xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ลุงตู่ FULL POWER คุม “ทหาร - ตร.- DSI - ศก.” ระวัง “ก๊วนลูกกรอก” คะนองฤทธิ์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังพ้นผ่านการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ตลอดกว่า 34 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 25-26 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เผชิญหน้ากับที่ประชุมรัฐสภาและสามารถผ่านสนามจริงหนแรกไปได้อย่างไม่ขี้เหร่ ก็จัดทัพ “ครั้งใหญ่” ชนิดที่บรรดา “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” ต้องซี้ดปากไปตามๆ กันเลยทีเดียว

ถือเป็นการนับหนึ่ง “รัฐนาวาประยุทธ์ เฟส 2” ที่แปรสภาพจาก “เรือแป๊ะ” มาเป็น “เรือเหล็ก” อย่างเป็นทางการ

อย่างที่ย้ำหลายหน ด้วยความที่นายกฯ และรัฐมนตรีหลายรายถือเป็น “คนเก่า” ก็เท่ากับว่า รัฐบาลประยุทธ์ 2 จะไม่มีช่วง “ฮันนีมูนพีเรียด” ที่จะได้ดื่มด่ำน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยเพราะบรรยากาศช่วงนี้ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” ไม่น้อย ทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ถูกผลกระทบจากระดับเวิลด์ไวลด์ที่ชะลอตัวอย่างจัง แล้วยังมีปัญหาภายในทั้งภัยแล้ง-ราคาพืชผลตกต่ำ รอให้แก้อีกเพียบ

งานนี้ทำให้ “ลุงตู่” ต้องลุยขันนอต สั่งบู๊งานกันตั้งแต่วินาทีแรก จัดแจงแบ่งงานภายใน ครม.โชะเชะเสร็จสรรพเพื่อที่จะได้ “อยู่ยาว” โดยไล่เรียงในส่วนของ 5 รองนายกฯให้เห็นภาพ ดังนี้

เริ่มกันที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เบอร์ 1 ที่ว่ากันว่าถูกลดบทบาท ก็ยังงานเต็มมือ ดูแลถึง 4 กระทรวง ตั้งแต่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน รวมไปถึง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, สำนักข่าวกรองแห่งชาติ, สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)

ถัดมา “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ดูแล กระทรวงการคลัง, กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหน่วยงานอื่นๆ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ), บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และองค์การมหาชนหลายแห่ง

ขณะที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ดูแล กระทรวงยุติธรรม ยกเว้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ “นายกฯตู่” หยิบไปกำกับด้วยตัวเอง, กระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงศึกษาธิการ, กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.), สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.), สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

ส่วน 2 รองนายกฯ จากพรรคร่วมรัฐบาล ก็ดูแลในส่วนของโควตาต้นสังกัด “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ดูแลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เช่นเดียวกับ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ที่ดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กระทรวงคมนาคม และ กระทรวงสาธารณสุข พ่วงด้วยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)

พูดได้ว่า การแบ่งงานให้แก่รองนายกฯ ที่ผ่านมติที่ประชุม ครม.ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 นั้น ถือว่าแปลกตาไปจากสมัยเป็น “นายกฯ คสช.” พอสมควร

 ลดภาระ “พี่ป้อม” อัพพาวเวอร์ “เฮียกวง”
อย่างไรก็ดี ในส่วนของ “ลุงป้อม” ที่อาจจะพูดว่าเป็น “รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง” ได้ไม่เต็มปาก หรือ “เฮียกวง” ที่ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจเป็นหลัก ก็ขาดหายกระทรวงสำคัญอย่างกระทรวงพาณิชย์-กระทรวงคมนาคม-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลไป กระทั่ง “อาจารย์วิษณุ” เองก็ต้องคร่อมขามาดูแลกระทรวงด้านสังคมมากขึ้นกว่าเดิม

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ด้วยว่า “นายกฯตู่” ไม่เพียงแต่สยายปีกมาเป็น รมว.กลาโหม เพิ่มแบ่งเบาภาระ “พี่ป้อม” เท่านั้น ยังมีในส่วนของหน่วยงานอื่นที่ปรับเป็น “หน่วยขึ้นตรงนายกฯ” กลายๆ ทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตลอดจนการปัดฝุ่น “ครม.เศรษฐกิจ” ซึ่งมีชื่อ “ประยุทธ์” เป็นหัวหน้าทีมด้วยตัวเอง

จริงอยู่นายกฯในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาล” ย่อมมีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน และกำกับดูแลทุกหน่วยงานอยู่แล้ว แต่ “ตามปกติ” ก็จะมอบหมายให้รองนายกฯหรือรัฐมนตรีเป็นผู้กลั่นกรองให้ก่อนชั้นหนึ่ง เพราะส่วนตัวนายกฯ เองก็มี “หน่วยขึ้นตรง” ที่ต้องดูแลอยู่ไม่น้อยแล้ว
ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
แต่การที่ “นายกฯตู่” จำต้องรับภาระมากกว่าเดิม ก็คงหนีไม่พ้นการกระชับอำนาจให้ “เบ็ดเสร็จ” รวมไปถึงการแสดง “ภาวะผู้นำ” มากขึ้นไปในตัว

ในส่วนของ “งานด้านความมั่นคง” นั้น เข้าใจได้ว่าด้วยวัยที่โรยรา-สุขภาพที่เสื่อมทรุดของ “พี่ป้อม” คีย์แมนสำคัญของรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ จึงจำเป็นที่ “น้องตู่” ต้องแบ่งเบางานมาดูแลเองมากขึ้น

อีกทั้งที่ผ่านมามีเสียงค่อนขอดไม่น้อยว่า “รัฐบาลทหาร” จ้องที่จะปฏิรูปองค์กรอื่น แต่ไม่สนใจที่จะรับลูกการปฏิรูปกองทัพอย่างที่มีหลายฝ่ายนำเสนอ การที่ “นายกฯตู่” มากำกับทั้งกระทรวงกลาโหม พ่วงด้วย สตช.นั้นก็เพื่อที่จะขับเคลื่อนการ “ปฏิรูปกองทัพ - ปฏิรูปตำรวจ” ด้วยตัวเอง

สำหรับตัว “ลุงป้อม” เองนั้น เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากำลังเขยิบไปเป็น “พี่ใหญ่” สยบแรงกระเพื่อมภายในพรรคพลังประชารัฐเองที่เต็มไปด้วย “กลุ่มก๊วนต่างๆ” ตามบทบาทที่ถนัด เพื่อคุมเกมการเมืองในสภาฯที่ตกอยู่ในภาวะ “เสียงปริ่มน้ำ” อย่างเต็มตัวในไม่ช้า ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญและน่าจับตาไม่น้อย

ขณะที่ “งานด้านเศรษฐกิจ” นั้นมีเหตุผลที่ต่างออกไป การที่ “นายกฯประยุทธ์” เลือกที่จะเป็นหัวหน้า ครม.เศรษฐกิจเองนั้น หาใช่การลดบทบาท “อาจารย์สมคิด” อย่างที่มีผู้คิดไปไกล เห็นได้ชัดเจนจากบทบาทการชี้แจงประเด็นทางด้านเศรษฐกิจในระหว่างการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ซึ่ง “เฮียกวง” ก็ยังโชว์ฟอร์ม “กูรูเศรษฐกิจ” ได้หมดจดสมราคา

เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่า พันธกิจสำคัญบนโค้งแรกของ “ครม.เรือเหล็ก” หนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง พร้อมกับการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน การฟื้น “ครม.เศรษฐกิจ” และมีชื่อ “ผู้นำรัฐบาล” เป็นหัวหน้าทีมด้วยตัวเอง ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงกับการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจในทุกระดับ

โดยรูปแบบการทำงานของ ครม.เศรษฐกิจ นั้นจะมีการนัดประชุม “วงเล็ก” เฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ในทุกวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองนโยบายหรือโครงการต่างๆที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันถัดไป เพื่อความสะดวกในการอนุมัติเป็นมติ ครม.ออกมา โดยไม่ต้องเริ่มค้นพิจารณารายละเอียดกันใหม่ทั้งหมด

สำหรับ ครม.เศรษฐกิจ ชุดใหม่นี้ จะมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 5 สิงหาคม 2562 ซึ่งมีการเตรียมมาตรการทางเศรษฐกิจระยะสั้นเข้าพิจารณาหลายเรื่อง โดยเฉพาะการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนที่มีรายได้น้อย ทั้งเรื่องของค่าไฟฟ้า หรือค่าแก็ส เป็นต้น รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรด้วย

หากแต่เป็นการช่วยให้รองนายกฯด้านเศรษฐกิจสามารถบูรณาการทุกกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกันได้ง่ายขึ้น ในส่วนของกระทรวงการคลัง ที่มี อุตตม สาวนายน เป็น รมว.คลัง กระทรวงพลังงาน ที่มี สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็น รมว.พลังงาน หรือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มี สุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการนั้น ไม่มีปัญหา

เพราะ 3 กระทรวงดังกล่าวที่อยู่ในการกำกับของ “ทีมสี่กุมาร” แห่งพรรคพลังประชารัฐ หรือกระทั่ง กระทรวงอุตสาหกรรม ที่มี “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น รมว. ก็ถือเป็นเนื้อเดียวกัน รู้มือกัน พูดจาภาษาเดียวกันอยู่แล้ว

แต่เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่าง “ทีมเศรษฐกิจ” กับกระทรวงคมนาคม-กระทรวงพาณิชย์-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ไปอยู่ในโควตาของพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่า พูดง่ายๆ คือใช้ข้อสั่งการในวง ครม.เศรษฐกิจ เพื่อส่งไม้ให้ “เฮียกวง” ไปกำกับดูแล 3 กระทรวงเกรดเอของพรรคร่วมฯอีกที

ในแง่นี้อาจมองได้ว่าเป็นการกระชับอำนาจของ “ลุงตู่” เพื่ออัพพาวเวอร์ให้ “เฮียกวง” อีกทอดนั่นเอง

 จับตา“ก๊วนลูกกรอก-กุนซืออวดเก่ง”
ระวังจะถ่วงเรือเหล็กลุงตู่??
ในขณะที่ทิศทางและขับเคลื่อนการทำงานของ “รัฐบาลตู่ 2” กำลังใส่เกียร์ 5 เดินหน้าเต็มสูบ ก็ต้องไม่ลืม “พะวงหลัง” ด้วยส่วนประสมของรัฐบาลต่างจากการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จสมัยรัฐบาล คสช. ด้วยมีการเปิดพื้นที่ให้ “นักการเมือง - นักเลือกตั้ง” เข้ามาทั้งใน ครม. หรือการทำงานผ่านสภาผู้แทนราษฎร

ฝ่ายค้านคงล้มรัฐบาลไม่ได้ง่าย แต่รัฐบาลอาจจะล้มเอง หากเกิดจาก “สนิมเนื้อใน”

ปัญหา “เสียงปริ่มน้ำ” ก็ดูเหมือนยังแก้ไม่ตก เริ่มมีการ “ลองของ” จากพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่พร้อมใจกันไม่ลงชื่อเข้าประชุม และตั้งท่าจะขอตรวจสอบองค์ประชุมเมื่อการประชุมเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)
สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม
แม้องค์ประชุมจะครบตามข้อบังคับแล้ว แต่ “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ก็ใช้ “ลูกเก๋า” สั่งพักการประชุมทันทีหลังเข้าสู่วาระการประชุมทันที เพื่อป้องกัน “อุบัติเหตุ” หากต้องมีการโหวตในเรื่องสำคัญ

นอกเหนือการลดแรงกระเพื่อมภายในพรรคพลังประชารัฐ หลัง “บิ๊กป้อม” เข้าไปสมัครสมาชิกพรรค และเตรียมใช้ตำแหน่งห้อยท้ายดูแลพรรคเต็มตัวแล้ว ยังคู่ขนานด้วย “เกมดูด” ฝ่ายตรงข้ามไปด้วย อย่างรายของ “เสี่ยลาว” พรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีต รมช.ศึกษาธิการ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่แม้ไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ก็เตรียมตบรางวัลให้มีเก้าอี้ในฝ่ายบริหาร ทำให้ “งูเห่า” ที่อำพรางตัวอยู่หวั่นไหวไม่มากก็น้อย

ตามต่อด้วย นายปรพล อดิเรกสาร อดีต ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชาชน ที่เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร. “เต็มตัว” เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังก่อนหน้านี้ได้ชิมลางนั่งเป็นอนุกรรมการศึกษาและประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคงของ “ลุงป้อม”

ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้ว่า เป้าหมายสำคัญของพรรคพลังประชารัฐก็คือ การเดินหน้าเป็น“สถาบันทางการเมือง” มิใช่ “พรรคเฉพาะกิจ” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหวังผลการเลือกตั้งเฉพาะหน้า ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็พอจะมองเห็นพัฒนาการที่ดำเนินไปได้ด้วยดี

ขณะเดียวกันในรูปแบบ “รัฐบาลผสม” ที่มีถึง 19 พรรคการเมืองเองก็ยังต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกัน การแบ่งสรรตำแหน่งแห่งที่ ทั้งข้าราชการการเมือง หรือประธานกรรมาธิการในสภาฯ ก็ต้อง “แบ่งเค้ก” ให้แฮปปี้กันถ้วนหน้า

ใน ครม.เองก็น่าห่วงไม่น้อย ในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น เพราะมี “นักเลือกตั้ง” ระดับ “เสือ-สิงห์-กระทิง-แรด” อยู่ไม่น้อย ถึงขั้นที่ว่า “นายกฯตู่” ต้องกำชับตั้งแต่การประชุม ครม.ครั้งแรก ภายหลังการร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณว่า อย่าให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น เพราะจะกลายเป็นแผลที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโดดเข้ามาขย้ำ และยังเป็นข้ออ้างให้ฝ่ายเดียวกันตีรวนได้

ขณะเดียวกันก็มีประเภท “ตัวถ่วง” แฝงตัวอยู่บน “เรือเหล็ก” ไม่น้อยเช่นกัน

ด้วยความที่ “รัฐมนตรีป้ายแดง” ที่ขึ้นชั้นเสนาบดีครั้งแรก ที่มีมากกว่า 10 รายด้วยกัน หลายคนบ่มเพาะความเขี้ยวทางการเมืองมาพอสมควร หลายคนก็ “มือใหม่หัดขับ” แต่ยังดีมีพี่เลี้ยงดูแลใกล้ชิด

ที่น่าห่วงสุดๆ คงเป็นประเภท “มือไม่ถึง” โดยเฉพาะในรายของ “อดีตทหารเสือ กปปส.” หรือ “ก๊วนไฮโซการเมือง” ที่สถาปนาตัวเองมาเป็น “กลุ่มลูกกรอกพลังประชารัฐ” ส้มหล่นจากผลงานแชมป์ ส.ส.เมืองกรุง จนได้โควตา 2 ที่นั่งรัฐมนตรีว่าการ

หนึ่งคือ พี่ใหญ่ “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

อีกหนึ่งคือ พี่รอง “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

แม้ชื่อทั้งคู่อาจคุ้นติดหู หน้าตาติดตลาด แต่ไม่เคยผ่านงานรัฐมนตรีมาก่อน ในทางการเมืองถือว่า “พรรษาไม่ถึง” โดยที่ผ่านมาตั้งตัวเป็น “กุนซือใหญ่พลังประชารัฐ” แสดงพาวเวอร์จนพรรคปั่นป่วนมาหลายหน ตั้งแต่สมัยแย่งเอาปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ต้น รวมไปทั้งช่วงชิงกระทรวงขุมทรัพย์ กับ “กลุ่มสามมิตร”

จนพรรคเกือบแตก ดีที่ “ผู้ใหญ่” ลงมาหย่าศึกทัน

หลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีก็ยิ่งคึกคัก ในรายของ “เสี่ยตั้น” เม้าท์กันให้แซ่ด “กระทรวงเสมา” พลันเข้ากระทรวง เต๊ะท่าเป็นเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์สุดหรู แถมหลังบ้านก็เครือข่ายโรงเรียนดัง เรียกข้าราชการมาบรีฟ เม้าท์กัน “กระทรวงเสมา” ว่าไม่ทันเกมข้าราชการ ถูกจูงจมูกไปซ้ายที-ขวาที จนทีมงานฟังแล้วก็ส่ายหัว

ขณะที่ “เสี่ยบี” เข้างานปุ๊บ ก็ “เรียกแขก” ปั๊บ เห็น “บิ๊กรัฐบาล” ไม่ค่อยพอใจงานด้านการข่าว ที่มีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์สร้างข่าวโจมตีรัฐบาลไม่เลิก ก็เลยประกาศเปรี้ยงวันให้นโยบาย จะตั้งจัดตั้งศูนย์เฟกนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) ภายใน 3 เดือน เพื่อคอยตอบโต้ข่าวสารออนไลน์

ผู้ใหญ่ฟังแล้วก็ร้องจ๊าก ภารกิจกระทรวงดีอีกว้างขวางครอบคลุมหลายเรื่อง ทั้งเศรษฐกิจ-สังคม-ความมั่นคง แต่ “เจ้ากระทรวง” คิดได้แค่ “กระพี้”

เด็กนักเรียนฟังก็สับสน Fake News Center ที่แปลตรงตัวตามไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ กลายเป็น “ศูนย์สร้างข่าวปลอม” สรุปรัฐบาลจะสร้างข่าวปลอมเสียเองหรือนี่กระไร?

นี่ถ้า 2 รัฐมนตรีหญ่ายยย ไม่รีบทำการบ้านปรับตัว เกรงจะเจ๊งก่อนเวลาอันสมควร

ที่ลืมไม่ได้ น้องเล็กอย่าง “เสี่ยจั้ม” สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)คนปัจจุบัน ก็ฝันไกลหวังเป็นแคนดิเดตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรคพลังประชารัฐ ฝากฝัง “พี่ตั้น-พี่บี” ไปเชียร์ให้ถึง “บิ๊กตึกไทยคู่ฟ้า” แล้วถ้า “ผู้ใหญ่” เห็นดีด้วยขึ้นมา ก็คงสนุกสนานไม่น้อย

แต่แหม....ดูเหมือนว่า “กลุ่มไฮโซการเมือง” กลุ่มนี้จะคิดไกลเกินตัวไปหน่อย เพราะว่ากันตามตรงจะเอาอะไรไปสู้กับ “เสี่ยทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม คนดังจากฝั่งเพื่อไทยได้

เห็นกันชัดๆ ว่า “กระดูกคนละเบอร์” นะพ่อคุณ

แล้วก็ลือกันสนั่นอีกว่า เหตุที่ “ผู้ว่าฯหนึ่ง-ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” มีอันต้องสะดุดในสนาม กทม.ก็เพราะมี “ผู้ไม่ประสงค์ดี” เตะตัดขาตั้งแต่ไก่โห่ จนทำให้แผนการใหญ่ของพรรคเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างน่าเสียดาย...

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ 3 ศรีพี่น้อง “ตั้น - บี - จั้ม” ศิษย์ก้นกุฏิ “กำนันเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.นั้น “กลุ่มลูกกรอก” ยังมีกุนซือคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง นามว่า “เสี่ยต้อย” สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้บริหารสื่อใหญ่ นับรวมอยู่ด้วย

ว่ากันว่า ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง “เสี่ยต้อย” ไปรับจ็อบเป็น “กุนซือการเมือง” ให้กับ “พี่ใหญ่” วิเคราะห์สถานการณ์เสียงดังโช้งเช้ง ใครฟังก็พยักหน้างึกๆ เผอิญผลเลือกตั้งออกมาทิศทางเดียวกับที่ “เสี่ยต้อย” เอาไปโชว์ โดยเฉพาะใน กทม. คว้าได้ 12 ที่นั่ง จากเป้า 15 ที่นั่ง เครดิตพวยพุ่งไปใหญ่

หลังเลือกตั้งเวลา “ก๊วนลูกกรอก” ไม่พอใจคนในพรรคก็จะมี “ปฏิบัติการไอโอ” ใส่สีตีไข่สารพัด โดยไม่สนว่าภาพลักษณ์พรรคจะเละเทะหรือเสียหายแค่ไหน

แนบแน่นใกล้ชิดถึงขนาด “เสี่ยบี” เสนอชื่อ “เสี่ยต้อย” เป็น “โทรโข่งรัฐบาล” ดีที่มีคนเบรกไว้ซะก่อน
แล้วเห็นว่าช่วงนี้ยังเข้านอกออกใน“บ้านพี่ใหญ่” ทำตัวเป็น “กูรู - กูรู้” ต่อเนื่อง เสมือนหนึ่งเป็น “เลขานุการ” หรือ “ที่ปรึกษาส่วนตัว” กันเลยทีเดียว

เมื่อ “ความจริง” เป็นเช่นนี้ “ลุงตู่” จึงจำต้อง “บาลานซ์อำนาจ” ด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้ก๊วนลูกกรอก “คะนองฤทธิ์” มากไปกว่านี้ รวมทั้งต้อง “ฟังความให้รอบด้าน” เพราะเห็นแล้วว่าอาจทำให้ “เรือเหล็ก” ไม่สามารถแล่นฉิวไปสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพได้


กำลังโหลดความคิดเห็น