ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่นึกว่ารางวัลแด่ “นั่งร้านชั้นดี” ยี่ห้อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) จะต้องมาลุ้นระทึกในช่วงบั้นปลายของชีวิต เมื่อถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด “คดีก่อสร้างโรงพัก” หลังจากยื้อกันมานานนับสิบปี
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวมีรายชื่อผู้ถูกกล่าวหา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่หนึ่ง กล่าวหานายสุเทพ กับพวกว่า กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ในการก่อสร้างโรงพัก จำนวน 396 แห่ง วงเงิน 5,848 ล้านบาท โดยมีการยกเลิกแนวทางการจัดจ้างแบบแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค และอนุมัติให้รวมสัญญาก่อสร้างเป็นสัญญาเดียว อันเป็นการกีดกัน และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เสนอราคารายใดรายหนึ่ง
และกลุ่มที่สอง กล่าวหา พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) และคณะกรรมการตรวจการจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่พักสถานีตำรวจทดแทน จำนวน 396 แห่ง ของตำรวจภูธรภาค 1-9 และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ กับพวก
ขั้นตอนหลังการชี้มูลความผิดนายสุเทพ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะตรวจสำนวนเพื่อส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุด โดยนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.ได้อธิบายขั้นตอนการยื่นเรื่องให้อัยการว่า เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดผู้ใด จะต้องส่งให้อัยการภายใน 30 วัน หากเป็นคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อัยการจะต้องส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ภายใน 180 วัน แต่ถ้าอัยการ เห็นว่า สำนวนยังไม่สมบูรณ์ ต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช.ภายใน 90 วัน เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมกัน ส่วนนักการเมืองที่ถูกชี้มูลความผิด จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ต้องรอให้ศาลมีคำสั่งรับเรื่องไว้ก่อน
ตอนนี้เท่ากับว่า “ลุงกำนัน” ถูกจับขึ้นเขียงเอามีดพาดคอไว้แล้ว เป็นคดีที่นายสุเทพ เคยประกาศลั่น “เดิมพันด้วยชีวิต” ชี้เป็นชี้ตายถึงอนาคตทางการเมือง ซึ่งรูปการณ์ออกมาประมาณนี้คงพอเห็นเค้าลางแล้วว่าจะมีจุดจบเช่นใด หลังจากเรื่องราวอื้อฉาวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้น นายสุเทพ นั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สตช.
คงจำกันได้เมื่อประมาณเดือนส.ค. 2561 หลังจากที่อนุคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือจะพูดให้ถูกก็คือ “ป.ป.ช.ชุดใหญ่” ที่มี “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. พร้อมบอร์ด ป.ป.ช.เต็มคณะ ลงมติแจ้งข้อกล่าวหานายสุเทพ ในคดีดังกล่าว ตอนนั้น ก็ทำเอานายสุเทพ ของขึ้น โผล่หน้าไลฟ์สดแก้ต่างแก้ตัวร่วมสัปดาห์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตัวเอง แถมยังท้าทายให้ ป.ป.ช. รีบสรุปสำนวนและส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปเลย ไม่ต้องมาดองเค็มให้เสียเวลา ลีลาดุดันดุเดือดสาดใส่ ป.ป.ช.ถึงขนาดชี้หน้าว่า “แกล้งโง่” ด้วยมองว่าถูกดำเนินคดีช่วงนี้ เป็นปฏิบัติการ “เตะตัดขา” ในเวลาที่กำลังก่อตั้งพรรค รปช. นั่นเอง
ขณะที่ก่อนหน้า เมื่อช่วงต้นปี 2560 นายสุเทพ ซึ่งดูเหมือนจะมีราคาทางการเมืองอยู่เยอะได้โชว์พาวทำหนังสือขอให้ปลดนายวิชา มหาคุณ อดีต ป.ป.ช. ออกจากอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้ ทำให้ที่ประชุม ป.ป.ช. ลงมติยกเลิก อนุกรรมการไต่สวนชุดของนายวิชา และใช้ “ป.ป.ช.ชุดใหญ่เต็มคณะ” เป็นอนุกรรมการผู้ไต่สวนแทน
อาการของขึ้นและท้าให้ส่งฟ้องศาลฎีกาฯ ไปเลยของนายสุเทพ มีผลตามคำเรียกร้องแล้วในเวลานี้ และไม่แน่ว่าจะถูกจัดเต็มระดับไหนด้วยมวลชนหนุนหลังบางเบาแทบไม่เหลือ ความเกรงใจจากผู้มีอำนาจนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่กระนั้นสไตล์คนเคยใหญ่ย่อมมีชั้นเชิงในเกมการต่อสู้ ทั้งทำเย่อหยิ่ง ทั้งขู่ ทั้งขอ มีมาครบ โดยนายสุเทพ ให้สัมภาษณ์สื่อว่าขอให้ได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช.ให้ชัดก่อน เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลมาก็เป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรม
“ก็ได้แต่ปลง เพราะว่าก่อนหน้านี้มีคนพยายามให้ตนไปกราบไหว้วิงวอนจากใครบางคน ผมก็มาคิดว่าผมทำงานการเมืองมาตลอดเวลา ก็มีศักดิ์ศรี ผมไม่ใช่สุนัข เพราะฉะนั้นผมตั้งใจอย่างเดียวว่า ถ้าเพื่อประชาชนแล้วจะให้ผมทำอะไรก็ทำได้แต่ว่าจะไปขอความเมตตาจากคนที่คิดว่ามีอำนาจ ผมไม่ทำ แต่ผมเลือกที่จะพิสูจน์ศักดิ์ศรีด้วยการนำความจริงทั้งหมดไปสู้คดีในศาลฎีกาฯ จะไม่หลบหนีไปไหน เตรียมตัวที่จะสู้คดี ....”นายสุเทพ กล่าว
“ความจริงของนายสุเทพ” ในคดีนี้ที่บอกกล่าวผ่านเนื้อใน “หนังสือคำให้การพระสุเทพ” ที่ชี้แจงกับ ป.ป.ช. และไลฟ์สดที่ผ่านมา ไม่ต่างจาก “แผ่นเสียงตกร่อง” เล่นวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่ลำดับขั้นตอนการเสนอโครงการที่ชงมาจาก สตช. ในฐานะเจ้าของเรื่อง และออกตัวว่าในฐานะฝ่ายบริหารก็อนุมัติตามที่เสนอมา “การอนุมัติ การจัดซื้อจัดจ้าง การเปลี่ยนแปลงวิธีการประมูล และการทำสัญญา ทำถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการก่อสร้างว่าจะเสร็จหรือไม่เสร็จ” นายสุเทพ อธิบายหรือแก้ตัวไว้เช่นนี้
ความน่าอเนจอนาถของคดีก่อสร้างโรงพักฉาว ไม่ว่านายสุเทพจะแก้ต่างอย่างไรก็ตาม แต่สภาพความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากนายสุเทพอนุมัติโครงการไม่นานก็เกิดปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงาน สร้างไม่เสร็จ ที่หนักหนากว่านั้นบางแห่งยังไม่ได้ลงมือสร้างแต่ดันทุบโรงพักหลังเก่าทิ้งเพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้าง บางแห่งมีเสาเข็มโด่เด่แค่ต้นเดียว ต้องไปขอใช้สถานที่ราชการอื่นทำงานหรือต้องกางเต็นท์เป็นสำนักงานชั่วคราวก็มี บางที่ก็หันหน้าเข้าวัดขอใช้ “ศาลาการเปรียญ-ศาลเจ้า” เป็นออฟฟิศชั่วคราว เป็นสภาพที่น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่งในช่วงนั้น
มากางไทม์ไลน์ “โรงพักฉาว” ที่ผู้เกี่ยวข้องกำลังเผชิญกฎแห่งกรรมกันอีกสักครั้ง
แรกเริ่มโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) เป็นโครงการคู่ขนานกับโครงการก่อสร้างแฟลตที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจ ถูกตั้งขึ้นในปี 2550 สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดย “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้น เป็นผู้ริเริ่มโครงการ และ “ครม.สมชาย” อนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 วงเงินงบประมาณ 17,679 ล้านบาท และให้ สตช. กลับไปทำรายละเอียดขึ้นมาเสนอ ครม.อีกครั้ง และได้ข้อสรุปให้สร้างโรงพักใหม่ 396 แห่ง ตั้งงบไว้ 6,672 ล้านบาท และแฟลตตำรวจ 163 แห่ง งบประมาณ 3,010 ล้านบาท งบผูกพัน 3 ปี เมื่อปี 2552 ถูกบรรจุอยู่ในโครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทั้งนี้ “บิ๊กป๊อด” ได้เสนอแนวทางการดำเนินโครงการออกเป็น 4 แนวทาง ในหนังสือลงวันที่ 29 พ.ค. 2552 โดยแนวทางที่ ครม.มีมติอนุมัติ คือการการแยกสัญญาออกเป็น 9 ภาค ตามรายภาคสายบังคับบัญชาของ สตช. แต่ยังไม่ทันได้ลงนามประกาศจัดซื้อจัดจ้าง “บิ๊กป๊อด” ก็ถูกย้ายออกจากตำแหน่ง
จากนั้น “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เข้ามารักษาราชการแทน ผบ.ตร. ซึ่ง นายสุเทพ อ้างว่า “บิ๊กอ๊อด” เป็นผู้ทำหนังสือลงวันที่ 18 พ.ย. 2552 เสนอขอยกเลิกวิธีการจัดจ้างเดิมให้เปลี่ยนจาก 9 สัญญา เป็น “สัญญาเดียว-บริษัทเดียว” ดำเนินการทั่วประเทศ อ้างว่าเพื่อให้ถูกต้องตามระเบียบงบประมาณ ปี 2553 ซึ่งรองนายกฯสุเทพ เห็นดีด้วยตามข้อเสนอ “รวมศูนย์” และลงนามอนุมัติเมื่อ 20 พ.ย. 2552 โดยไม่ได้นำเข้าที่ประชุม ครม.ทั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาในสาระสำคัญ
แต่กว่าจะประมูลได้ผู้ชนะและลงนามในสัญญา ก็ผ่านมาถึงยุค “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็น ผบ.ตร. ที่ทำหนังสือถึง “สุเทพ” ขอรับความเห็นชอบราคาและขออนุมัติจ้างก่อสร้าง เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2553 หลังเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ตร. อย่างเป็นทางการได้ไม่นาน โดยระบุไปถึงการประมูลเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2553 ที่มีการเคาะราคาแข่งกันหลายสิบครั้ง จนได้ผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ 5,848 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลางราว 540 ล้านบาท เฉพาะในส่วนของโรงพัก 396 แห่ง
จนวันที่ 7 ต.ค. 2553 นายสุเทพ ก็ลงนามตามที่ “บิ๊กน้อย” เสนอขึ้นมา อ้างว่ามีอำนาจให้ความเห็นชอบ โดยไม่ต้องผ่านที่ประชุม ครม. จากนั้นก็เริ่มก่อสร้าง โดยผู้ที่ได้รับงานคือ บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2553 สัญญาเริ่มต้นวันที่ 26 มี.ค. 2554 สิ้นสุดวันที่ 17 มิ.ย. 2555 เวลาการก่อสร้างรวม 450 วัน
ต่อมา เกิดเรื่องแดงขึ้นเมื่อช่วงปี 2555 สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.พรรครักประเทศไทย ขณะนั้น ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแล สตช. แฉสภาพของโรงพักมีแต่เสา สนิมเขรอะ รกร้าง บางโรงพักทุบโรงพักเก่าเพื่อนำพื้นที่มาก่อสร้าง แต่ทำไม่เสร็จ ผู้รับเหมาทิ้งงาน แต่ความเก๋าเกมของ ร.ต.อ.เฉลิม แม้จะถูกตั้งแง่ในการต่อสัญญาที่ดูจะมีข้อครหาแต่ก็ดีดลูกชิ่งไปถึงนายสุเทพ เข้าเต็มเปา หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ต้องมีเรื่องส่งให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ แล้วค้างเติ่งจนมาแจ้งข้อกล่าวหานายสุเทพ เมื่อปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นช่วงบีบคั้นใกล้งานช้างระเบิดศึกเลือกตั้ง เลือกข้าง แยกมิตร แยกศัตรู จับขั้วรวมพวกตั้งพรรค
สัญญาณการแจ้งข้อกล่าวหาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ทำให้นายสุเทพ ขุ่นเคืองผู้มีอำนาจอย่างแรงจนของขึ้นมาแล้ว เมื่อมาถึงขั้นการชี้มูลความผิดในเวลานี้จึงเท่ากับตอกฝาโลง และเห็นเค้าลางชะตาชีวิตว่าจะดำเนินไปอย่างไร รวมถึงต้องจับตาแรงดิ้นเฮือกสุดท้ายของ “ลุงกำนัน” ซึ่งประกาศลั่น “เดิมพันด้วยชีวิต” มาแล้ว.