แต่เชื่อเลยว่า “พี่น้อง 3 ป.” ถือว่าคุ้มค่า เพราะมีการวางหมาก “แบ่งกันเดิน” อยู่แล้ว
วางภาพให้พี่น้องคนไทยสบายใจได้ว่า ประเทศไทยก็ยังคงอยู่ในมือ 3 ป. เบ็ดเสร็จเหมือนเดิม...งานนี้ไม่ยกนิ้วให้ “บิ๊กป้อม” พร้อมกล่าวว่า “เก่งและเก๋าจริงๆ” ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
นี่ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองที่ส่งผลทำให้ “พรรคอนาคตใหม่” ของเสี่ยเอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและปิยบุตร แสงกนกกุล มีอันเป็นไปถึงขั้น “ถูกยุบ” ด้วยแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองจะพลิกโฉมหน้าไปในอีกทิศทาง และคำประกาศของ “บิ๊กป้อม” ที่บอกว่า “รัฐบาลเรือเหล็กของลุงตู่” จะอยู่ยาว 4 ปี คงน้อยไปเป็นแน่แท้.