xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

THE GREAT HACK ทำไม “บิ๊กแดง” ถึงอยากให้ชม? ทำไมคนใช้ Facebook ต้องดู?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

 โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง  The Great Hack (บน) | Mark Zuckerberg ขณะให้การเรื่องคดีอื้อฉาว Cambridge Analytica (ล่าง)
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้เมื่อคนอย่าง “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก ให้ความสนใจภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Great Hack กระทั่งสังคมเกิดความสงสัยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาเป็นอย่างไร และทำไม “บิ๊กแดง” ถึงอยากให้ชม

แหล่งข่าวใกล้ชิด “บิ๊กแดง” ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะ The Great Hack มีความใกล้เคียงกับการเมืองไทย รวมทั้งปล่อยข้อมูลออกมาอีกต่างหากว่า บิ๊กแดงให้ความสนใจความคิดทางสังคม และการเมืองของเยาวชน ต่อกระแสนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ โดยเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะรับและซึมซับข้อมูลเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว และพรรคการเมืองจะใช้ประโยชน์ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นบทเรียนที่ควรศึกษา เพราะโซเชียลเป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งง่าย

นั่นคือมุมคิดของ “บิ๊กแดง”

แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็คือไม่ใช่แค่ “บิ๊กแดง” เท่านั้นที่สนใจ แต่ The Great Hack ถือเป็นภาพยนตร์สารคดีที่คนทั้งโลกควรให้ความสนใจและไม่ควรพลาดในการรับชม โดยเฉพาะคนที่โลดแล่นอยู่ใน “โซเชียลมีเดีย” ทุก “แพลตฟอร์ม” ที่มีทุกวันนี้

The Great Hack นั้นเป็นภาพยนตร์สารคดีซึ่งสร้างจาก “เรื่องจริง” ที่ว่าด้วยการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลจากโซเชียลมีเดียซึ่งก็คือ Facebook ของ บริษัท Cambridge Analytica (CA) และหาประโยชน์จากข้อมูลให้ฝ่ายการเมืองช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016

ทั้งนี้ “ตัวละครสำคัญ” ของภาพยนตร์เรื่องนี้อันนำไปสู่คดีอื้อฉาวที่รู้จักกันในชื่อ “คดี Cambridge Analytica” มี 2 ส่วนด้วยกันคือ

หนึ่ง- บริษัท Cambridge Analytica (CA) ซึ่งนำข้อมูลจากเฟซบุ๊กไปใช้เพื่อกลยุทธ์การเมือง และการหาเสียงเลือกตั้ง กระทั่งกลายเป็นเรื่องราวฟ้องร้องและในที่สุด “คณะกรรมการการค้ายุติธรรมหรือ Federal Trade Commission” ก็มีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้เฟซบุ๊กต้องจ่ายเงิน “ค่าปรับ” ราว 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 150,000 ล้านบาท ด้วยข้อหา “ปล่อยให้ข้อมูลผู้ใช้กว่า 50 ล้านคนถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต”

ถือเป็นค่าปรับที่มากสุดเป็นประวัติศาสตร์ในคดีเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล

ขณะที่หลังจากคดีความสิ้นสุดลง บริษัทเจ้าปัญหาคือ Cambridge Analytica พร้อมบริษัทแม่ SCL Elections Ltd ได้ประกาศปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทางบริษัทจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมายล้มละลาย

และสอง-มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก(Mark ZuckerbergX เจ้าพ่อเฟซบุ๊กคนดัง ซึ่งหลังมีการเผยแพร่ข้อเท็จจริงออกมาก็เกิดกระแสต่อต้านทั่วโลก ถึงขนาดมีการเคลื่อนไหวสร้าง แฮชแท็ก #deleteFacebook กันเลยทีเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิกิริยาจากบุคคลสำคัญในโลกไอทีอย่าง “สตีฟ วอซเนียก” อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ที่ออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยพร้อมประกาศลบบัญชีเฟซบุ๊ก รวมถึง“ทิม คุก” ซีอีโอของ Apple ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกัน โดยระบุว่า Apple สามารถทำเงินมหาศาลจากการใช้ข้อมูลของลูกค้าเช่นกัน แต่พวกเขาเลือกจะไม่ทำแบบนั้น เพราะไม่ได้มองลูกค้าเป็นสินค้าเหมือนอย่างที่ Facebook กำลังทำอยู่

ขณะที่ Mozilla ก็ออกมาประกาศลบโฆษณาจาก Facebook หลังจากไม่พอใจกฎเกณฑ์การเข้าถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ รวมถึง Brian Acton ผู้ก่อตั้ง WhatsApp ก็ออกมาสนับสนุนให้ผู้ใช้เลิกเล่น Facebook เช่นกัน

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของคดีดังกล่าวมาจากแอพพลิเคชั่น(Application) ทำนายบุคลิกภาพชื่อว่า “thisisyourdigitallife” ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Aleksandr Kogan นักวิชาการในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประเทศอังกฤษ และในเวลาต่อมา Kogan ได้ขายข้อมูลเหล่านั้นไปให้กับบริษัท Cambridge Analytica (CA) ซึ่งเคยเป็นบริษัทวิจัยด้านข้อมูล รวมถึงบริษัทอื่น เช่น Strategic Communication Laboratories (SCL) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CA

คดีอื้อฉาวเริ่มขยายวงกว้างออกไปเมื่อ CA ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคมเปญหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อช่วงปี 2016

Christopher Wylie อดีตผู้ช่วยเก็บข้อมูลของ CA ผู้ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้กับสื่อมวลชนเคยพูดว่า “เราใช้ประโยชน์จากเฟซบุ๊กเพื่อรวบรวมรายละเอียดของผู้คนนับล้าน และสร้างแบบจำลองเพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพวกเขาและกำหนดเป้าหมายให้พวกเขา นั่นคือพื้นฐานที่บริษัทถูกสร้างขึ้นมา”

จากนั้นเฟซบุ๊กเองออกมาประกาศในเวลาต่อมาว่า ได้แบน CA และ SCL ไปแล้วเพราะทำผิดข้อตกลงเรื่องการลบข้อมูล รวมถึงการวิจารณ์บทบาทของ Kogan ที่นำข้อมูลจากเฟซบุ๊กไปให้กับบริษัทอื่น

และในที่สุด Federal Trade Commission (FTC) หรือคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐก็ได้เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด ขณะที่ซีอีโออย่าง มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ก็ถูกเชิญเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภา

“เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ มันเป็นความผิดพลาดของผม และผมขอโทษ” ซัคเคอร์เบิร์ก ระบุและว่า “เป็นที่ชัดเจนตอนนี้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรมากพอในการป้องกันไม่ให้เครื่องมือเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด”

นั่นคือ “เหตุการณ์จริง” ที่เกิดขึ้นของเฟซบุ๊กและบริษัท Cambridge Analytica (CA)

สำหรับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Great Hack นั้น เป็นสารคดีที่พาไปสัมผัสคดีอื้อฉาว นั่นก็คือ คดี Cambridge Analytica ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยออกฉายครั้งแรกใน เทศกาลหนังซันแดนซ์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่ Netflix 0tนำมาบรรจุไว้ในแพลตฟอร์มของพวกเขาให้ได้รับชมทั่วโลกเมื่อวันที่ 24 ก.ค.

“ร่องรอยทางดิจิทัลของพวกเรา กำลังถูกเอามาทำให้เป็นอุตสาหกรรมมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ ตอนนี้พวกเขาขายสินค้า แต่พวกเราก็ยังหลงรักของขวัญการเชื่อมต่อฟรีๆ นี้ ที่ไม่มีใครมาเสียเวลาอ่านข้อตกลงและเงื่อนไข”

นั่นคือ ช่วงหนึ่งของข้อความที่ The Great Hack หยิบยกมานำเสนอให้ฉุกคิดและสะท้อนข้อเท็จจริงในช่วงต้นของภาพยนตร์ เพื่อชวนผู้คนให้ตั้งคำถามและตระหนักคิดว่า ชีวิตในโลกโซเชียลมีเดียในแต่ละวันนั้นอาจจะตกอยู่ใต้อิทธิพลของ “ข้อมูล” ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อ กระทั่งอาจรวมไปถึงพฤติกรรมในทางการเมือง

สารคดีเล่าผ่านมุมของทั้งอดีตคนที่เคยทำงานใน Cambridge Analytica ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่บริษัทเคยทำ โดยเฉพาะวิธีการรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของคนใช้เฟซบุ๊ก และวิธีนำมันไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ด้วยการส่งคอนเทนต์ต่างๆ ไปให้ถึงเป้าหมายที่ถูกโน้มน้าวได้ง่าย

นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมคดีนี้ถึงมีความสำคัญ เพราะภาพยนตร์ทำให้เห็นว่า ข้อมูลที่เราเผยแพร่เอาไว้ในโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะเฟซบุ๊ก ไม่ได้นอนอย่างนิ่งเฉยหรือหยุดอยู่กับที่ หากแต่ถูกส่งต่อไปยังบริษัทอื่นๆ ที่พร้อมจะซื้อข้อมูลเหล่านั้น เพื่อส่งเนื้อหาอะไรบางอย่างกลับมาเพื่อหวังผลตามที่พวกเขาต้องการ

ทั้งนี้ บุคคลที่บทบาทสำคัญก็คือ เดวิด คาร์โรล นักวิชาการที่ฟ้องร้อง Cambridge Analytica ให้เปิดเผยออกมาว่า รู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาในเรื่องอะไร และนำไปใช้ในวิธีการไหนบ้าง โดยภาพยนตร์ได้เล่าถึงเส้นทางและเหตุผลในการฟ้องร้องของคาร์โรลตั้งแต่ช่วงต้น

กล่าวสำหรับ Cambridge Analytica คือบริษัทวิจัยข้อมูลที่ตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวางกลยุทธ์การสื่อสารแคมเปญการเมืองช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งลูกค้ารายสำคัญก็อย่างเช่น เท็ด ครูซ(Ted Cruz) , โดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้ยังไปเกี่ยวกับแคมเปญเพื่อการถอนตัวของสหราชอาณาจักรจาก EU หรือ Brexit ด้วย

ส่วนบริษัทแม่คือ Strategic Communication Laboratories (SCL) ในอดีต เคยอยู่เบื้องหลังการสื่อสารทางทหารในช่วงสงครามด้วย โดยใช้ชื่อว่า SCL Defense และใช้วิธีโน้มน้าวพฤติกรรมของฝ่ายศัตรู เช่น สื่อสารให้เยาวชนในอิรักว่าไม่ควรเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองหลายประเทศ เช่น ไนจีเรีย บราซิล อินเดีย รวมถึงประเทศไทยช่วงปี 1997 ด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น