ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับเป็นหนึ่งในมาตรการยกเครื่องบริการสาธารณสุขที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับแนวคิดของ “หมอหนู - อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่เดินเครื่องนโยบายให้ “ผู้ป่วย” สามารถนำใบสั่งยาจากแพทย์ไปรับยาที่ “ร้านขายยา” ใกล้บ้าน แก้ปัญหาโรงพยาบาลรัฐแออัด ลดการรอคิวรับยานานค่อนวันและลดภาระบุคลากรทางการแพทย์
ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้ว่า ปัญหาการ “รอคิวรับยานาน” ถือเป็นปัญหาสำคัญในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งพบเห็นกันจนเป็นภาพเจนตาและรอการแก้ไขอย่างมีประสิทธิผลมานับทศวรรษ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ “โรงพยาบาลเอกชน” ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดว่าการบริหารจัดการระบบยาในโรงพยาบาลรัฐมีปัญหาและจำต้องปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพ
ปัญหาดังกล่าวนับเป็นการซ้ำเติมผู้ป่วยผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ โดยอ้างอิงได้จากสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ที่เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง สำรวจทุกข์ (Pain Point) จากบริการโรงพยาบาลช่วงเดือน พ.ย. 2561 พบว่า ทุกข์ (Pain Point) จากบริการโรงพยาบาลที่ต้องเร่งปรับปรุงด่วนที่สุด ได้แก่ “รอคิวนาน”
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยแนวคิดการแก้ปัญหาลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาจากแพทย์กลับไปรับยากับร้านขายยาที่ลงทะเบียนไว้กับกระทรวงสาธารณสุข 20,000 แห่งทั่วประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการรอคิวนาน อำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยให้ใช้เวลาในโรงพยาบาลน้อยลง
นายอนุทิน กล่าวว่า ปัญหาการรอคิวนานไม่เพียงมาจากการรอพบแพทย์ การรอรับยาก็นานเช่นกัน ซึ่งขั้นตอนการรับยาสามารถแก้ไขได้ง่ายกว่า ฉะนั้น การเปลี่ยนจากการรอคิวรับยาอย่างยาวนานในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาจากแพทย์กลับบ้านแล้วไปรับยาที่ร้านขายยา ซึ่งมีกว่า 20,000 แห่งที่ลงทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขแทน จึงถือเป็น “ทางออก” ที่สามารถทำได้
ส่วนยานั้นเป็นยาทั่วไปในบัญชียาของ สปสช. หากเป็นยาทั่วไปยาในบัญชีก็ไปรับร้านขาย ขณะที่ยาโรคเรื้อรังถ้าเป็นยาเฉพาะทางก็รับที่โรงพยาบาลเหมือนเดิมขณะที่ระบบการจ่ายเงิน ก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไร เพราะโรงพยาบาลสามารถนำเงินงบประมาณที่ได้รับจาก สปสช.ไปเบิกจ่ายให้กับร้านขายยาอีกทอดหนึ่ง
“ไอเดียนี้น่าจะเป็นการลดความหนาแน่นในโรงพยาบาลได้ดีที่สุด คือ ตั้งแต่เข้ามาก็ให้มันน้อย พบแพทย์เสร็จออกไปให้เวลาที่อยู่ รพ.น้อยที่สุด ก็คิดอะไรได้ก็ทำ ถ้าเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นสิ่งที่ลดภาระ ลดเวลา ลดความไม่สบายไม่สะดวกทั้งหลาย เรื่องนี้เป็นแค่กลไกที่คิดขึ้น หากผู้ปฏิบัติคิดว่าเป็นไปได้ เห็นตรงกันก็เดินหน้าหาบทสรุปเพื่อดำเนินการ โดยจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาและหารือ ซึ่งก็จะทำให้เร็วที่สุด” นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สธ. แจกแจง
ด้าน นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงประเด็นการลดความหนาแน่นการรับบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ นอกจากการหาแนวทางรับยาที่ร้านขายยา อนาคตจะมีการจัดส่งยาไปที่บ้านผู้ป่วย โดยให้ “อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)” ช่วยส่งยาให้แก่ผู้ป่วย พร้อมทั้งให้ความรู้การใช้ยาแก่ผู้ป่วย และผลข้างเคียงแก่ผู้ป่วย
พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุขเตรียมยกระดับสถานีอนามัย 9,000 แห่ง ทั่วประเทศ ให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล โดยมีแพทย์ประจำซึ่งทำให้ต้องเร่งผลิตแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2564 จะมีการบรรจุแพทย์ บุคลากรสาธารณสุข ให้พอกับความต้องการที่มีอยู่ทุกหน่วยให้มากที่สุด
กล่าวสำหรับการขับเคลื่อนแนวคิดให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาจากแพทย์กลับไปรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้าน ซึ่งขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ 20,000 แห่งนั้น ในแง่กฎหมายผ่านฉลุยไม่ติดขัดประการใด ซึ่งที่ผ่านมามีการนำร่องแล้วในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีร้านขายยาที่ทดลองใช้ระบบดังกล่าว 36 แห่ง และจะขยายไปยังโรงพยาบาลศูนย์ระดับภูมิภาค
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า สปสช.ได้ขึ้นทะเบียนร้านยาทั้ง 36 แห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เข้าร่วมทดลองระบบดังกล่าวให้เป็นหน่วยร่วมใช้บริการ ประเภท “ร้านยาชุมชนอบอุ่น”และลงได้มีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบอยู่เป็นระยะๆ
ทั้งนี้ ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2562 บอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบกำหนดให้ร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ข.ย.1) เป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่นที่คณะกรรมการกำหนดเพิ่มเติม ตามมาตรา 3 พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 โดยให้นำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯ รับสมัครร้านขายยาขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระบบบัตรทอง ภายใต้ชื่อ “ร้านยาชุมชนอบอุ่น”
ขณะที่ ภญ.ดร.ศิริรัตน์ ตันปิชาติ นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) กล่าวถึงโครงการร้านยาชุมชนอบอุ่นว่าเป็นความร่วมมือกับ สปสช. เพื่อเปิดบทบาทให้ร้านยาเป็นหน่วยบริการสนับสนุนงานด้านสาธารณสุข ซึ่งทำงานเชื่อมโยงข้อมูลและส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยบริการตามสิทธิที่ประชาชนใช้บริการ เป็นการนำภาคเอกชนมาสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ
สำหรับการรับยาที่ร้านขายยานั้น สปสช. ใช้วิธีการจ่ายเงินตรงไปยังร้านขายยา โดยมีเงื่อนไขกำหนด ดังนั้น การขยายบริการให้ไปรับยาที่ร้านขายยาก็สามารถทำได้ และไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความคลาดเคลื่อนจากการใช้ยา เนื่องจากต้องมีเภสัชกรเป็นผู้จ่ายยาตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถจ่ายยาน้อยกว่าหรือเพิ่มขึ้นจากใบสั่งแพทย์ได้ และสามารถอธิบายวิธีการใช้ยาได้เหมือนกับเภสัชกรในโรงพยาบาล
ส่วนคำถามที่ว่า หากมีการดำเนินการเช่นนี้จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคลากรภายในโรงพยาบาลที่มีการเปิดร้านขายยาในพื้นที่ด้วยหรือไม่ เลขาธิการ สปสช. อธิบายว่าการจ่ายยาของร้านขายยานั้นๆ จะต้องผ่านการตรวจสอบตามข้อกำหนดของระบบหลักประกันสุขภาพฯ กลายๆ มีกลไกควบคุมอยู่แล้ว
การ “รับยา” ที่ “ร้านขายยา” นับเป็นทางเลือกแก่ผู้ป่วย ช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลารอคิวนาน เป็นหนึ่งในวิธีการแก้โจทย์ใหญ่ “ปัญหาความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ” นอกจากนำกลไกต่างๆ เข้ามาจัดการแล้ว คงต้องย้อนกลับมาทบทวนระบบการจ่ายยาภายโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ความล่าช้าที่ตัวระบบเกิดจากสาเหตุใด จะแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร
การยกเครื่องระบบสาธารณสุขไทย เป็นโจทย์ใหญ่ของ “หมอหนู - อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่มีประชาชนคนไทยกว่า 70 ล้านชีวิต เป็นเดิมพัน ขณะเดียวกันก็ถือเป็น “ความท้าทาย” ให้ “โรงพยาบาลรัฐ”หาหางปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวให้ดีขึ้นไปในตัวด้วย