xs
xsm
sm
md
lg

กลุ่มก่อการร้ายบูชาผิวขาว กำลังขยายงอกงามในสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
ในช่วงหลัง Arab Spring (ปี 2011) ได้มีการก่อตัวของกลุ่ม ISIS ทางตะวันตกของอิรัก และขยายไปถึงตอนเหนือของแอฟริกา โดยมีเขตปฏิบัติงานเพื่อสร้างอาณาจักรกาหลิบ (Caliphate) บริเวณตะวันตกของซีเรียต่อเนื่องกับอิรัก และการขยายตัวได้ไปไกลถึงกลุ่ม Boko Haram ที่ไนจีเรีย และไปถึงภาคตะวันออกของลิเบีย

อาณาจักรกาหลิบดูจะแข็งแกร่งมากสุดในช่วง 2013-15 โดยมีสมาชิกจากนานาประเทศเข้าร่วมเป็นจำนวนแสน และได้ปฏิบัติการก่อการร้ายอย่างโหดเหี้ยมแก้แค้นตะวันตกในบริเวณยุโรป ทั้งยุโรปเหนือและใต้ ที่ฝรั่งเศส, เบลเยียม, เยอรมนี, อังกฤษ, สเปน-พรุนไปหมดทั้งยุโรป รวมทั้งที่รัสเซีย, ตุรกี

และแน่นอน มีการเกิดวางระเบิดที่สหรัฐฯ ทั้งที่นิวยอร์ก, นิวเจอร์ซีย์ และอีกหลายแห่ง รวมทั้งการกราดยิง (Mass-Shooting) โดยสมาชิกที่ลงทะเบียนหรือที่ปวารณาตัวเป็นสมาชิกนอกบัญชีทางการ (lone wolf) ทั้งที่ฟลอริดา, แคลิฟอร์เนีย รวมทั้งที่ยึดร้านกาแฟที่ออสเตรเลียด้วย

ตอนที่ฮิลลารีหาเสียงแข่งกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2015 ฝ่ายเดโมแครตนำโดยปธน.โอบามา และผู้สมัครฮิลลารี ต่างหลีกเลี่ยงการเรียกกลุ่มก่อการร้าย ISIS ว่า “Radical Islamist Terrorists” แทนที่จะเป็น “Radical Terrorists” เพราะจะเป็นการผลักบรรดา Moderate Islamists ให้โน้มเอียงไปทาง ISIS เนื่องจากสังคมส่วนใหญ่หรือทางการสหรัฐฯ จะพยายามใช้นโยบายและปฏิบัติการที่มองชาวมุสลิมเป็นผู้ก่อการร้ายทั้งหมด

เวลานั้น ทางฝ่ายทรัมป์และชาวรีพับลิกันส่วนใหญ่จะจงใจเรียกกลุ่ม ISIS ว่า “Radical Islamist Terrorists” เพื่อให้พรรครีพับลิกันมีมุมมองต่างกับปธน.โอบามาและชาวเดโมแครต และถึงกับจะออกนโยบายให้มีการลาดตระเวนติดตามตรวจสอบชาวมุสลิมทุกๆ คนตามหมู่บ้านและห้องพักอาศัยที่สหรัฐฯ ทำยังกะสมัยเกสตาโปของฮิตเลอร์ที่ทำกับชาวยิว ช่วงก่อนทำ Holocaust นั่นเอง

นโยบายของโอบามาคือ ต้องพยายามไม่ผลักมุสลิมสายกลางไปหามุสลิมสุดโต่งโหดเหี้ยม โดยให้มุสลิมที่เป็นกลางได้ช่วยทางการหาข่าวกรองของกลุ่มก่อการร้าย และให้มาเป็นพวกเดียวกับทางการ ซึ่งถ้าทางการไปมองชาวมุสลิมว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้ายทั้งหมด ก็คือผลักไสพวกเขาให้ไปเข้ากับผู้ก่อการร้ายนั่นเอง

สำหรับการกราดยิง 2 แห่งที่เมืองเอลปาโซ รัฐเทกซัส และเมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ เป็น Mass Shooting ที่เกิดจากความเกลียดชัง, ความกลัวชนกลุ่มน้อยจะมารุกราน และต้องกำจัดชนกลุ่มน้อยออกไปจากประเทศของคนผิวขาว

จากการบุกค้นบ้านพักของมือกราดยิงที่เอลปาโซ ปรากฏพบข้อเขียนคำประกาศเจตนารมณ์ของฆาตกรว่า ต้องการกำจัดผู้รุกรานซึ่งเป็นชาวอเมริกากลาง, อเมริกาใต้ที่กำลังบุกเข้ามาครอบครองดินแดนอเมริกา เขาจึงบึ่งรถมาถึง 10 ชม.จากตอนเหนือของเมืองดัลลัส มายังเอลปาโซเมืองชายแดนตอนใต้ของเทกซัส เพื่อมากำจัดเหล่าผู้รุกรานของรัฐเทกซัสและประเทศสหรัฐฯ จึงกราดยิงยังเหล่าชาวเอลปาโซ (ซึ่งเกือบ 50% ของเมืองนี้เป็นชาว Hispanic) ที่กำลังซื้อข้าวของกินของใช้ในสายๆ ของวันเสาร์ที่ผ่านมา

ในข้อเขียนแสดงเจตนารมณ์ที่เขาอยากกำจัดเหล่าผู้รุกรานชาว Hispanic ก็เพราะเขาเห็นด้วยกับคำปราศรัยของปธน.ทรัมป์ที่ยุยงปลุกปั่นให้ชาวผิวขาวขับไล่ไสส่งพวกผู้อพยพจากอเมริกากลาง, อเมริกาใต้ ที่ทรัมป์บอกว่ามากันเป็นแสน, น่ากลัวมาก, จะมาครอบครองยึดแผ่นดินอเมริกา (Invasion)

ซ้ำร้าย ทรัมป์เพิ่งเปรียบชาวผิวดำลูกหลานทาสที่อาศัยอยู่ในบ้านการเคหะที่เมือง Baltimore ว่า อยู่คลุกกับหนูโสโครกแออัดในรังหนูยัดเยียดยั้วเยี้ยด้วยเชื้อโรคน่าขยะแขยง (Infestation) โดยโทษ ส.ส.อาวุโสผิวดำ (นายอีลายจาห์ คัมมิงส์) ของรัฐแมริแลนด์ (ที่ตั้งของเมืองบัลติมอร์) ว่า มีคอร์รัปชันและไม่ดูแลที่อยู่อาศัยของพวกผิวดำกันเอง ทั้งๆ ที่หมู่บ้านการเคหะเหล่านี้ กว่า 50% สร้างโดยบริษัทของนายจาเร็ด คุชเนอร์ (ลูกเขยหมายเลขหนึ่ง) ที่ประมูลชนะได้งานก่อสร้างและบำรุงรักษา แต่กลับไม่นำพาการดูแลสภาพอาคารให้เหมาะกับการอยู่อาศัย

ตลอดช่วงหาเสียงของผู้สมัครทรัมป์ และแม้หลังชนะเลือกตั้งแล้ว ก็ยังปราศรัยปลุกปั่นด้วยคำพูดดูถูกเหยียดหยามคนผิวสี (ดำ, น้ำตาล) และพูดจาถากถางตะโกนไล่ให้พวกเขากลับไปบ้านเกิดเดิมที่โสโครก สร้างความเกลียดชังต่อคนผิวสีตลอดเวลา เหมือนที่ฮิตเลอร์ทำกับชาวยิวนั่นเอง และยังออกมาโอบอุ้มปกป้องเหล่ากลุ่ม KKK, Neo-Nazi ที่บูชาผิวขาวเป็นเลิศ (White Supremacist; หรือชาตินิยมผิวขาว White Nationalist) จากกรณีของ KKK เดินถือคบไฟฮึกเหิมที่เมือง Charlottesville

ช่วงหาเสียงแข่งกับฮิลลารี มีรถตู้หลายคันที่วาดรูปฮิลลารีเป็นเป้าการยิงจากปืนด้วยซ้ำ ซึ่งทรัมป์กระพือความเกลียดชังต่อคนที่เป็นคู่แข่งของทรัมป์ หรือผู้ที่คุกคามพวกผิวขาว

ทรัมป์ไม่เคยปฏิเสธเหล่ากลุ่มบูชาผิวขาวสุดขั้วที่ใช้ความรุนแรงทุบตีคนสีผิวอื่นๆ และนำมาถึงวันที่เหล่าบ้าคลั่งผิวขาวลากปืนออกมากราดยิงคนผิวสีอย่างเมามัน เพราะถูกปลุกปั่นโดยทรัมป์

สถิติการกราดยิงโดยชายผิวขาว (WASPM-ย่อมาจาก White, Anglo-Saxon, Protestant, Male) ช่วงที่ทรัมป์เป็นปธน.สูงสุดกว่าครั้งใดๆ และล่าสุดคือเหตุสลดที่เอลปาโซและเดย์ตัน

ทรัมป์ออกมาพูดแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัส, ประกาศลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศ แต่คำพูดของเขาก็ซ้ำซากกับเหตุการณ์เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าคือ เป็นพวกโรคจิตที่จะต้องหาทางจัดการไม่ให้คนโรคจิตมาซื้อปืน แต่ร่างกฎหมายสมัยโอบามาที่บังคับให้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และการป่วยโรคจิตห้ามซื้อปืน ก็ถูกฉีกทิ้งสมัยทรัมป์ จนการซื้อปืนง่ายดายยังกะซื้อโดนัท เพราะสมาคมปืนไรเฟิล (NRA) บริจาคเงินช่วยหาเสียงให้ ส.ส.และ ส.ว.ทั้งสองพรรค (แต่ให้พรรครีพับลิกันมากกว่า) และให้ทรัมป์ด้วย เพื่อไม่ให้ออกกฎหมายห้ามพกพาปืนสงครามในที่สาธารณะ และการซื้อขายปืนต้องทำรอบคอบขึ้น อย่างที่ออสเตรเลีย (ที่ออกกฎหมายทีหลังเหตุกราดยิงใหญ่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว) หรือที่ญี่ปุ่น

ไม่เพียงโทษว่า ความผิดอยู่ที่คนโรคจิตที่กราดยิง (ไม่ใช่ความผิดของปืน) แต่ยังไปโทษเกมวิดีโอที่รุนแรง และขอความร่วมมือให้ลดความรุนแรง ซึ่งเป็นการบิดเบือนของทรัมป์และเหล่ารีพับลิกันที่ให้หันเหและไปสู่สิ่งเหล่านี้ แทนที่จะแก้ปัญหาให้ตรงจุดคือ กฎหมายพกพาปืนที่เข้มงวด และคำพูดปลุกปั่นของทรัมป์ที่ต้องการหาเสียงกับคนผิวขาวโดยสร้างความเกลียดชังต่อคนผิวสีจนถึงให้กำจัดพวกผิวสีออกจากประเทศให้หมด

ครั้งนี้ มีนสพ.ชั้นนำในสหรัฐฯ เริ่มใช้คำใหม่แก่กลุ่มบูชาผิวขาวว่าเป็น White Terrorists คือกลุ่มก่อการร้ายคลั่งผิวขาว หรือที่ นสพ. Sydney Morning Herald พาดหัวว่า “White-Nationalist Terrorists” ซึ่งเป็นพวกที่ถูกปลุกปั่นให้ออกมาฆ่าคนผิวสีนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น