ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ประเด็นใหญ่ที่สังคมกำลังจับตาเคสพ่อแม่รังแกฉันก็คือ กรณีอุบัติเหตุ “เด็กชายวัย 13 ปี ขี่บิ๊กไบค์ขนาดเครื่องยนต์ 1,000 ซี.ซี.” ด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุเฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์ที่ขับออกมาจากข้างทางตัดหน้า กระทั่ง เสียหลักไปชนเข้ากับรถยนต์ที่สวนทางมา บริเวณถนนเชียงใหม่ - แม่ออน หน้าตลาดศรีอรุณ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึง “ความรับผิดชอบ” ของ “พ่อแม่ผู้ปกครอง” ว่าสมควรที่จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วยหรือไม่
โดยเฉพาะความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก 2546 ในข้อหา ยุยง ส่งเสริม การกระทำผิด เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ด้วยเหตุปล่อยให้ลูกขับขี่ยานพาหนะโดย “ไม่มีใบอนุญาตขับขี่” ซึ่งตามกฎหมายระบุว่าผู้ที่จะสามารถมาทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้ ต้องมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และจำกัดต้องขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ไม่เกิน 110 ซี.ซี. เท่านั้นกรณีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งต้องมีการอบรม สอบข้อเขียน หากสอบผ่านก็จะได้รับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์
ธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) แสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า ตำรวจมีหน้าที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหากับพ่อและแม่ในฐานะผู้ปกครองของเยาวชนรายดังกล่าวเข้าข่ายเป็นผู้ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด โดยต้องรับโทษ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
“อยากให้สังคมตระหนักรู้ว่า การตามใจลูกด้วยการซื้อรถบิ๊กไบค์ให้ขับขี่ทั้งที่เด็กยังไม่มีใบขับขี่ เท่ากับพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด พ่อแม่จึงย่อมสมควรได้รับโทษด้วย เพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนแก่สังคม และจะทำให้กลุ่มพ่อแม่รังแกฉันโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะได้ให้ความระมัดระวังมากขึ้น” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ระบุ
เบื้องต้น ตำรวจ สภ.สันกำแพง เจ้าของคดีได้แจ้ง 4 ข้อหากับเด็กชายวัย 13 ปี ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ-ทรัพย์สินเสียหาย, ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย, ขับขี่รถเร็วเกินกว่า 90 กิโลเมตร เกินกว่ากฎหมายกำหนด และข้อหาขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่
ส่วนการเอาผิดผู้ปกครองตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการสอบปากคำพ่อของเด็กพร้อมกับสอบพยาน รวมถึง สอบปากคำเด็กผ่านสหวิชาชีพ ก่อนจะพิจารณาแจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
ทั้งนี้ นายสุวิทย์ เทพาขันธ์ พ่อของเด็กชายรายดังกล่าวยืนยันว่าก่อนตัดสินใจซื้อบิ๊กไบค์ได้พาลูกชายเข้าเรียนอบรมแล้ว ด้วยความที่ลูกชอบขับขี่มอเตอร์ไซค์ทางครอบครัวจึงสนับสนุนให้เข้าฝึกทักษะส่งเสริมสิ่งที่ชอบ และให้ลงสนามแข่งขัน
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้น หากทางครอบครัวเคร่งครัดวางกติกาให้ลูกขับขี่อยู่ในสนามโดยมีครูฝึกคอยกำกับดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้ออกมาขับขี่บนท้องถนนจนเกิดอุบัติเหตุใหญ่ดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบว่า เด็กชายอายุ 13 ปี อยู่ในทีมแข่งขันรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ และเคยคว้ารางวัลอันดับที่ 3 ในสนามแข่งมาแล้ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการแข่งขันกีฬาแข่งรถจักรยานยนต์ประเภท SuperBikes และ SuperStocks ขนาดพิกัด 750 - 1,000 ซี.ซี. กำหนดอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี สำหรับผู้เข้าร่วมแข่งขันกีฬาแข่งรถจักรยานยนต์ในเกณฑ์อายุ 13 ปี อนุญาตให้แข่งขันได้ในพิกัดไม่เกิน 400 ซี.ซี. เท่านั้น เป็นเกณฑ์มาตรฐานเดียวกับสมาพันธ์รถจักรยานยนต์นานาชาติ (FIM) ด้วยเหตุผลของสรีรศาสตร์ และความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน
ก่อนหน้านี้ กรมการขนส่งทางบกดำเนินการการแก้ไขร่างกฎหมาย กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและอนุญาตขับขี่รถ ผู้ที่ประสงค์จะขี่รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง หรือ “บิ๊กไบค์” ขนาดกำลังเครื่องยนต์เกิน 400 ซีซี ต้องผ่านการอบรมและทดสอบการขับรถโดยเฉพาะ และอยู่ระหว่างเตรียมประกาศเป็นกฎหมายโดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2562
สำหรับการแยกใบขับขี่ระหว่าง “รถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป” กับ “บิ๊กไบค์”นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน เพราะต้องยอมรับว่าการขับขี่รถบิ๊กไบค์ต้องมีทักษะเพิ่มเติมจากการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป ด้วยสภาพรถมีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก สมรรถนะสูง ผู้ที่จะขอรับใบขับขี่บิ๊กไบค์จำเป็นต้องเข้ามาอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม
ที่สำคัญคือ สถานการณ์อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ของไทยมีอัตราการเสียชีวิตครองแชมป์โลกสูงเป็นอันดับ 1 โดยองค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่าสาเหตุเกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ รวมทั้ง รถไม่ได้มาตรฐานไม่มีระบบเบรก ABS และ CBS
ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า ปัญหาอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ยากต่อการควบคุมเพราะ ปัจจัยการเกิดอุบัติเหตุไม่เพียงเป็นผลมาจากความประมาทและความคึกคะนองเท่านั้น ยังมาจากความไม่เคารพกฎระเบียบของผู้ขับขี่เอง ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกไม่ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก ฯลฯ จะใช้วิธีละมุนละมอม หรืองัดไม้แข็งข้อกฎหมายมาบังคับใช้ การกระทำผิดกฎจราจรรวมทั้งสัดส่วนอุบัติเหตุบนท้องถนน ยังคงไม่ลดตามเป้าและไม่สามารถสลัดภาพเมืองอุบัติเหตุติดอันดับโลกได้
และอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นกันจนเจนตาก็คือ “การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า” ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนและเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาแม้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้วย “การตั้งรางวัลนำจับ” เช่นกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนถ่ายภาพร้องเรียน เพื่อขอรับส่วนแบ่งค่าปรับครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังปรากฏการขับขี่ในลักษณะดังกล่าวให้เห็นเสมอๆ
อย่างไรก็ดี แม้การตั้งรางวัลนำจับผู้กระทำผิดกฎจราจร หรือส่วนแบ่งค่าปรับจราจร อาจไม่ได้ช่วยให้อัตราการกระทำผิดหรืออุบัติเหตุลดลงมากมายนัก แต่อย่างน้อยๆ ได้สร้างการรับรู้ในสังคมเรียกว่าทุกครั้งที่เป็นข่าวจะเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์
ล่าสุด ผู้ใช้งานโซเซียลมีเดียรายหนึ่ง โพสต์ข้อความรีวิวเงินส่วนแบ่งจากการแจ้งการกระทำผิดดังกล่าวระบุว่า “วันนี้มารับเงินค่าส่วนแบ่งในการแจ้งผู้กระทำผิด ขับขี่จักรยานบนทางเท้า ..” พร้อมแชร์ภาพรับเงินส่วนแบ่งเหนาะๆ เป็นเงิน 1,000 บาท
โดยหลังจากมีการแจ้งเบาะแสการทำความผิดเข้ามาทาง กทม. จะมีการประสานข้อมูลกับกรมขนส่งทางบก เพื่อขอข้อมูลเจ้าของผู้ครอบครองรถที่กระทำความผิด เพื่อส่งหนังสือเรียกมาชำระค่าปรับตามกฎหมาย เมื่อผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับเสร็จสิ้น ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับส่วนแบ่งค่าปรับกึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ ช่วงปลายปี 2561 มีการเพิ่มโทษค่าปรับผู้ฝ่าฝืนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บนทางเท้าจาก 500 เป็น 1,000 บาท
ข้อมูลเผยว่าการดำเนินโครงการส่วนแบ่งค่าปรับฯ ของ กทม. ระยะเวลากว่า 1 ปี มีประชาชนแจ้งเบาะแสเข้ามา 16,900 คดี หรือเท่ากับเปรียบเทียบปรับกระทำความผิดได้กว่า 10 ล้านบาท มีการดำเนินการทางกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว 959 คดี แบ่งค่าปรับครึ่งหนึ่งให้ผู้แจ้งรวมเป็นเงิน 3.9 แสนบาท ซึ่งมีผู้ไม่ประสงค์รับส่วนแบ่งเป็นเงิน 8 หมื่นกว่าบาท
แต่ยังคงมีเรื่องค้างอีกนับหมื่นเรื่องด้วยข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งหลังจาก กทม. ทำข้อตกลงกับกรมขนส่งฯ เจ้าหน้าที่เทศกิจ กทม. จะสามารถดูข้อมูลผู้กระทำความผิดได้ทันทีจะมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีการพิจารณาเพิ่มโทษจาก 1,000 บาท เป็นสูงสุด 5,000 บาท หมายความค่าส่วนแบ่งจากการแจ้งการกระทำผิดกฎจราจร กรณีขับขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้าจะเพิ่มขึ้นด้วย
งานนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เผยว่าอนาคตอาจมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ กทม. ส่งใบเปรียบเทียบไปยังบ้านพักผู้กระทำผิดได้เหมือนใบสั่งตำรวจด้วย
“ตราบใดคนไม่มีจิตคิดจะเผื่อแผ่กับคนเดินทางเท้าและเอาความสะดวก ผมว่ามันก็ลำบาก คงต้องใช้กฎหมายที่เข้มงวด” ผู้ว่าฯ อัศวิน กล่าวสรุปทิ้งท้าย