ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จากเรื่อง “หยุมหยิม” เมื่อหลายวันก่อน กลายมาเป็นเรื่องร้อนปรอทแตกเสียแล้ว
ประเด็นที่ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ไม่ครบถ้วนกระบวนความตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ในมาตรา มาตรา 161 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งยกมาจากฉบับก่อนหน้าทุกประการระบุว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
แต่เมื่อตรวจสอบภาพจากข่าวในพระราชสำนัก เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ปรากฏว่า ในช่วงที่ “นายกฯตู่” นำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณตนนั้น กล่าวข้อความเพียงว่า “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ตลอดไป”
ข้อความที่หายไปคือ “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” แทนที่มาด้วยคำว่า “ตลอดไป” ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียน
ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งการหารือก่อนการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา โดย “อาจารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่ทักท้วงว่า สถานะของรัฐบาลยังไม่ถือว่าสมบูรณ์หรือไม่ เพราะถ้อยคำที่กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณ ไม่ครบประโยคตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
หมายใช้เป็น “หมัดเด็ด” เพื่อใช้น็อก “บิ๊กตู่” ให้ล้มคว่ำกลางที่ประชุม
อย่างไรก็ดีในวันนั้นมี “กรรมการ” อย่าง ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ควบคุมการประชุม “ตัดบท” ให้ว่า เป็น “ข้อกล่าวหาที่รุนแรง” ผู้พูดต้องรับผิดชอบ พร้อมตัดเข้าสู่วาระการประชุมทันที
ส่งผลให้ “ปิยบุตร” ต้องรีบออกไปแถลงข่าวด้านนอกห้องประชุม เพื่อยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องหยุมหยิมอย่างที่ถูกวิจารณ์
ตามคิวแล้วฝ่ายค้านได้วางคิวให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย รับไม้ต่อเพื่อขยี้ในเรื่องการถวายสัตย์ไม่สมบูรณ์ แต่เกิดวิวาทะ “ตัดพี่ตัดน้อง” กับ “นายกฯตู่” เสียก่อน ทำให้ “เสรีพิศุทธิ์” ถูกเชิญออกนอกห้องประชุม และถูกตัดสิทธิ์ในการอภิปราย โดย “ประธานชวน” ในวันต่อมา
แม้ในการแถลงนโยบายรัฐบาล ฝ่ายค้านจะออกหมัดเรื่องนี้ได้อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็น “วาระสำคัญ” ของพรรคฝ่ายค้าน ทั้งระดับแกนนำของ พรรคเพื่อไทย พรรคเสรีรวมไทย และโดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ นำประเด็นนี้ไปตีปี๊บอย่างต่อเนื่อง ทิ้งประเด็นคุณสมบัติของ “อดีตหัวหน้า คสช.” ในฐานะ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไปซะเฉยๆ
ในขณะที่ฝ่ายค้านกำลังไล่ขย่มอย่างเมามันนั้น เดิมทีฝ่ายรัฐบาลก็ดูจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แถมยังปล่อยให้ “เซียนกฎหมาย” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ใช้ “วิชาแถ” จนเกือบ “ออกทะเล” โดยไม่คิดหาทางแก้ไข ทั้งที่ถูกทักท้วง และมีหลักฐานปรากฏว่า ข้อความในพิธีดังกล่าวขาดหายไปจริงๆ
จับท่าที “วิษณุ” จากแรกๆที่ตะแบงว่า “เสร็จเรียบร้อยกระบวนการครบถ้วน และผ่านพ้นไปแล้วผมจะหาเรื่องให้เขาเอากลับมาพูดอีกทำไม” แล้วยังระบุด้วยว่าปัญหาการอ่านคำถวายสัตย์ไม่ครบก็เคยมีในอดีต
“ตอนนี้ถือว่าเรียบร้อย ถือว่าจบ เพราะได้รับพระราชทานพรใส่เกล้าใส่กระหม่อมแล้ว” รองนายกฯฝ่ายกฎหมายว่าไว้
มองไม่ผิดว่านอกเหนือจากไล่ตอบว่าทุกอย่างจบแล้ว “วิษณุ” ก็ยังเป็น “กุนซือ” ไกด์คำตอบให้ “นายกฯตู่” ที่ตอบผู้สื่อข่าวในช่วงแรกว่า “พิธีถวายสัตย์เสร็จสิ้นด้วยความเรียบร้อยแล้ว ผมจะไม่กล่าวถึงอีก” และขอร้องด้วยว่า “จบดีกว่า อย่าให้บานปลาย”
ขณะที่ “วิษณุ” ผู้ที่โดยธรรมชาติแล้วทำตัวเป็น “พหูสูต” รู้รอบในทุกเรื่อง ถามตอบได้ทุกประเด็น ก็ออกอาการ “พลิ้วไม่ออก” เริ่มงัดวิชา “เตมีย์ใบ้” ท่องคาถา “ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ตอบ” ถึง 6-7 ครั้ง เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามจี้ในเรื่องนี้
และยังทิ้งท้ายอย่างมีนัยด้วยว่า “สักวันจะรู้เองว่า ทำไมไม่ควรพูด”
สิ้นประโยคนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้สังคมวงกว้างเริ่มสงสัยใคร่รู้เท่านั้น ยังทำให้ “ท่านรองฯ” กลายเป็น “ตำบลกระสุน” ถูกฝ่ายตรงข้ามดาหน้าถล่มแหลกทันที ด้วยมองว่าคำตอบของ “วิษณุ” นอกจากไม่รับผิดชอบการกระทำแล้ว ยังเข้าข่าย “แอบอ้าง” อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังโดน “อดีตแฟนคลับ” อย่าง “ปิยบตร” ย้อนศรอย่างเจ็บแสบ เสียฟอร์ม “นักกฎหมายประเทศไทย” ผู้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีมาถึง 8 คน 12 รัฐบาล และเคยฟันธงชี้ขาดเรื่องกฎหมายโชะๆ จนขึ้นชื่อว่าแม่นยำข้อกฎหมายที่สุดในราชอาณาจักรไทย
โดย “เลขาฯอนาคตใหม่” ไปขุดเอาบางช่วงบางตอนในหนังสือ “หลังม่านการเมือง” หนึ่งในซีรีย์ “เรื่องเล่าจากเนติบริกร” ที่มี 3 เล่ม อีก 2 ปกใช้ชื่อ “โลกนี้คือละคร - เล่าเรื่องผู้นำ” ที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์การทำงานร่วมกับคณะรัฐมนตรีชุดต่างๆหลายสิบปี ตั้งแต่สมัยเป็นข้าราชการในตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก่อนขึ้นชั้นมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
ในหนังสือ “หลังม่านการเมือง” มีบทหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “การถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่” ระบุถึงความสำคัญของการถวายสัตย์ปฏิญาณในทางกฎหมาย เพราะอาจส่งผลถึงการเข้าบริหารราชการแผ่นดิน โดยรัฐมนตรีต้องเปล่งวาจาด้วยถ้อยคำที่กฎหมายกำหนด
ย้ำสร้อยท้ายประโยคไว้ด้วยว่า “ใครจะพูดน้อยหรือยาวกว่านี้ไม่ได้”
“ในระหว่างการเปล่งวาจาถวายสัตย์ปฏิญาณ ช่างภาพโทรทัศน์จะบันทึกภาพอยู่ด้วยทุกระยะ รัฐมนตรีแต่ละคนจึงควรระมัดระวังโลกยุคสารสนเทศให้มาก … รัฐมนตรีต้องระวังให้มากขึ้นแล้วละครับ เพราะดีไม่ดีจะกลายเป็นเรื่องต้องเปิดเทปส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทีนี้ล่ะยุ่งกันใหญ่!
“ความสำคัญจึงอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะผิดไม่ได้ ท่านนายกฯ ชวน (หลีกภัย) จะไม่อ่าน แต่ใช้วิธีจำเอา ส่วนนายกฯ ท่านอื่นๆ จะใช้วิธีอ่านทีละวรรค ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิมพ์ลงบัตรแข็ง ซึ่งดูปลอดภัยกว่าการจำ เพราะจะไม่ผิดพลาด ขืนท่องจำผิดๆ ถูกๆ ตกคำว่า “และ” คำว่า “หรือ” ไปสักตัว ก็อาจต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าได้ถวายสัตย์ฯ ครบถ้วนหรือยัง จะยุ่งเปล่าๆ”
คือข้อเขียนของ “ศ.ดร.วิษณุ” ปรมาจารย์กฎหมายชั้นอ๋อง ที่วันนี้ได้ท่องคาถา “ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ตอบ”
ขณะที่ตัว “ลุงตู่” เอง ช่วงแรกก็ดูเหมือนจะมั่นใจ โดยยืนยันว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ คือ การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และคิดว่าข้อความที่กล่าวไปทั้งหมดนั้นครอบคลุม เป็นไปตามรัฐธรรมนูญคือดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมด และอีกสิ่งสำคัญคือเป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการ”
และประโยคเด็ดก็คือ “ขอให้จบเรื่องนี้ดีกว่า อย่าให้บานปลาย และหลายคนก็เป็นทหารอยู่ตรงนั้นด้วย ซึ่งก็ขอร้องแล้วกัน เคยเป็นพี่เป็นน้องกันมา อย่าให้การเมืองทำประเทศชาติปั่นป่วน ถ้าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ไปรอเลือกตั้งคราวหน้า”
ทว่า ท้ายที่สุด “นายกฯตู่” ที่เหมือนรู้ตัวแล้วว่า การใช้ “วิชาแถ” แก้ปัญหาเรื่องนี้แบบที่ “วิษณุ” วางแนวไว้คงได้ “ออกทะเล” ไม่จบปัญหาง่ายๆ เป็นแน่ ท่าทีของ “ลุงตู่” จึงเปลี่ยนไป
“เรื่องถวายสัตย์ปฏิญาณนั้นกำลังพยายามแก้ไขปัญหาอยู่ แต่ยืนยันว่าได้ทำครบถ้วน เรื่องดังกล่าวก็คงต้องว่ากันต่อไป” เป็นคำตอบของ “นายกฯประยุทธ์” เมื่อถูกถามว่าจะไปตอบกระทู้ด่วนที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะถามเกี่ยวกับกรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่
ก่อนที่จะกล่าวอีกครั้งในระหว่างลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ว่า "เดี๋ยวคงเรียบร้อยนะ เพราะผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ผิด เขาดูกันที่เจตนา"
ท่ามกลางกระแสว่า รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว
ในขณะที่ฝ่ายค้านเองก็ยังไม่ยอมลดราวาศอก นอกจากเตรียมตั้งกระทู้ถามสดนายกฯแล้ว ยังนำไปเป็นประเด็นในที่ประชุมสภาฯอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายของ “เสรีพิศุทธิ์” ที่ทวงถามความรับผิดชอบจาก “ประธานชวน” ที่ปิดกั้นไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องนี้ในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่เข้าข่ายการปล่อยให้กระทำผิดทางกฎหมายด้วย
ที่สำคัญยังจดบัญชีไว้ตัวโตๆว่า จะใช้เป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงเดือนกันยายน 2562 ก่อนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เพื่อให้สถานะของรัฐบาลมีความชัดเจนก่อนพิจารณากฎหมายสำคัญ
โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้นายกฯ “แสดงความรับผิดชอบ”
ฝ่ายค้านชงขมปี๋มาแบบนั้น “ลุงตู่” ดันรับลูกแบบไม่รู้ตัว ทำเอากองเชียร์ต้องใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อจู่ๆ นำเรื่องนี้ไปเปรยบนเวทีในระหว่างเป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูง ที่มีรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมงานกว่า 800 คนว่า
“ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว นั่นคือเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเป็นห่วงกังวลอยู่อย่างเดียว ว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำงานได้ ก็หวังให้ทุกคนได้ทำงานต่อไป อย่างไรก็ตาม ต้องไปศึกษาในรัฐธรรมนูญดู ว่าเขียนว่าอย่างไร อย่างไรก็ตาม ก็คงยังจะมีรัฐบาลอยู่ และต้องขอโทษบรรดารัฐมนตรีด้วย เพราะผมถือว่าผมได้ทำเต็มที่แล้ว วันนี้ขอร้องเรื่องเก่าๆอะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด อะไรพูดได้ก็พูดไป ผมเองรับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว ยืนยันว่ามีความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับรัฐมนตรี และให้เกียรติกับทุกคน และให้เวลาพิสูจน์ผลงานในการทำงาน”
ทำเอาตีความกันไปไกลว่า “ประยุทธ์” อาจตัดสินใจ “ลาออก” เพื่อรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้น ประกอบสีหน้าท่าทางที่ดูไม่ค่อยดีด้วย
แต่ “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็รีบออกมาดับกระแสข่าวทันทีว่า นายกฯมีอาการป่วยและอ่อนเพลีย หลังลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ไม่มีการถอดใจใดๆ
จากท่าทีของ “นายกฯประยุทธ์” และคนในรัฐบาล ก็สะท้อนว่า ณ วันนี้ รู้ตัวแล้วว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจริง ในทำนอง “สี่เท้ารู้พลาด นักปราชญ์รู้พลั้ง”
เพียงแต่เมื่อรู้ว่าพลาดแล้ว จะ “แก้ไข” ให้ถูกต้อง หรือ “แก้ตัว” น้ำขุ่นๆ ไปวันๆ
มีการเปิดเผยว่า เคยมีกรณีเทียบเคียงกับข้อผิดพลาดในการถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในกรณีของ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เคย “สาบานตน” ไม่ครบถ้วน เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกเมื่อปี ค.ศ.2009 ที่มีการสลับถ้อยคำบางช่วง โดยพบว่าเป็นความผิดพลาดของ ประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้กล่าวนำการสาบานตน
เมื่อถูกสื่อมวลชนทักท้วง ในวันรุ่งขึ้น “ประธานาธิบดีโอบามา” จึงจัดพิธีกล่าวสาบานตนอีกครั้งทันที
จากกรณีเทียบเคียงซึ่งเกิดขึ้นในต่างประเทศ ก็อาจจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ “นายกฯประยุทธ์” ระบุไว้ก็เป็นได้ หากแต่ก็เข้าใจได้ว่า ในบริบทของประเทศไทยอาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พอสมควร
ที่น่าตกใจคือ ไม่เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็น “โมฆะ” ที่อาจส่งผลต่อสถานะของรัฐบาล และการใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของ ครม.เท่านั้น แต่มีความพยายาม “ตีปี๊บ” โดย “ฝ่ายค้าน” เชื่อมโยง “เจตนา” ของ “บิ๊กตู่” ว่าจงใจ “เว้น” ไม่กล่าวข้อความประโยค “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตน
ว่า “นายกฯประยุทธ์” มีเจตนามิดีมิร้ายต่อ “รัฐธรรมนูญ 2560” ที่อาจพูดได้ว่า “อดีตหัวหน้า คสช.” เป็นผู้ทำคลอดมากับมือ
“ตลกร้าย” ไม่น้อยที่ ข้อกล่าวหาดังกล่าวออกมาจาก “พรรคฝ่ายค้าน” ที่ต่างก็ตราหน้าว่า “รัฐธรรมนูญ 2560” เป็นฉบับที่ “เลวร้ายที่สุด” และมีการประกาศแคมเปญต้องแก้ไขทั้งฉบับโครมๆ มาตั้งแต่เมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้ง
แต่เมื่อเกิด “จับผิด” การถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ “ครม.ลุงตู่ 2” ได้ขึ้นมา กลับกลายเป็นหวงแหนรัฐธรรมนูญ 2560 ซะอย่างนั้น แล้วมุ่งหยิบในส่วนที่เป็นประโยชน์ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาเป็นอาวุธในการรุกไล่ห้ำหั่น “นายกฯ ประยุทธ์” ในทุกวาระเท่าที่ทำได้
แบบนี้มันเข้าทำนอง “เกลียดตัวกินไข่” หรือเปล่าหว่า.